ไม่นานข้าหลวงสองคนก็รี่เข้ามาจับปีกซ้ายและขวาของเจินซื่อเฉิงถูลู่ถูกังออกไป
เจินซื่อเฉิงข่มอารมณ์ เท้าทั้งสองข้างปักลงกับพื้นอิฐสีทอง พลางร้องตะโกน “กระหม่อมยังพูดไม่จบเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้คล้ำหม่นหนักกว่าเก่า “ลากตัวออกไป ขังไว้ในคุกหลวง!”
ยังคิดจะพูดอีก ไอ้คนนี้ช่างไม่รู้จักสำนึก!
เจินซื่อเฉิงถูกลากออกไปภายในเวลาอันรวดเร็ว ทิ้งหีบหวายสานหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง
ภายในกล่องมีม้วนเอกสารเรียงรายทับซ้อนเป็นระเบียบ ประหนึ่งว่ากำลังยืนหยัดต่อสู้เพื่อเจ้าของพวกมัน
ทั้งหมดนี้คือผลงานของเจินซื่อเฉิงที่ทุ่มเทสืบหาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองแล้ว มองอีก อารมณ์ย่ำแย่เข้าขั้น ปากเอ่ยวาจาบริภาษสาปส่ง “ช่างไม่เกรงกลัวอะไรเลยจริงๆ เห็นว่าข้าใจดีหน่อยเลยเหลิงใหญ่ พูดทุกสิ่งที่ใจนึก เหอะ ให้ไปสงบสติอารมณ์อยู่ในคุกน่ะดีแล้ว จะได้ทบทวนว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด!”
รออยู่นาน พานไห่ก็ยังไม่ตอบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองตาเขียว “ทำไม ข้าทำอะไรผิดรึ”
พานไห่ยิ้มจืดเจื่อน “ฝ่าบาททรงปรีชา…”
“หุบปาก! ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์จะมาฟังเจ้าพูดจาเยิ่นเย้อ”
พานไห่กะพริบตา “เช่นนั้นฝ่าบาทใคร่จะเสด็จไปสนทนากับฮองเฮาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงถมึงทึง “ให้ไปคุยกับฮองเฮาอย่างนั้นรึ เจ้าอยู่กับข้ามาตั้งนาน ไม่รู้หรือว่าวังหลังไม่มีสิทธิ์ยุ่มย่ามกับการเมือง”
พานไห่พยายามไม่กลอกตาใส่จิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาเอ่ยเตือนเสียงเบา “แต่ใต้เท้าเจินคือพระสสุระขององค์หญิงนะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ “…” เขาต้องทำใจร่มๆ เข้าไว้ เพราะอารมณ์โกรธถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
จริงอยู่ที่วังหลังไม่มีสิทธิ์เข้ามาก้าวก่ายเรื่องการเมือง แต่การที่เขาลากชิ่งจยาไปขังคุก คงต้องแจ้งให้ฮองเฮารับทราบ
เมื่อคิดตกดังนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกงุ่นง่าน
หากรู้แต่แรก หากรู้แต่แรก…รู้แต่แรกมาตั้งนานแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้บอกไม่ได้ว่าตนเองไม่ควรให้องค์หญิงอภิเษกกับบุตรชายของเจินซื่อเฉิง หรือไม่ควรลากตัวเจินซื่อเฉิงไปขังคุกกันแน่
เมื่อประสานสายตาเข้ากับแววตาเป็นห่วงเป็นใยของพานไห่ จิ่งหมิงฮ่องเต้เริ่มทำตัวไม่ถูก เขาพ่นลมเย็นเยียบ “เจ้าไม่ต้องมาเตือนข้า ต่อให้เป็นเรื่องในครอบครัว ข้าก็เป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่มีความจำเป็นใดต้องรายงานเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้แก่ฮองเฮา”
เห็นเขาเป็นพวกกลัวเมียอย่างเสนาบดีกู้หรืออย่างไร
“เจ้าออกไปเถอะ”
ครั้นไล่พานไห่ออกไปแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็จมอยู่กับความหม่นเศร้าเพียงลำพัง ยิ่งคิดถึงคำพูดของเจินซื่อเฉิงเท่าไร ในใจก็เดือดปุดประหนึ่งน้ำมันร้อนในกระทะ
ไม่ทราบว่าความทุกข์ทรมานกินเวลานานเพียงใดก่อนที่จิ่งหมิงฮ่องเต้จะลุกขึ้น เดินมาหยุดยืนข้างกล่องหวายสาน ค้อมกายก้มลงหยิบม้วนคดีออกมาพลิกดู
ความรู้สึกในทรวงหนักอึ้ง อ่านแล้วแต่ไม่เข้าหัว ทว่าจำต้องยอมรับว่าเอกสารลับเหล่านี้เป็นผลงานจากความทุ่มเทของเจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิงมีฝีมือในการไขคดีอย่างน่าอัศจรรย์ เขายอมรับในความจริงข้อนี้มานานหลายปีแล้ว…
เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องทรงพระอักษร
วันถัดมาฮองเฮาถึงได้ทราบว่าเจินซื่อเฉิงถูกจับไปขังคุก และที่มาของข่าวลือที่ว่าก็น่าเชื่อถือมากทีเดียวคือ เจินฮูหยินเข้าวังมาขอเข้าเฝ้า
“เจ้าไปคอยด้านหน้า ฝ่าบาทว่าราชการเช้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ให้ทูลเชิญเสด็จมาที่นี่”
ข้าหลวงไปตามรับสั่ง
ฮองเฮารออยู่ไม่นาน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เสด็จมา
อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้หลังจากว่าราชการเช้ายังคงขุ่นมัว
เรื่องที่เจินซื่อเฉิงถูกสั่งขังน่าจะแพร่ไปถึงนอกวังหลวง แต่ว่าราชการเช้าวันนี้กลับไม่มีผู้ใดขอให้ยกเลิกคำสั่งเลยสักคน!
