“เจ้าของร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียง?”
เจินซื่อเฉิงอธิบายเสริม “หมายถึงพระชายาไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงมุมปาก
ไม่ต้องมาเตือนเขาหรอกหน่า!
“พระชายาไท่จื่อโดนหมิ่นประมาท ก็เลยไปแจ้งความอย่างนั้นรึ”
เจินซื่อเฉิงเปิดกล่องหวายสาน หยิบม้วนคดีที่วางอยู่บนสุดออกมา แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัด “ต้นเดือนสอง มีหนังสือร้องเรียนจากแม่นางซิ่ว คนดูแลร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงแจ้งว่า มีคนพยายามปล่อยข่าวเพื่อปลุกปั่นให้ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงต้องปิดตัว และทำให้เจ้าของร้านต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยแทรก “แล้วมีจำเลยเป็นตัวเป็นตนหรือไม่”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้ารับคำร้องนี้มารึ”
เจินซื่อเฉิงมองจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยแววตาสนเท่ห์ “กระหม่อมต้องรับคำร้องสิพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบไป
เขาอยากจะเอาที่ทับกระดาษทุบหัวเหล่าเจินให้ม่องเท่งไปเสียเดี๋ยวนี้!
กว่าข่าวลือจะสงบลงได้ ตาแก่นี่จะฟื้นฝอยหาตะเข็บเพื่อ?
แต่เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ระลึกได้ว่าตาแก่ตรงหน้ากำลังจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้ข่มใจไว้
หากธิดาไม่ได้ออกเรือนคงสร้างความเสียหายไม่น้อย
“แล้วทราบผลแล้วรึ”
สีหน้าสงบนิ่งของเจินซื่อเฉิงแสดงออกว่ารู้สึกลำบากใจ “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ค่อนข้างซับซ้อนพ่ะย่ะค่ะ…”
“ค่อยๆ เล่ามา” จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่กล่องหวายสานอีกครั้ง
หีบใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ซับซ้อนได้หรือ
“กระหม่อมส่งคนไปสืบจากหลายแหล่งได้รับการยืนยันว่าคนว่างงานที่เที่ยวไปปล่อยข่าวมาจากกลุ่มเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อสืบต่อถึงได้ความว่า หัวหน้าของกลุ่มนั้นคือเจ้าของโรงน้ำชาแห่งหนึ่งซึ่งมีนามว่า หลี่จี๋ หลี่จี๋ผู้นี้เกิดมายากจน ไม่มีบิดามารดาอบรมเลี้ยงดู ส่วนแหล่งที่มาของทุนที่ใช้ในการเปิดโรงน้ำชาก็พิสดาร แต่โชคดีที่กระหม่อมแงะปากของเขาได้สำเร็จถึงได้ทราบว่า เบื้องหลังมีบุคคลลึกลับคอยช่วยสนับสนุนด้านทุนทรัพย์ บุคคลลึกลับมิได้ให้เงินทุนเท่านั้น แต่ยังมอบหมายภารกิจให้กับเขาด้วย ซึ่งภารกิจที่ว่าส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข่าวลือและพยายามบิดเบือนความเห็นของสาธารณชนในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ฟังนิ่ง สีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ
โรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมเป็นที่รวมตัวของคนหมู่มาก ฉะนั้นจึงเหมาะแก่การแพร่กระจายข่าวลือเป็นที่สุด และเขาทราบดีว่า ข่าวเอาอ้างเหล่านั้นสามารถคร่าชีวิตคนได้
หลี่จี๋ผู้นี้ ข้าจะจัดการให้สิ้นซาก!
