บทที่ 643 โอ๋เจียวเจียว (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 643 โอ๋เจียวเจียว (1)

พวกตกตะลึงกับการกระทำของกู้เจียว ใครบอกว่าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเทียนฉงล้วนเป็นพวกหนอนหนังสือรังแกง่ายกัน

แหกตาดูให้ชัดนี่เป็นหนอนหนังสืออย่างนั้นรึ

มีหนอนหนังสือคนไหนมันลงไม้ลงมือได้โหดเหี้ยมเพียงนี้บ้าง

สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์เป็นสำนักบัณฑิตสายบู๊ ในนั้นมีแต่คนที่เป็นวรยุทธ์กันทั้งนั้น สุดท้ายสู้บัณฑิตใหม่สำนักบัณฑิตเทียนฉงไม่ได้!

จะไปพูดกับใครได้

กู้เจียวจัดการบัณฑิตอันธพาลพวกนี้เสร็จก็พากู้เสี่ยวซุ่นจากไป

“พี่ พวกเขาจะฟ้องร้องหรือไม่” กู้เสี่ยวซุ่นถาม

ตามหลักแล้วคงไม่

โดยหลักแล้วเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่อยากขายหน้า ถูกบัณฑิตสายบุ๋นคนหนึ่งกระทืบ ลือออกไปชื่อเสียงได้ป่นปี้เป็นแน่

กู้เจียวเดาไว้ไม่ผิด คนพวกนี้ไม่มีหน้าไปป่าวประกาศว่าถูกซ้อมเลยสักคน จนใจที่บังเอิญคนที่ถูกพวกนางซ้อมโดนผู้ปกครองบัณฑิตสำนักบัณฑิตเทียนฉงคนหนึ่งที่ผ่านทางมาเห็นเข้า

ผู้ปกครองจึงไปห้องสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์

ยังไม่ถึงเที่ยง เจ้าสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์กับอาจารย์สองคนก็พาบัณฑิตพวกนั้นที่บาดเจ็บเข้ามาในสำนักบัณฑิตเทียนฉง

เจ้าสำนักเฉินของสำนักบัณฑิตเทียนฉงกำลังทำหน้าที่รดน้ำดอกโบตั๋นในกระถางใบกระจุ๋มกระจิ๋มอยู่ ได้ยินคนรับใช้รายงานว่าคนของสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์มาหา ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ “บัณฑิตเราโดนพวกเขารังแกอีกแล้วรึ”

ไอ้สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์หน้าไม่อายพวกนี้ วันๆ เอาแต่ทำตัวเป็นอันธพาลกร่างไปทั่ว มีสำนักบัณฑิตใกล้ๆ ไม่กี่แห่งที่ไม่โดนพวกเขาระราน

ไม่ใช่ว่าใครก็โดนพวกเขารังแกไปเสียหมดหรอก อย่างท่านชายสูงศักดิ์มู่ชิงเฉินย่อมไม่มีใครกล้าระรานอยู่แล้ว แต่บัณฑิตในสำนักบัณฑิตเป็นพันๆ ใครจะรับประกันได้ว่าทุกคนจะเหมือนมู่ชิงเฉิน

คนรับใช้เอ่ยเสียงเจื่อน “เหมือนว่า…บัณฑิตสำนักบัณฑิตของพวกเรา…จะต่อยบัณฑิตของพวกเขานะขอรับ…”

เจ้าสำนักเฉิน “…”

เจ้าสำนักอู่แห่งสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ก็เจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ที่ผ่านมามีแต่คนอื่นมาฟ้องที่สำนักบัณฑิตของพวกเขา วันนี้ลมเปลี่ยนทิศ นึกไม่ถึงว่าถึงตาพวกเขาวิ่งโร่มาฟ้องคนอื่นแล้ว

ณ ห้องทำงานของเจ้าสำนักเฉิน เจ้าสำนักอู่ให้เจ้าสำนักเฉินและอาจารย์ทุกคนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงที่ไม่มีคาบสอนตอนเช้ามาดูบัณฑิตแปดคนที่เขาพามาด้วย

บัณฑิตแปดคนนี้ล้วนเข้าร่วมการรุมกระทืบเมื่อเช้าทั้งสิ้น แต่ละคนจมูกช้ำหน้าบวมกันเป็นแถว ซ้ำยังมีคนหนึ่งที่บาดเจ็บหนักหามเข้าโรงหมอ ลงจากเตียงไม่ได้ จึงไม่ได้มาที่นี่ด้วย

“ดูสิ! นี่เป็นเรื่องงามหน้าที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงของพวกเจ้าทำไว้!” เจ้าสำนักอู่เอ่ยขึ้นเสียงเย็น

เจ้าสำนักเฉินแววตาเป็นประกาย “บัณฑิตของสำนักบัณฑิตเราเป็นคนทำจริงๆ รึ”

อาจารย์อู่กระแอมในคอ “อะแฮ่ม!”