นี่มันหมายความว่าอย่างไร
เจ้าคนพวกนี้คงสุขใจที่ได้เห็นเหล่าเจินโชคร้ายงั้นสิ
เดิมทีตั้งใจว่าหากเหล่าขุนนางขอร้อง จะเล่นตัวตัวอีกนิดหน่อยเป็นการสั่งสอนเหล่าเจิน แต่แล้วทีนี้จะทำอย่างไร
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลงด้วยอาการโกรธขึ้ง หลังจากดื่มชาไปแล้วหลายอึกถึงได้เอ่ยถาม “ฮองเฮามีธุระใดรึ”
ฮองเฮาส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ออกไป พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด “วันนี้เจินฮูหยินมาขอเข้าเฝ้าตั้งแต่เช้าเลยเพคะ”
“เอ่อ อย่างนั้นเจ้าก็ทราบเรื่องเจินซื่อเฉิงแล้วสิ”
“เหตุใดพระองค์ถึงสั่งให้พาตัวใต้เท้าเจินไปขังคุกเล่าเพคะ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
ฮองเฮากัดฟัน น้ำเสียงเจือไปด้วยความเย็นชา “เรื่องภายนอกหม่อมฉันมิกล้าเข้าไปยุ่ง อีกทั้งยังไม่มีสิทธิ์ยุ่ง แต่ใต้เท้าเจินคือพระสสุระของฝูชิง ฝูชิงยังไม่ทันจะออกเรือนก็เกิดเรื่องเช่นนี้ ไม่น่าขายหน้าหรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบงันไม่เกริ่นกล่าว
“ฝ่าบาท สรุปแล้วใต้เท้าเจินทำความผิดใดหรือเพคะ” ฮองเฮาเห็นว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้มีท่าทีผ่อนคลายจึงลองถามซ้ำ
จิ่งหมิงฮ่องเต้พ่นลมเย็นชา “เขาก็แค่สืบคดีไร้สาระไปเรื่อย แล้วมาบอกว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลือของพระชายาไท่จื่อคือไทเฮา!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รอคอยคำปลอบใจจากฮองเฮาอย่างใจจดใจจ่อ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากฮองเฮาเงียบไปชั่วครู่ นางจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาสบายว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าใต้เท้าเจินสืบคดีมามากมายนับไม่ถ้วน และไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง”
“นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ฮองเฮาหลุบตา “ฝ่าบาทไม่ทรงคิดว่าบ้างหรือเพคะว่าคราวนี้ก็อาจจะถูกต้อง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงะไปก่อนจะตามมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฮองเฮา อะไรดลใจเจ้าให้คิดเช่นนั้น”
น้ำเสียงฮองเฮาเย็นชากว่าเก่า “หากมิให้คิดเช่นนี้ แล้วจะให้หม่อมฉันคิดอย่างไรล่ะเพคะ เกิดเรื่องร้ายกับฝูชิงหลายครั้ง และทุกครั้งก็เกี่ยวข้องกับพระตำหนักฉือหนิง อีกอย่างใต้เท้าเจินก็สืบทราบแล้วว่าข่าวลือของพระชายาไท่จื่อที่แพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวข้องกับไทเฮา ฝ่าบาท มาจนถึงบัดนี้แล้วพระองค์จะปิดพระเนตรพระกรรณเช่นนี้ต่อไปหรือเพคะ”
ฮองเฮาไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปแล้ว
ในอดีตนางตัวคนเดียวและอ่อนแอ นางวางตัวในฐานะลูกสะใภ้ ไม่เคยคิดจะเอาชนะไทเฮาเลยสักครั้ง แต่ทว่าตอนนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว นางมิได้มีแค่พันธมิตรเท่านั้น นางยังมีไท่จื่อและพระชายาที่คอยสนับสนุน
ที่นางอดทนเพราะรอโอกาสที่ดีกว่า ใช่ว่าจะอดทนไปตลอดที่ไหนกัน
ท่าทีของนางตอนนี้อาจทำให้จักรพรรดิขุ่นเคืองโกรธแค้น แต่นั่นคือวิธีที่จะทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ตาสว่างขึ้นได้ แล้ววันหนึ่งโอกาสที่จะโค่นไทเฮาก็จะมาถึง
