บทที่ 642 ทุบตี
ทางด้านใต้เท้ารองจิ่งหลังจากกลับจากบ้านกู้เจียวมาถึงจวนกั๋วกงแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็คือให้ฮูหยินรองเตรียมกระดาษเงินให้เขา เขาจะเผากระดาษ
ฮูหยินรองงงเป็นไก่ตาแตก “อยู่ดีๆ จะเผากระดาษให้ผู้ใดหรือเจ้าคะ”
ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย “ให้พี่เขยใหญ่ข้า!”
ฮูหยินรองสำลัก “ท่านแช่งใครน่ะหา!” นางหยุดเว้น ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ย “ไม่สิ เจ้ามีแค่พี่เขยเล็กนี่ ไปมีพี่เขยใหญ่ตอนไหน!”
นางเป็นบุตรสาวคนโตในบ้าน ไม่มีพี่ชาย มีแต่น้องชาย
ใต้เท้ารองจิ่งยืนตัวตรงเอ่ย “พี่เขยใหญ่ของพี่ใหญ่ข้าก็คือพี่เขยใหญ่ของข้าเช่นกัน!”
ฮูหยินรอง “…”
ใช่แล้ว ฮูหยินรองนึกขึ้นได้แล้ว ใต้เท้ารองตอนหนุ่มๆ เป็นพวกเกเร ไม่รู้ว่าโดนบุตรชายคนโตตระกูลเซวียนหยวนกระทืบไปกี่ครั้งกี่หน หลังจากนั้นพอรู้ว่าเซวียนหยวนเฮ่าเป็นพี่เขยคนโตของพี่ใหญ่ตัวเอง จึงเรียกพี่เขยใหญ่ตามด้วย เพื่อให้โดนกระทืบน้อยลง
อันที่จริงตระกูลเซวียนหยวนมีบุตรชายสายตรงมากมาย อย่าเห็นแค่ว่าเซวียนหยวนเฮ่าชกใต้เท้ารองมากที่สุดเชียว ปกป้องใต้เท้ารองก็มากที่สุดด้วย ดังนั้นใต้เท้ารองจึงทั้งกลัวทั้งเกรงเซวียนหยวนเฮ่า
“เหตุใดจู่ๆ จึงคิดจะเผากระดาษให้เขาขึ้นมาเล่า” ฮูหยินรองถาม
ใต้เท้ารองจิ่งขมวดคิ้ว ถาม “เจ้า…รู้สึกหรือไม่ว่าไอ้หนุ่มที่มาจากแคว้นเจานั่น…แววตาเหมือนพี่เขยใหญ่มาก”
ฮูหยินรองเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านหมายถึงเพื่อนร่วมชั้นของมู่ชิงเฉินน่ะหรือ หมอเก๊จอมต้มตุ๋นคนนั้นน่ะหรือ”
ใต้เท้ารองพยักหน้า ก็เพราะเป็นนักต้มตุ๋นมิใช่หรือไร วันนี้จึงไถเงินเขาไปตั้งห้าร้อยตำลึง
“ไม่รู้สึกเลย” ฮูหยินรองส่ายหน้า “คนแคว้นล่างคนหนึ่ง จะไปเหมือนบุตรชายสายตรงตระกูลเซวียนหยวนได้อย่างไรกัน”
“ไม่ใช่หน้าตาเหมือน แววตาต่างหาก แววตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารนั่นน่ะ!” ใต้เท้ารองจิ่งพยายามอธิบาย แต่ฮูหยินรองก็ยังไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจถึงแววตาที่เขาอธิบายว่าเหมือน
ใต้เท้ารองจิ่งโบกมือ “ช่างเถิด ช่างเถิด เจ้าไม่เคยโดนพี่เขยใหญ่ชกมาก่อน เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ฮูหยินรองย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว นางเป็นสตรี เห็นเซวียนหยวนเฮ่าแค่ไม่กี่ครั้ง จะไปสังเกตแววตาเซวียนหยวนเฮ่าได้อย่างไร
ฮูหยินรองถลึงตาใส่สามีตัวเอง “ข้าว่าท่านโดนของเข้าแล้วกระมัง เจ้าเด็กนั่นมันมีมนตร์คาถาอะไรใช่หรือไม่ หรือบางทีท่านอาจโดนเด็กคนนั้นสะกดไว้”
นึกไม่ถึงว่าแววตาของเด็กนั่นจะเหมือนเซวียนหยวนเฮ่า
จะเป็นไปได้อย่างไร
เซวียนหยวนเฮ่าเป็นถึงบุตรชายที่เก่งกาจที่สุดของเซวียนหยวนลี่เชียวนะ เจ็ดขวบก็ถูกเซวียนหยวนลี่พาไปไหนมาไหนด้วย เข้าออกค่ายทหาร ร่ำเรียนตำราสงครามจนเชี่ยวชาญ สิบสองปีก็ติดตามบิดาออกศึก ไม่เคยปราชัยสักครั้ง!
กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก ศึกสุดท้ายในชีวิตเขาดันพ่ายแพ้เสียนี่ ถูกหมื่นธนูทะลุดวงใจตาย
ความคิดฮูหยินรองออกทะเลไปไกลโดยไม่รู้ตัว
เมื่อครู่นี้ตัวเองพูดเรื่องโดนของแท้ๆ ยามนี้นึกไปถึงการตายของเซวียนหยวนเฮ่าเสียแล้ว
ใต้เท้ารองจิ่งตั้งใจขบคิดคำพูดของฮูหยินรองอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้สักเท่าใด ตอนนั้นเขาอยู่หน้าประตู เด็กคนนั้นอยู่หลังบ้าน ห่างกันตั้งไกล เด็กคนนั้นจะสะกดเขาได้อย่างไร
“ช่างมันแล้วกัน เจ้าไปเอากระดาษเงินมาก่อนเถิด”
ฮูหยินรองปรายตามองเขา “เจ้าค่ะ ข้าจะไปเตรียมให้ แต่ท่านไม่ได้จับตัวคนกลับมา จะบอกทางหมอเทวดามู่อย่างไร”
นึกถึงมู่หรูซิน ใต้เท้ารองจิ่งก็ปวดหัวขึ้นมา
อีกด้านหนึ่ง กู้เจียวกับท่านอาวุโสเมิ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินหน้าบ้านเล่นหมากรุกจบแล้วหนึ่งตา
ท่านอาวุโสเมิ่งเริ่มอธิบายกลหมากเมื่อครู่ให้ฟัง “เจ้าดูนะ หากตานี้ของเจ้าไม่ได้เดินเช่นนี้ละก็ อาจจะชนะได้ไปแล้ว”
กู้เจียวตั้งใจฟังผู้อาวุโสทวนกลหมาก ผู้อาวุโสความจำดี ทั้งฝีมือหมากก็ดีมากเช่นกัน
เมื่อก่อนตอนอยู่แคว้นเจาเขาเก็บงำเอาไว้
ท่านอาวุโสเมิ่งหยิบหมากดำวางลง “เดินตรงนี้ เดินตรงนี้ หรือตรงนี้ล้วนตายหมด ดังนั้นตานี้ที่เจ้าเดินจึงถูกต้องแล้ว”
กู้เจียวเอ่ย “ที่ถูกไม่ต้องอธิบายแล้ว อธิบายที่ผิดไปเลย”
ท่านอาวุโสเมิ่งมองกู้เจียวด้วยสายตาชื่นชม จิตใจเข้มแข็งใช้ได้นี่นา
มานึกถึงหมากตานี้ตัวเองใช้ป้ายคำสั่งของปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นมาแลก ท่านอาวุโสเมิ่งจึงอธิบายละเอียดขึ้นเป็นพิเศษ…ราวกับว่าตัวเองติดค้างอะไรแม่หนูผู้นี้เสียอย่างนั้น
“ที่พูดมาเมื่อครู่จำได้แล้วกระมัง เอาละ เช่นนั้นมาอีกตา ดูซิว่าเจ้าเข้าใจถ่องแท้จริงๆ หรือไม่!”
“ไม่เอาแล้ว” กู้เจียวเอ่ย “ไหนว่าแค่ตาเดียว”
ท่านอาวุโสเมิ่ง “…!!”
ข้าเป็นถึงปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นสอนเจ้าเล่นหมากรุกเจ้ายังจะรังเกียจอีก!
ข้าไม่เคยใจเย็นกับลูกศิษย์ตัวเองเช่นนี้ด้วยซ้ำ!
เจ้าต้องรู้จักคุณค่าหน่อยสิ!
รอข้าจากไปแล้วเจ้าก็รู้จักเสียดายขึ้นมาแล้ว!
กู้เจียวนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ถามเขา “ท่านจะไปเมื่อใดรึ”
ท่านอาวุโสเมิ่งเหมือนมีก้อนเลือดจุกที่ลำคอแล้ว เขาสูดหายใจลึก เอ่ยอย่างโมโห “น้องชายใจดำคนนั้นของเจ้าทำข้าสภาพเป็นเช่นนี้ บาดแผลยังไม่ให้ข้ารักษาให้หายดีก็จะไล่กันแล้วรึ!”
