หน่วยองครักษ์จิ่นหลินที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่ที่หนานเจียงควบตะบึงม้าเร็วรี่ และทำการสอบสวนผู้อาวุโสฮวาอย่างด่วนที่สุด
หลังจากหันหรานผู้บัญชาการแจ้งแก่จิ่งหมิงฮ่องเต้ หน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็เริ่มทำการสอบสวนผู้อาวุโสฮวาทันที
หนนี้มีการตั้งกลุ่มรักษาความปลอดภัยรัดกุมขั้นสูงสุด ไม่อาจทราบได้ว่ามีองครักษ์จิ่นหลินล้อมวงเฝ้าห้องขังของผู้อาวุโสฮวามากมายเพียงใด เพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีไปได้เหมือนครั้งก่อน
“ผู้อาวุโสฮวา จนถึงบัดนี้แล้วยังไม่ยอมพูดรึ”
ผู้อาวุโสฮวาที่ถูกมัดมือมัดเท้าจ้องเขม็งไปที่หันหราน เส้นเลือดฝอยในตาแจ่มชัดเต็มดวง
นี่เป็นวันที่เจ็ดแล้วที่ผู้อาวุโสฮวาไม่ได้พักผ่อน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ยามใดที่นางหลับตาทำสมาธิ นางจะโดนปลุกให้ตื่นทุกครั้งไป
นี่เป็นหนึ่งในวิธีการสอบสวนของหน่วยองครักษ์คือการไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาพักผ่อน
แม้วิธีนี้จะดูเรียบง่าย แต่ให้ผลลัพธ์อย่างน่าอัศจรรย์ จากประสบการณ์ของหันหราน เมื่อคนธรรมดาง่วงงุนจนถึงขีดสุดแล้ว เขาจะตอบคำถามออกมาเอง
แต่ผู้อาวุโสฮวามีจิตแน่วแน่กว่าคนทั่วไป นางจ้องหันหรานด้วยสายตาเคียดแค้นและมุ่งร้าย พลางส่งเสียงเสียดเย้ย “ฝันไปเถอะ!”
เสียงแหบแห้งของนางชวนให้คนฟังรู้สึกอึดอัด
หันหรานขมวดคิ้วพลางกล่าวเสียงเย็น “ถามต่อไปเรื่อยๆ!”
ในไม่ช้าก็มีองครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งนำคำถามที่เตรียมไว้มาถามผู้อาวุโสฮวา ล้วนแต่เป็นคำถามง่ายๆ แทบไม่ต้องคิดนาน แต่หากนางยังไม่ตอบ องครักษ์จิ่นหลินอีกนายจะทิ่มเข็มลงบนร่างของนาง
เมื่อองครักษ์จิ่นหลินผู้ที่ทำหน้าที่ถามถามจนคอแห้งแล้ว เขาจะสลับหน้าที่กับองครักษ์อีกนาย
สติของผู้อาวุโสฮวาค่อยๆ เลือนลางลง
หันหรานยืนอยู่นอกห้องสอบปากคำ แววตาขับปประกายเย็นวาบ
ชาวอูเหมียวนี่รับมือยากสมคำร่ำลือ แม้แต่หญิงชรายังยากเพียงนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต้าโจวแทบจะไม่อยากข้องเกี่ยวกับชนเผ่าลึกลับนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร คราวนี้จะต้องได้ความคืบหน้าติดมือกลับมาบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีอะไรไปรายงานฝ่าบาท
ผู้อาวุโสฮวาถูกทรมานไม่ให้นอนต่อไปอีกสองวัน หันหรานถึงได้โยนคำถามนี้ไปอีกครั้ง “สาเหตุที่เจ้าแฝงตัวเข้ามาในต้าโจวคืออะไร”
นัยน์ตาผู้อาวุโสฮวามืดหม่นอับแสง แม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับลูกตายังเหือดหาย นางพึมพำแผ่วเบา “เพื่อทำงานร่วมกับหมากอีกตัวที่แฝงตัวเข้าไปในวังหลวงเมื่อหลายปีก่อน”
หันหรานกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด แววตาสุกใสประหนึ่งประกายของเกล็ดหิมะ
พูดแล้ว ในที่สุดหญิงแก่นางนี้ก็ยอมเปิดปากเสียที!
