บทที่ 807 อริยะเทพปะทะผานกู่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 807 อริยะเทพปะทะผานกู่

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที สังหารเทพมารฤทธา จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดี จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

เทพมารฤทธาน่าจะเป็นผานกู่!

ยืนยันได้แล้วว่าก่อนหน้านี้ผานกู่กลับชาติมาเกิดเพื่อคืนชีพจริงๆ

หานเจวี๋ยกลัวจะไปยั่วโทสะผานกู่เข้า จึงไม่เคยสร้างเทพมารฤทธาขึ้นเลย

เวลาผ่านมานานขนาดนี้ ในที่สุดผานกู่ก็ปรากฏตัวแล้วอย่างนั้นหรือ

หานเจวี๋ยเห็นว่ารางวัลของสองตัวเลือกไม่ต่างกัน จึงเลือกตัวเลือกที่สองโดยไม่ลังเลเลย

เขานำศิลาก่อวิญญาณออกมา เลือกปราณเทพมารกลุ่มหนึ่งในโลกอนธการมาผสานรวม

หานเจวี๋ยเงยหน้ามองเข้าไปในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล เริ่มค้นหากลิ่นอายของเทพมารฤทธา

ผ่านไปเนิ่นนาน

ในที่สุดเขาก็รับรู้ถึงกลิ่นอายเทพมารฟ้าบุพกาลที่แข็งแกร่งยิ่งนักสายหนึ่ง

กลิ่นอายของเทพมารฟ้าบุพกาลแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป เต็มไปด้วยรังสีพิฆาต ทำให้คนสัมผัสได้ว่าอันตรายยิ่ง

อย่างไรก็ตามเขามองไม่เห็นตัวตนของเทพมารฤทธา น่าจะซ่อนตัวอยู่ในชั้นมิติพิเศษ

หานเจวี๋ยถอนสายตากลับมา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง

เขารู้สึกสะเทือนขวัญอย่างน่าประหลาด ราวกับศัตรูตามธรรมชาติได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

ความรู้สึกนี้น้อยนิดยิ่ง ทว่าชัดเจนมากเช่นกัน บอกเขาได้โดยตรงว่ามีสาเหตุจากสิ่งใด

ขนาดตัวเขายังเป็นขนาดนี้ ความรู้สึกของเทพมารฟ้าบุพกาลตนอื่นๆ ก็น่าจะรุนแรงยิ่งกว่า

‘ข้าเป็นถึงเทพมารอนธการเชียวนะ เหตุใดยังรู้สึกได้อีก’

หานเจวี๋ยแปลกใจ หรือว่าเทพมารอนธการและเทพมารฟ้าบุพกาลจะเกี่ยวเนื่องกันโดยวงจรวิวัฒนาการจริงๆ

ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของข้า

หานเจวี๋ยหลับตาลงอีกครั้ง ฝึกบำเพ็ญต่อ

….

ภายในห้วงมิติมืดสลัว หมอกหนาทึบปกคลุม ณ ริมทะเลสาบ

หานทั่วและอี๋เทียนนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ

ทันใดนั้นพวกเขาลืมตาขึ้นพร้อมกัน กลิ่นอายความกลัวปะทุขึ้นทั่วร่าง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย

ความโกรธแค้นที่ยากจะอธิบายได้ทะลักออกมาจากก้นบึ้งจิตใจราวกับภูเขาไฟระเบิด พลังพวยพุ่งออกมาจนผมปลิวไสว ดูคล้ายมังกรร่ายรำ

ทั้งสองถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองไปด้านหน้าด้วยความโกรธ

ผ่านไปนานพักใหญ่ ความโกรธที่ยากจะควบคุมได้ถึงสลายไป

อี๋เทียนหันไปมองหานทั่ว เอ่ยถามว่า “เมื่อครู่เจ้ารับรู้อะไรได้ใช่หรือไม่”

แววตาหานทั่วเย็นชา กล่าวว่า “จิตสังหาร จิตสังหารที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก ร่ำร้องออกมาจากวิญญาณ”

อี๋เทียนแค่นเสียง “ถูกต้อง แต่น่าเสียดายพวกเราสองคนยังแกร่งไม่พอ ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติ”

เขาไม่ได้บอกว่าคุณสมบัติอันใด แต่หานทั่วกลับฟังเข้าใจ

เวลานี้เอง ปราณมารกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังทั้งสอง ก่อตัวเป็นบรรพชนมารลู่หยวน

บรรพชนมารลู่หยวนกล่าวว่า “พวกเจ้ารับรู้ได้หรือไม่”