กู้เจียว “อ๋อ”
ท่านอาวุโสเมิ่งแอบพรูลมหายใจ ยังดีที่เขาไหวพริบดี สงบนิ่งได้ทันเวลา หากไปจริงๆ แล้วจะหาแม่หนูนี่เล่นหมากรุกได้อย่างไรอีก
กู้เจียวเอ่ย “พาม้าเดินเล่นทุกวัน รวมกินรวมอยู่”
ท่านอาวุโสเมิ่ง “…!!” เขาจำต้องตกตะลึงอีกครั้ง
…
กู้เจียวถือป้ายอาญาสิทธิ์ได้มันมาด้วยการเล่นหมากรุกเดินกลับห้อง ตาเฒ่าบอกว่ามันใช้เป็นตราอาญาสิทธิ์ได้ ในมือนางมีตราอาญาสิทธิ์ที่เซียวเหิงให้นางอยู่ ของสองสิ่งนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ตราอาญาสิทธิ์พิเศษอย่างนั้นหรือ”
กู้เจียวพึมพำ
หากป้ายคำสั่งที่ตาเฒ่าให้นางสามารถใช้เป็นป้ายอาญาสิทธิ์เมืองชั้นในได้จริง เช่นนั้นก็ปลอดภัยกว่าตราอาญาสิทธิ์ของ ‘กู้เจียว’ เป็นไหนๆ
กู้เจียวตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วจะไปลองที่หน้าประตูเมืองชั้นในดู
วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สาง กู้เจียวก็ตื่นนอน นางฝึกทวนพู่แดงอยู่ที่ท้ายเรือนครู่หนึ่ง ฝึกเสร็จกู้เสี่ยวซุ่นก็ตื่น
สองคนพี่น้องกินมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไปสำนักบัณฑิตเทียนฉง
เสื้อของทั้งคู่ตัดเย็บเสร็จหมดแล้ว เมื่อวานกู้เสี่ยวซุ่นไปรับมาจากสำนักบัณฑิตเรียบร้อย วันนี้ทั้งคู่จึงสวมใส่ชุดสำนักบัณฑิตเทียนฉง
“ท่านพี่ ท่านพี่สวมชุดสำนักบัณฑิตของพวกเราแล้วดูดีนัก!” กู้เสี่ยวซุ่นอยู่ข้างหน้า เขาเดินถอยหลังพลางพูดคุยกับกู้เจียว
กู้เจียวเห็นด้วยสุดๆ “ข้าก็ว่าข้าดูดี!”
เพิ่งจะเอ่ยจบ แววตานางก็ลุ่มลึกขึ้น “เสี่ยวซุ่น!”
ช้าไปแล้ว กู้เสี่ยวซุ่นชนไปแล้ว
เขาเดินถอยหลังอยู่ ก่อนหน้านี้ถนนเส้นนี้ไม่มีคน ใครจะไปคิดว่าพอเลี้ยวมาในตรอกกลับมีคนนับสิบขวางไว้
“พี่ฉิน! เจ้านี่แหละ!” ชายหนุ่มจมูกช้ำหน้าบวมคนหนึ่งชี้กู้เจียวพลางเอ่ย
กู้เจียวจำเขาได้ นี่เป็นบัณฑิตสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ที่โดนนางอัดเป็นกุ้งแห้ง หลังจากนั้นนางก็เคยได้ยินโจวถงเอ่ยถึงอยู่บ้าง ว่าคนผู้นี้ชื่ออู๋เฟิง เป็นชาวเซิ่งตู ถือว่าเป็นตัวแสบเอาเรื่องประจำสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์เลย ในมือมีลูกสมุนอีกด้วย
ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าพี่ฉินกู้เจียวไม่เคยได้ยินโจวถงเอ่ยถึงมาก่อน
แต่ดูท่าทางก็ไม่ใช่ตอซังดีอะไรหรอก
พี่ฉินดึงคอเสื้อกู้เสี่ยวซุ่นไว้ หยักยกมุมปากอย่างเย็นชา ก่อนมองไปยังกู้เจียวพลางเอ่ย “เจ้าเป็นคนรังแกพี่น้องข้ารึ”
กู้เจียวปรายตามองเขานิ่ง แววตาไร้ความหวาดกลัวใดๆ “หากยังอยากมีมืออยู่ก็ปล่อยเขาเสีย”
พี่ฉินหัวเราะเยาะ พอยกมือขึ้นได้ก็ต่อยท้องกู้เสี่ยวซุ่นทันที!
เขาเป็นคนมีวรยุทธ์ ซ้ำยังใช้กำลังภายในเกือบเจ็ดส่วน หมัดนี้เพียงพอที่จะทำให้ม้ามของกู้เสี่ยวซุ่นแตกได้!