เจ้าสำนักเฉินตีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าบอกว่าบัณฑิตเราเป็นคนทำอย่างนั้นรึ มีหลักฐานหรือไม่!”

เจ้าสำนักอู่ชี้บัณฑิตที่จมูกช้ำหน้าบวมเหล่านั้น พลางเอ่ยอย่างโมโห “พวกเขานั่นไงล่ะหลักฐาน!”

“ใครเป็นคนทำ” เจ้าสำนักเฉินถามอาจารย์อู่เสียงเบา

อาจารย์อู่ริมฝีปากไม่ขยับ แต่เค้นเสียงลอดไรฟันให้ได้ยินกันแค่สองคน “พวกเขาบอกว่าเป็นบัณฑิตใหม่ บนหน้ามีปาน น่าจะเป็นเซียวลิ่วหลังห้องหมิงซินขอรับ”

หากเรียนที่สำนักบัณฑิตก็ล้วนแต่เป็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิต ตอนที่อาจารย์อู่กำลังแยกแยะพวกเขาก็ไม่ได้บอกว่าบัณฑิตจากแคว้นไหน แต่บอกได้ว่าเป็นบัณฑิตจากห้องไหน

ชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหูทีเดียว เจ้าสำนักเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดพลางถาม “บัณฑิตใหม่ที่มาวันแรกก็ไปเที่ยวหอนางโลมเลยโดนจดชื่อคนนั้นน่ะรึ”

อาจารย์อู่ “…ขอรับ เขานั่นแหละ” หยุดเว้นนิดหน่อย ก่อนเอ่ยเสริม “คนที่กำราบราชาม้าได้ก็เขาเช่นกัน”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เอ่ยถึงราชาม้า เจ้าสำนักเฉินก็จำเรื่องราวที่เกือบโดนราชาม้าเหยียบตายได้ สีหน้าเขาอึมครึมขึ้น

เจ้าสำนักอู่เอ่ยเสียงเย็น “วันนี้พวกเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนฉงต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา!”

เจ้าสำนักเฉินยิ้มเจื่อน “พวกเจ้าอยากได้คำอธิบายอะไรเล่า”

เจ้าสำนักอู่เอ่ย “ไม่เข้มงวดขัดเกลาลูกศิษย์เป็นความบกพร่องของอาจารย์! สำนักบัณฑิตของพวกเจ้าสอนบัณฑิตให้กลายเป็นคนเช่นนี้ออกมา มันอยู่ในความรับผิดชอบของอาจารย์! ต้องชดใช้ค่ายาและค่าเสียหายทั้งหมดของบัณฑิตเรา! นอกจากนี้ ต้องขอโทษสำนักบัณฑิตของพวกเราด้วย! และบัณฑิตคนนั้นต้องขอโทษบัณฑิตที่ถูกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บด้วย! สุดท้าย คนไม่เห็นหัวใครเช่นนี้ไม่คู่ควรจะเป็นบัณฑิตของเซิ่งตู ไล่ออกจะดีกว่า!”

อาจารย์แซ่หยางของสำนักบัณฑิตเทียนฉงคนหนึ่งทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “พวกเจ้าสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ก้าวก่ายมากเกินไปแล้วกระมัง จะจัดการบัณฑิตอย่างไรนั้นเป็นเรื่องของสำนักบัณฑิตเรา มิใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้าที่ต้องเข้ามายุ่งหรอก! อีกอย่าง บัณฑิตจากสำนักบัณฑิตของพวกเจ้าไม่เคยก่อเรื่องข้างนอกมาก่อนเลยหรือไร ตอนนั้นพวกเจ้าพูดว่าอะไรแล้วนะ ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบของบัณฑิต กระทำตามแต่อารมณ์ ขาดเหตุผลยับยั้ง เหตุใดต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วยมิใช่รึ เรื่องใหญ่ขึ้นมา อนาคตของเด็กๆ ได้จบเห่แน่ ยามนี้พวกเจ้ากลับไม่กลัวทำลายอนาคตคนเขาแล้ว!”