ทั้งสองหันกลับไป ต่างพยักหน้ารับ

บรรพชนมารลู่หยวนเอ่ยว่า “ผานกู่กลับชาติมาเกิด สงครามเทพมารในครั้งอดีตกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”

หานทั่วขมวดคิ้วถามไปว่า “มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่หรือ”

บรรพชนมารลู่หยวนตอบว่า “มิใช่ มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่จะเปิดฉากขึ้นโดยเทพมารอนธการ การปรากฏตัวของผานกู่เกิดขึ้นเพราะต้องการกวาดล้างเทพมาร เขาต้องการอาศัยพลังของเทพมารฟ้าบุพกาลเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เตรียมรับมือกับการถือกำเนิดของเทพมารอนธการ

“กล่าวอีกอย่างก็คือ พวกเจ้าคือเป้าหมายของเขา

“ข้าก็ด้วย”

หานทั่วและอี๋เทียนขมวดคิ้ว

บรรพชนมารลู่หยวนเอ่ยเสียงเรียบ “สามพันเทพมารฟ้าบุพกาลล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของผานกู่ ยามนี้เหลืออยู่ไม่ถึงร้อย ผานกู่จะแข็งแกร่งยืนยง”

หานทั่วถาม “ดวงจิตมหามรรคไม่ลงมือหรือ”

บรรพชนมารลู่หยวนกล่าวว่า “ไม่มีทางลงมือ หากว่าลงมือ ผานกู่ก็ไม่มีเคลื่อนไหวสะท้านสะเทือนโลกาเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าหัวหน้ากลุ่มดวงจิตลงมือไปแล้ว”

“หัวหน้าเหล่าดวงจิตคือผู้ใด”

“ไม่อาจกล่าวนามได้”

หานทั่วและอี๋เทียนเงียบไป

บรรพชนมารลู่หยวนกล่าวว่า “เตรียมตัวให้พร้อบรับมือผานกู่เถอะ ช่างเป็นแผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ มิน่าเล่าเหล่าดวงจิตมหามรรคถึงไม่ตามสืบสาวเอาความมิ่ง และไม่ตามหาข้า ที่แท้ก็เพื่อหมากอย่างผานกู่ รอผานกู่จัดการสาเหตุของภัยพิบัติทั้งหมดไว้ด้วยกัน ถือโอกาสนี้ให้ผานกู่ผงาดขึ้นมา และรอให้เทพมารอนธการปรากฏตัวขึ้น สองคนนี้ย่อมเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ ต้องสู้กันจนตายไปข้าง!”

หานทั่วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเป็นผานกู่หรือว่าเทพมารอนธการ ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ฟ้าบุพกาลล้วนจะเผชิญหน้ากับผู้ชนะคนนั้น หรือว่าดวงจิตมหามรรคคาดหวังให้พวกเขาสองคนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย ตัวตนระดับพวกเขา ต่อให้บาดเจ็บสาหัส ก็น่าจะฟื้นฟูได้ในชั่วพริบตา เหล่าดวงจิตมหามรรคไม่คิดถึงจุดนี้กันบ้างหรือ

บรรพชนมารลู่หยวนกล่าวว่า “หากว่าพวกเราคาดเดาถึงจุดนี้ได้ ก็คงไม่เกิดรูปการณ์เช่นปัจจุบันขึ้น”

“พวกเจ้าจงฝึกบำเพ็ญให้ดี ข้าจะไปหามิ่ง ช่วงนี้อย่าได้ออกไปไหน ผานกู่มาแล้ว พวกเจ้าต้านทานไม่ไหว!”

พอพูดจบ บรรพชนมารลู่หยวนก็หายตัวไป

อี๋เทียนเกาหัว เอ่ยว่า “ใครจะสนเขากัน แค่หาวิธีสังหารเขาให้ได้ก็พอแล้วนี่ คนผู้นั้นเพิ่งฟูมฟักสำเร็จ หรือว่าเพิ่งถือกำเนิดก็จะมีพลังไร้พ่ายในใต้หล้าเลย”

หานทั่วสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยตอบ

….

“เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมดจงมาที่อาณาเขตปฐมภพ!”