โอกาสเช่นนี้นางไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ
“เจ้ากำลังกล่าวหาว่าข้าปิดหูปิดตาอย่างนั้นรึ”
“หม่อมฉันเพียงคาดหวังว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้เส้นผมบังภูเขา มิยอมสดับรับฟังเสียงพระทัยขององค์เอง”
“พอได้แล้ว ข้าไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า!” จิ่งหมิงฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
ฮองเฮาเม้มปากแน่น ความโกรธพลุ่งพล่าน นางยกเท้าเตะโต๊ะตัวเล็กลอยไปไกลลิบ
ให้เตะโต๊ะระบายอารมณ์ ใครก็ทำได้ ไอ้ตาทึ่ม!
ฮ่องเต้และฮองเฮาประกาศสงครามเย็นอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเจินซื่อเฉิงผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครมีแนวโน้มว่าจะอยู่ในคุกนานขึ้น
เหล่าขุนนางไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดบรรยากาศที่เพิ่งผ่อนคลายได้เพียงไม่นานถึงกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ในชั่วพริบตาเดียว เดือนห้าเคลื่อนผ่านไปแล้วกว่าครึ่งเดือน หันหราน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินเข้าวังด่วนเพื่อมาขอเข้าเฝ้า
“มีเรื่องอะไร” เพียงแค่เห็นหน้าหันหราน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เดือดเป็นไฟ
หากมิใช่เพราะเจินซื่อเฉิงถูกขังอยู่ในคุกในหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน เขาคงให้เจินซื่อเฉิงขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินไปแล้ว
หันหรานเจ้าคนโง่ เมื่อไหร่จะทำตัวเป็นประโยชน์กับเขาสักที
หันหรานตื่นตัวเล็กน้อย “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้รับรายงานด่วนจากลูกน้องที่ประจำการอยู่ที่หนานเจียงว่า พบร่องรอยเบาะแสของผู้อาวุโสฮวาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดีใจยิ่ง “จริงรึ แล้วจับตัวได้รึยัง”
“ลูกน้องของกระหม่อมคุมตัวนางไว้และกำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ผ่อนคลายขึ้นมากในคราวเดียว
ก่อนหน้านี้เรื่องที่ผู้อาวุโสฮวาและหลานสาวหายไปจากคุกกลายเป็นปมคาใจจิ่งหมิงฮ่องเต้มาโดยตลอด
หันหรานอึกอักลังเล “แต่ว่า…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เขาเกลียดคำว่า “แต่ว่า” ที่สุดแล้ว
เพิ่งจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นก็เริ่มมี ‘แต่ว่า’ แล้ว ผ่านไปง่ายๆ สักวันมิได้เลย!
“มีอะไรก็รีบพูดมา!” ต้องรอให้เขาพระราชทานอาหารสักมื้อก่อนรึถึงจะพูดได้ เขาให้หน้าไม้พระราชทานก็คงจุกไม่ต่างกัน
อาการของหันหรานแปลกไปเล็กน้อย “ลูกน้องของกระหม่อมพบผู้อาวุโสฮวาบริเวณใกล้เผ่าเสวี่ยเหมียวพ่ะย่ะค่ะ”
“เผ่าเสวี่ยเหมียว?”
“พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าเผ่าเสวี่ยเหมียวมีจุดกำเนิดมาจากที่เดียวกับเผ่าอูเหมียว แต่กลับถูกอูเหมียวครอบงำมาโดยตลอดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปพาตัวผู้อาวุโสฮวากลับมาที่เมืองหลวงและทำการสอบสวน คราวนี้ต้องแงะความจริงจากปากนางให้จงได้!”
เรื่องที่สงสัยบางเรื่อง ก็ควรค่าแก่การหาคำตอบ