“แล้วได้ความเกี่ยวกับบุคคลลึกลับนั่นหรือไม่”
เจินซื่อเฉิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ทุกครั้งที่หลี่จี๋พบบุคคลลึกลับผู้นั้น เขาจะสวมหมวกบดบังใบหน้า ฉะนั้นหลี่จี๋จึงไม่ทราบลักษณะโดยละเอียดพ่ะย่ะค่ะ แต่จากรูปร่างและท่าทางการเดินคาดว่าน่าจะเป็นบุรุษอายุราวๆ สามสิบปี น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปานกลางค่อนไปทางผอม และเป็นคนเสียงเบาพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่ายศีรษะ “คนลักษณะที่ว่ามีไม่น้อย หากจะหาตัวให้พบคงไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่จากประสบการณ์ของกระหม่อม กระหม่อมได้สักถามหลี่จี๋ถึงรายละเอียดเหตุการณ์เพิ่มเติมพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วได้ความอย่างไร”
“มีหนหนึ่งที่บุคคลลึกลับมาพบกับหลี่จี๋ เขาบังเอิญทำกระดุมทองแดงชุบทองสลักลายใบไม้สี่แฉกหล่นไว้ หลี่จี๋พบในภายหลังจึงเก็บกระดุมนั้นไว้กับตัวพ่ะย่ะค่ะ” เจินซื่อเฉิงกล่าวพลางหยิบกล่องไม้สีชาดใบเล็กออกมาจากหีบหวายสาน เปิดฝาแล้วยื่นอวดแก่สายตาจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองกระดุมทองแดงชุบทองในกล่อง และใบหน้าก็คล้ำลงประหนึ่งเมฆเทาปกคลุม
บนอาภรณ์ของชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้เชือกพันรอบเป็นวง หรือบ้างก็จะมัดเป็นเงื่อน กลุ่มคนที่ใช้กระดุมที่ทำขึ้นจากทอง เงิน อัญมณี หรืองาช้างคงหนีไม่พ้นเหล่าบรรดาผู้สูงศักดิ์
เขาคุ้นเคยกับกระดุมสลักลายจำพวกนี้เป็นอย่างดี เพราะเป็นของข้าหลวงชั้นสูงที่รับใช้อยู่ในวังหลวง
เจินซื่อเฉิงพิจารณาสีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ และคาดว่าฝ่าบาทยังรับฟังต่อไปได้ เขาจึงลูบเคราพลางกล่าวต่อ “เมื่อพินิจดูเอกลักษณ์ของกระดุมนี้ กระหม่อมได้ทำการตรวจสอบจูตัวฮวนหลิงไถหลางขั้นห้าจากสำนักหอดูดาวหลวง…”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กำลังจิบชาเพื่อบรรเทาความรู้สึกหม่นหมองได้ยินชื่อนี้ น้ำชาก็แทบพุ่งออกจากปาก
จูตัวฮวนหลิงไถหลางขั้นห้าจากสำนักหอดูดาวหลวงอย่างนั้นรึ
ใครสั่งให้เหล่าเจินสืบเรื่องนี้!
เดิมทีเขาสั่งให้หันหรานสืบเพราะคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับไท่จื่อ แต่ก็กลัวว่าจะเกี่ยวโยงกับในวัง จึงไม่ต้องการให้เรื่องไปถึงหูบรรดาขุนนาง
“กระดุมนั่นเกี่ยวกับอะไรกับหลิงไถหลางขั้นห้า” จิ่งหมิงฮ่องเต้ข่มอารมณ์โกรธ
วินาทีนี้เขาเดาไม่ออกเลยว่าในหัวของเหล่าเจินโยงใยไปถึงไหนแล้ว
เจินซื่อเฉิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สำนักหอดูดวงหลวงกำหนดฤกษ์สถาปนาไท่จื่อให้ตรงกับเหตุการณ์สุริยุปราคา เป็นไปได้สูงว่ามีคนจงใจทำร้ายองค์รัชทายาท เมื่อพิจารณาร่วมกับข่าวลือเลวร้ายเกี่ยวกับพระชายาไท่จื่อที่แพร่สะพัดไปทั่วเมือง กระหม่อมจึงเห็นว่าสามารถสืบไปพร้อมกับคดีนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วได้ข้อสรุปหรือยังล่ะ”
“ได้ความว่า…”
เมื่อฟังเจินซื่อเฉิงกล่าวจบ ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็คล้ำหม่นโดยสมบูรณ์
ประเสริฐจริง สืบได้ละเอียดกว่าหันหรานเสียอีก หน่วยองครักษ์จิ่นหลินกินขี้แทนข้าวรึ
เจินซื่อเฉิงป้องมือคารวะ “หลังจากสืบเบาะแสทั้งสองคดี กระหม่อมมีข้อสันนิษฐานที่อาจฟังดูอุกอาจไปเสียหน่อยอยู่ข้อหนึ่งคือ บุคคลลึกลับที่สนับสนุนทุนทรัพย์ให้หลี่จี๋น่าจะเป็นข้าหลวงในตำหนักฉือหนิง หวังอิงพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังคำตอบเช่นนั้น แต่กลับมิได้รู้สึกตะลึงพรึงเพริดสะทีเดียว เพียงแต่เป็นความกลัวเล็กๆ ที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด
“เชิญฝ่าบาททอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ” เจินซื่อเฉิงหยิบม้วนเอกสารจากหีบหวายสานออกมากาง “กระหม่อมทราบความจากหลี่จี๋ว่า ทุกครั้งที่พบกับบุคคลลึกลับจะตรงกับวันที่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ และในวังหลวงจะมีเพียงตำหนักฉือหนิงที่ส่งคนออกไปถวายธูปทุกวันที่หนึ่งของเดือน ซึ่งเป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ จากเบาะแสที่กระหม่อมได้รับมา กลุ่มคนจากตำหนักฉือหนิงที่ออกไปถวายธูปทุกวันที่หนึ่งของเดือนจะมีชื่อของหวังอิงรวมอยู่ด้วยเสมอ และรูปร่างผอมเพรียวของหวังอิงตรงตามคำให้การของหลี่จี๋มากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เครียดขมึง “หากจะบอกเช่นนี้ คนที่ก่อเรื่องทั้งสองครั้งก็คือหวังอิง ข้าหลวงจากตำหนักฉือหนิงงั้นซิ”
เจินซื่อเฉิงเงียบงันชั่วอึดใจก่อนจะกล่าวฉะฉาน “กระหม่อมคิดว่าข้าหลวงหวังอิงได้รับคำสั่งให้ทำเช่นนั้น แต่คนที่บงการเรื่องทั้งหมดคือไทเฮาพ่ะ…”
“หุบปาก!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกพรวด ที่ทับกระดาษหยกขาวปราดชี้ไปที่เจินซื่อเฉิง “บังอาจ!”
พานไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้มศีรษะต่ำไม่ขยับไหว ในใจเป็นทุกข์เกินจะกล่าว
นี่ใต้เท้าเจินกำลังทำให้เขาซวยไปด้วยใช่หรือเปล่า กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ หากฝ่าบาทพิโรธหนัก ฆ่าปิดปากพวกเขาทั้งสองจะทำอย่างไร
เจินซื่อเฉิงคุกเข่าโดยพลัน “ข้อสรุปที่กระหม่อมกล่าวไปเป็นเพียงผลสรุปจากการสืบหาเบาะแส ขอฝ่าบาททรงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าสั่งให้เจ้าหุบปาก! ข้อสรุปที่เจ้าได้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น แม้แต่บุคคลลึกลับที่ว่าใช่ข้าหลวงหวังอิงหรือไม่ก็เป็นเพียงการคาดเดา แล้วเจ้ากล้าดึงไทเฮาเข้ามาเอี่ยวได้อย่างไร”
เจินซื่อเฉิงไม่มีทีท่าว่าจะลดละ “ยามสืบคดี กระหม่อมไม่เคยลากผู้บริสุทธิ์เข้ามาเอี่ยว และกระหม่อมก็ไม่เคยปล่อยให้คนร้ายลอยนวลด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้บิดเบี้ยว
นี่กำลังจะบอกว่าไทเฮาคือคนร้ายอย่างนั้นหรือ
ทันทีที่ภาพใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาของไทเฮาผุดขึ้นในหัวของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขายิ่งรู้สึกปวดศีรษะจึงกล่าวด้วยความเดือดดาล “เจินซื่อเฉิง อย่าแสดงความโอหังต่อหน้าข้า ข้าสั่งให้พอก็พอ!”
เจินซื่อเฉิงหลุบตามองพื้นพลางกล่าวอย่างใจเย็น “กระหม่อมมิกล้าแสดงท่าทีโอหัง และไม่มีวันทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงต้องการความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่า ‘ความจริง’ สั้นๆ เอาชนะจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้สำเร็จ ร่างของเขาทรุดลงทันที
พานไห่รีบเข้าไปพยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้พลางเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาททรงถนอมพระวรกายไว้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สงบสติลง แววตายังคงจ้องเขม็งไปที่เจินซื่อเฉิงพร้อมเอ่ยเตือน “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องสืบต่อแล้ว การสันนิษฐานโดยไม่มีหลักฐานรังแต่จะเป็นการรบกวนข้า!”
พานไห่พยายามส่งสายตาให้เจินซื่อเฉิงสุดฤทธิ์
ใต้เท้าเจินรีบกลับไปเถิด อย่างน้อยๆ ก็ให้เวลาฝ่าบาทอีกสักหน่อย อีกอย่างการจะให้ฝ่าบาทลงมือกับไทเฮาไม่ดูพิลึกไปหน่อยหรือ
เจินซื่อเฉิงกลับไม่ขยับตัว เขาชี้นิ้วไปที่หีบหวายสานที่บรรจุม้วนเอกสารไว้เต็มกล่อง “ทั้งหมดนี้คือหลักฐาน ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทว่าจะใคร่ทอดพระเนตรหรือไม่ก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นเขาเป็นพวกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นหรืออย่างไร นี่ฝ่าบาทกำลังดูถูกความสามารถในการสืบคดีของเขาอยู่
ให้เขาทนอะไรก็ได้ แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขายอมไม่ได้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดือดถึงขีดสุด แผดเสียงดังสนั่น “ข้าหลวง มาลากตัวเจินซื่อเฉิงออกไปเดี๋ยวนี้!”