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ก็ได้ยินเสียงของเทพมารปฐมภพ คาดว่าคงเป็นเพราะเรื่องของผานกู่

หานเจวี๋ยสร้างร่างแยกขึ้นมาร่างหนึ่งแล้วส่งออกไป ส่วนตัวเขาฝึกบำเพ็ญต่อ

อย่างน้อยก็ต้องปิดด่านให้ครบห้าหมื่นปี

อีกอย่าง เขาก็ไม่ใช่เทพมารฟ้าบุพกาลจริงๆ สักหน่อย ต่อให้ผานกู่ต้องการล้างบางเทพมารฟ้าบุพกาล แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า

พันปีต่อมา

ณ อาณาเขตปฐมภพ เหล่าเทพมารรวมตัวกันในตำหนัก

ร่างแยกของหานเจวี๋ยสังเกตเห็นสมาชิกหน้าใหม่บางส่วนเพิ่มขึ้นมา และมีสมาชิกหน้าเก่าหายไปบางส่วน

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนและหงหยวนนั่งประจำตำแหน่งซ้ายขวาข้างเขา ต่างเว้นระยะห่างจากกันหมื่นจั้ง

บรรยากาศภายในตำหนักตึงเครียด แม้แต่เทพมารยุคบรรพกาลที่ชมชอบพูดคุยกันก็ไม่ส่งเสียงเลย

นามของผานกู่ เป็นฝันร้ายของเทพมารฟ้าบุพกาลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับเหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลยุคโบราณ

เทพมารปฐมภพปวดหัวยิ่งนัก ตอนแรกยังเตรียมการรับมือกับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการอยู่ ไม่คิดเลยว่าผานกู่จะโผล่มาในช่วงเวลานี้

ท่ามกลางความมืดมิด เขารู้สึกว่าตนถูกเพ่งเล็งเสียแล้ว

มีมือข้างหนึ่งกำลังบีบต้อนเขาอยู่

“ผานกู่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น จะกลัวอันใดเล่า ขอเพียงไม่ให้เวลาเขา ชิงฆ่าแต่แรกเสียก็พอ!”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเหยียดหยาม

เขากำลังเหยียดหยามเทพมารฟ้าบุพกาลที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้

ไม่มีความทระนงของเทพมารฟ้าบุพกาลเอาเสียเลย!

“ตัวผานกู่มิได้แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่แรกเกิด ชื่อเสียงของเขามาจากการสังหารฆ่าฟัน พวกเราก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ยังต้องกลัวเขาอีกหรือ”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง เขาไม่กลัวเลยสักนิด

เทพมารยุคบรรพกาลตนหนึ่ง เอ่ยถากถางว่า “เจ้าร้ายกาจขนาดนี้ เหตุใดเจ้าไม่ไปฆ่าผานกู่เองเล่า”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหัวเราะออกมา “หากข้าสังหารผานกู่ได้ พวกเจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไร”

“หากเจ้าสามารถสังหารเขาได้ ข้าจะยอมเป็นทาสรับใช้เจ้า คอยรับใช้เจ้า!”

“ดี!”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนลุกขึ้นจากไป

ไม่มีเทพมารตนใดขัดขวาง

รอจนกระทั่งเขาหายไปแล้ว หงหยวนได้ถ่ายทอดเสียงหาหานเจวี๋ย “เขากำลังรนหาที่ตาย เจ้าไม่ขวางหรือ”

หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงกลับ “ข้าไม่ได้สนิทกับเขา”

“เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงนั่งใกล้เจ้าถึงสองครั้ง”

“นั่นเป็นความปรารถนาของเขาเพียงฝ่ายเดียว”

หานเจวี๋ยตอบด้วยสำนวนสองแง่สองง่าม

หงหยวนเหลือบมองหานเจวี๋ยอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ไม่พูดมากอีก

เทพมารปฐมภพเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รอดูสถานการณ์ต่อสู้ของอริยะเทพอวี๋เจี้ยนเถอะ หยั่งเชิงตบะในชาตินี้ของผานกู่ดู”

เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลล้วนไม่มีความเห็นเป็นอื่น ถึงอย่างไรพวกเขาก็รังเกียจอริยะเทพอวี๋เจี้ยนอยู่แล้ว

ตำหนักตกอยู่ในความเงียบ เหล่าเทพมารต่างเริ่มฝึกบำเพ็ญ

หลายพันปีต่อมา

ดูเหมือนพวกเขาจะรับรู้ถึงบางสิ่งได้ ทั้งหมดต่างลืมตาขึ้น

หานเจวี๋ยก็เช่นกัน

มีสงครามเทพมารฟ้าบุพกาลอุบัติขึ้นแล้ว!

หานเจวี๋ยแอบนึกสงสัย ผานกู่ที่เพิ่งฟูมฟักสำเร็จจะเอาชนะอริยะเทพอวี๋เจี้ยนได้หรือไม่

หากเดากันตามบทแล้ว อริยะเทพอวี๋เจี้ยนน่าจะแพ้ มิเช่นนั้นหากผานกู่ตายตั้งแต่เพิ่งถือกำเนิด จะได้เรื่องหรือ?

………………………………………………………………