ก็แค่รุมกระทืบเอง คราก่อนกู้เจียวสั่งสอนพวกอู๋เฟิงยังไม่ลงมือแรงเพียงนี้เลย
แววตากู้เจียวเย็นยะเยือก ปลายนิ้วขยับ เข็มเงินเล่มหนึ่งดีดตัวออกไป ปักเข้าข้อมือเขา
เขาพลันชาข้อมือ กู้เสี่ยวซุ่นดิ้นหลุดออกมาได้
“จับมันให้ข้า!”
พี่ฉินกัดฟันตวาดกร้าว
พวกสิบกว่าคนในตรอกกรูมาล้อมไว้ กู้เจียวสาวเท้าขึ้นหน้าสองสามก้าว ดึงกู้เสี่ยวซุ่นไปด้านหลังนาง ก่อนยกเท้าเตะคนที่อยู่หน้าสุด เขาถูกเตะกระเด็นตัวลอยไปทับอีกสี่ห้าคนทันที
กู้เจียวขึ้นไปเหยียบไว้ ทุกคนถูกกดจนซี่โครงคล้ายจะหักอยู่รอมร่อ หลังจากเหยียบเพื่อส่งแรงกู้เจียวก็ทะยานขึ้นไปเตะพี่ฉินที่กำลังเริ่มฟื้นคืนกระเด็นไปบนกำแพง ก่อนจะตกลงบนพื้นอย่างแรง!
กู้เจียวเดินไปหา เหยียบหน้าอกเขาด้วยเท้าข้างหนึ่ง กดเขาที่กำลังจะคลานขึ้นมาให้กลับไปที่พื้น!
พี่ฉินคิดไม่ถึงว่าไอ้หนุ่มนี่จะรุนแรงเพียงนี้ เขาพาพวกมาสิบกว่าคน ยังไม่ได้เริ่มก็โดนจัดการจบเสียแล้ว
บัณฑิตของสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์อีกเจ็ดแปดคนที่เหลือเห็นสถานการณ์ก็ไม่กล้าเข้ามาแล้ว
พวกเขาไม่ใช่บัณฑิตใหม่ เป็นบัณฑิตเก่าที่เรียนซ้ำอยู่ที่สำนักบัณฑิตหลายปีแล้ว เมื่อก่อนมีแต่พวกเขารังแกคนอื่น ไม่เคยโดนบัณฑิตใหม่คนไหนจัดการเช่นนี้มาก่อนเลย!
นับประสาอะไรกับบัณฑิตใหม่ของสำนักบัณฑิตเทียนฉง!
สำนักบัณฑิตเทียนฉงเป็นสำนักบัณฑิตสายบุ๋น ในนั้นมีแต่พวกหนอนหนังสือ!
กู้เจียวกดสายตามองต่ำไปที่เขา “จะเอามือหรือจะเอาชีวิตไว้”
พี่ฉินถูกเหยียบจนหน้าแดงเห่อขึ้นมา เขามองกู้เจียวอย่างมาดร้าย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร พ่อข้าเป็นคนของตระกูลหนานกง…อ้ากกก”
กร๊อบ!
กู้เจียวกระทืบซี่โครงเขาหัก!
“เจ้าพูดต่อสิ พ่อเจ้าเป็นใครนะ”
“พ่อข้าเป็นคนตระกูลหนาน…อ้ากกก”
กู้เจียวกระทืบซี่โครงเขาหักอีกซี่!
จู่ๆ แววตากู้เจียวก็แผ่ไอสังหารคมกริบออกมา นางหยักยกมุมปากอย่างมาดร้าย “พูดอีกที พ่อข้าเป็นใครนะ”
พี่ฉินไม่กล้าส่งเสียงแล้ว เขาขวัญผวากับกู้เจียวไปแล้ว
เด็กหนุ่มที่ดูๆ ไปยังไม่ถึงสิบเจ็ดปี เหตุใดจึงได้น่ากลัวเพียงนี้
กู้เจียวมองผู้คนที่เงียบเป็นจักจั่นฤดูหนาว พลางเอ่ยเสียงเย็น “ต่อไปนี้พวกเจ้าสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์อย่าได้มาปรากฏตัวระแวกสำนักบัณฑิตเทียนฉงอีก ข้าอารมณ์ไม่ดีก็จะตีคน เหมือนอย่างนี้”
นางเอ่ยจบก็กระทืบไปอีกที เสียงกรอบแกรบดังขึ้น พี่ฉินซี่โครงหักอีกสองซี่ เขาเจ็บจนสลบเหมือดไปทันที!