หันหรานใจเต้นระรัว ทว่ายังคงพยายามรักษาใบหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในวินาทีนี้ เขาไม่กล้าเปลี่ยนแม้แต่น้ำเสียง เพราะเกรงว่าหากผู้อาวุโสฮวารับรู้สิ่งผิดปกติอาจทำให้สติของนางกลับมา
ทนรอมานานเก้าวัน หากต้องทนต่อไปเขาคงลงแดงตายแน่ ฉะนั้นคราวนี้จะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด
“หมากในวังหลวงที่ว่าคือผู้ใด” หันหรานเอ่ยถามเสียงเรียบ
ผู้อาวุโสฮวาพ่นคำออกมาเพียงสองพยางค์ “ไทเฮา”
สีหน้าของหันหรานเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่อาจรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติได้แล้ว “ไทเฮา?”
สวรรค์ ดูเหมือนเขากำลังได้คำตอบที่ไม่ควรได้
ไม่ทราบว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใดก่อนที่เท้าของหันหรานจะขยับเคลื่อนออกไปจากห้องสืบสวน บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่เห็นภาพนี้ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
ผู้บัญชาการเป็นอะไรไป สภาพอย่างกับคนเห็นผี
อาการของหันหรานที่กำลังเร่งรี่ไปที่วังหลวงยามนี้ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าคนเห็นผี ใจอยากจะร้องไห้ออกมา
ใครต่างก็พูดว่าตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินเป็นที่น่าเชิดชู แต่จากที่เขาเห็น มันเป็นงานที่ไม่ต่างอะไรจากการเอาชีวิตไปทิ้ง
ตอนที่เขารู้เรื่องที่ฝ่าบาทถูกไท่จื่อสวมเขาก็เล่นเอาเขากลัวจนหัวหด ไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปหลายวัน แต่ทว่าเรื่องที่เขารู้ตอนนี้น่ากลัวกว่านั้นเป็นไหนๆ!
เอาอย่างไรดี...
หันหรานกอดกุมความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากไปขอเข้าเฝ้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ตำหนักหย่างซิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นสีหน้าเหมือนมีใครตายของหันหรานแล้ว อารมณ์ของเขาก็ขุ่นมัว
“การสืบสวนมีปัญหาอย่างนั้นรึ ผู้อาวุโสฮวาทนทัณฑ์ทรมานไม่ไหวอีกคนแล้วรึ”
การสอบปากคำผู้อาวุโสฮวาเป็นเรื่องที่จิ่งหมิงฮ่องเต้เฝ้าติดตามมากที่สุดในขณะนี้ เขาเรียกหันหรานเข้ามาถามความคืบหน้าเกือบทุกวัน
การทรมานยาวนานกว่าเก้าวันทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกกังวล เพราะเกรงว่าผู้อาวุโสฮวาจะทนไม่ได้เหมือนตั่วหมัวมัวในตอนแรก
หันหรานหลุบตา “ผู้อาวุโสฮวารับสารภาพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รับสารภาพแล้ว?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามโดยมิได้เก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้น “รับสารภาพว่าอะไร”
หันหรานกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดสีคล้ำบนหลังมือปูดนูน
เขาทราบดีว่าหลังจากนี้เขาต้องพบกับลมพายุใหญ่แรงกล้า ซึ่งไร้หนทางหนีรอด
“ผู้อาวุโสฮวารับสารภาพว่าไทเฮาเป็นคนของพวกนาว…”
“อะไรนะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงดุดันโดยไม่รอให้หันหรานพูดจบ “ไหนเจ้าพูดใหม่ซิ!”
“ผู้อาวุโสฮวารับสารภาพว่าไทเฮาเป็นคนของพวกนางพ่ะย่ะค่ะ เมื่อหลายปีก่อนปลอมตัวเข้ามาที่วังหลวงในฐานะพระชายาไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามควบคุมอารมณ์รับฟังเงียบๆ รอจนกระทั่งหันหรานกล่าวจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าปอด “ความหมายของผู้อาวุโสฮวาคือไทเฮาเป็นหมากของเผ่าอูเหมียวอย่างนั้นรึ”
“ผู้อาวุโสฮวารับสารภาพว่าเป็นชาวเสวี่ยเหมียวพ่ะย่ะค่ะ”
หนังตาจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกไม่เป็นส่ำ เขาลุกขึ้น เดินวกไปวนมาในตำหนัก ความงุ่นง่านกระสับกระส่ายเช่นนั้นทำให้หันหรานไม่กล้าหายใจเสียงดัง
เนิ่นนานกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จะกล่าวเอ่ย “พาตัวหัวหน้าผู้อาวุโสฮวามาหาข้า!”
ไม่นานหญิงชราหน้าตาซูบซีดก็มาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้พิศจ้องนาง “เจ้าเป็นชาวเสวี่ยเหมียวอย่างนั้นรึ”
เมื่อคนทั่วไปรับสารภาพแล้ว ท่าทีของเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิม ผู้อาวุโสฮวาก็เช่นกัน ความสิ้นหวังห่อเหี่ยวบีบคั้นหัวใจ
นางพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าและหลานสาวถึงได้เปิดร้านที่ถนนซีซื่อในสถานะของชาวอูเหมียว”
“เพื่อลดปัญหาให้กับเผ่าของข้า” ท่าทีของผู้อาวุโสฮวายังคงทึมทื่อไร้ความรู้สึก
จิ่งหมิงฮ่องเต้กัดฟันกรอดพลางเอ่ยถาม “แล้วเป้าหมายของพวกเจ้าคืออะไร”
หนังตาผู้อาวุโสฮวาสั่นระริก ทว่าน้ำเสียงยังคงนิ่งเนิบ “ทำให้ต้าโจวไร้ทายาทสืบราชบัลลังก์”
ทำให้ต้าโจวไร้ทายาทสืบราชบัลลังก์…
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังประโยคนั้น ภาพเหตุการณ์มากมายก็ทะลักท่วมเข้ามาในความทรงจำ ใบหน้าขาวซีดเอ่ยถาม “อดีตไท่จื่อ…”
ผู้อาวุโสฮวากล่าวต่อ “ตั่วหมัวมัวเป็นคนยุยงให้หยางเฟยล่อลวงอดีตไท่จื่อ เพื่อทำให้อดีตไท่จื่อล้มลงในความผิดและถูกทอดทิ้งในท้ายที่สุด…”
ในสมองของจิ่งหมิงฮ่องเต้มีเสียงหึ่งดังก้อง เขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
แม้หลางเอ๋อร์จะปรารถนาในสตรีเพศ แต่ทว่าใต้หล้าก็มีสตรีงามนับไม่ถ้วน หากมิได้ถูกล่อลวง เขาคงไม่กล้าแตะต้องนางสนมของเขา
“คิดไม่ถึงว่าพระองค์จะใจอ่อนถึงขนาดแต่งตั้งไท่จื่ออีกครั้ง ไทเฮาจึงทำได้เพียงสั่งให้นางในที่ปรนนิบัติอดีตไท่จื่อแนะนำวิธีทำหุ่นไม้ให้กับอดีตไท่จื่อ…หนนี้ อดีตไท่จื่อถูกกำจัดโดยสมบูรณ์”
“หุบปาก!” จิ่งหมิงฮ่องเต้แผดเสียงดังลั่น แววตาเครียดเขม็ง
ความรู้สึกทั้งโกรธ เสียใจ และโทษตัวเอง…ประดังประเดจนเขาแทบคลั่ง
“ที่ทำกับฝูชิงก็ด้วยสาเหตุนี้อย่างนั้นรึ”
“ใช่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยายามกุมสติให้มั่นแม้ใจจะเจ็บแค้น เขาเอ่ยถาม “และสาเหตุที่ไทเฮาไร้ทายาทสืบสกุลก็เนื่องด้วยสาเหตุนี้ดุจกัน?”
“นางมาแทนพระชายาไท่จื่อตัวจริง นางจึงไร้บุตรสืบสกุล”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตา หน้าซีดเซียวกว่าเก่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้ส่งผลดีกับพวกเจ้าจริงๆ งั้นหรือ”
“เสวี่ยเหมียวและอูเหมียวมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน หากฝั่งหนึ่งรุ่งเรือง อีกฝั่งจะตกต่ำ อดีตหัวหน้าผู้อาวุโสของอูเหมียวทิ้งคำทำนายไว้ว่า ความรุ่งเรืองของอูเหมียวเกี่ยวข้องกับหน่อเนื้อของโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว เมื่อเผ่าของข้าทราบเช่นนั้นก็ไม่อาจนิ่งนอนใจทนเห็นอูเหมียวยิ่งใหญ่ได้ มิฉะนั้นแล้วเผ่าของข้าคงได้สาบสูญไปชั่วกัลป์…”
ริมฝีปากจิ่งหมิงฮ่องเต้สั่นระริก เขาสูดลมหายใจยาวอีกครั้ง “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามิได้ใส่ร้ายไทเฮา เพราะต้องการเห็นราชวงศ์ต้าโจวเกิดความระส่ำระสาย”
ผู้อาวุโสฮวากล่าวเนิบนาบ “ข้าพิสูจน์ได้ แต่มีข้อแม้อยู่ข้อหนึ่งเพคะ”
“ว่ามา”