อาจารย์อู่ลอบยกนิ้วโป้งให้เพื่อนร่วมงาน สมกับเป็นอาจารย์สอนกลยุทธ์ ความสามารถในการโต้แย้งช่างล้ำเลิศ

พวกอาจารย์สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์สะอึกกันหมด

แต่ไหนแต่ไรมาสำนักบัณฑิตของพวกเขาอันธพาลขวางโลก รังแกคนอื่นล้วนทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องเล็กก็แล้วๆ กันไป ทำตัวอันธพาลรำไทเก๊กล้วนเป็นการกระทำที่ปกติทั้งสิ้น

จู่ๆ เจ้าสำนักอู่ก็นึกถึงประเด็นสำคัญในนั้นได้ “แต่ไม่มีใครลงมือเหี้ยมโหดเท่าพวกเจ้านะ! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักบัณฑิตเรามีบัณฑิตคนหนึ่งเกือบไปปรโลกแล้ว!”

อาจารย์หยางสำนักบัณฑิตเทียนฉง “พวกเจ้าหมายความว่าสิ่งที่บัณฑิตสำนักบัณฑิตเราทำก็คือสิ่งที่บัณฑิตสำนักบัณฑิตเราทำอย่างนั้นรึ บัณฑิตสายบู๊สิบกว่าคนของพวกเจ้าสู้บัณฑิตใหม่สายบุ๋นของสำนักบัณฑิตเราไม่ได้หรืออย่างไร ลือออกไปใครจะเชื่อ”

พวกสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์พากันหน้าแดงก่ำไปหมด

เมื่อครู่เจ้าสำนักอู่โมโหจนเลอะเลือนไป ยามนี้เพิ่งจะฉุกคิดขึ้นมาได้ นั่นสิ บัณฑิตสายบู๊สิบกว่าคนถูกบัณฑิตใหม่สายบุ๋นคนเดียวอัดจนน่วม ขายหน้ามาถึงสถาบันแล้ว!

เจ้าสำนักเฉินเอ่ย “เอาละ ไปเรียกอะไรนะ…เซียวลิ่วหลังมา ลองฟังว่าเขาจะพูดอย่างไร”

กู้เจียวมาด้วยกันกับกู้เสี่ยวซุ่น

อย่างไรเสียจากคำอธิบายของคนสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ เซียวลิ่วหลังยังมีเพื่อนร่วมชั้นตัวน้อยอีกคนที่ไม่ได้ลงมือ

เจ้าสำนักเฉินมองกู้เจียวพลางถาม “พวกเขาบอกว่าเจ้าลงมือพวกเขา เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”

กู้เจียวสายตาเย็นเยียบกวาดมองไป พวกบัณฑิตสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์กลุ่มนั้นพลันตัวสั่นงันงก ราวกับหนูเห็นแมว

เจ้าสำนักอู่ถลึงตามองพวกบัณฑิตสำนักบัณฑิตตัวเองอย่างโมโหในความไม่เอาไหน ปอดแหกอะไรนักหนา! จะขายหน้ากว่านี้หรือไร!

กู้เสี่ยวซุ่นกำลังจะเอ่ยขึ้นว่า ‘เจ้าสำนักเฉิน พวกเขาเป็นคนลงมือก่อนขอรับ! ในบรรดาพวกเขามีคนชื่อว่าพี่ฉิน เขาจับตัวข้าไว้ จะต่อยข้า ข้า…เซียวลิ่วหลังจึงได้ลงมือ’ สุดท้ายก็ได้ยินกู้เจียวเอ่ยขึ้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าไม่รู้จักพวกเขา ไม่เคยเห็น ไม่เคยต่อย”

บัณฑิตสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์พลันงงกันหมด!

ไร้ยางอายเพียงนี้เชียวรึ

ต่อยก็ต่อยไปแล้ว ยังไม่ยอมรับอีก

ตอนนั้นเจ้าทำพวกข้าหัวหดหมดเลย กระทืบหน้าอกพี่ฉินถามเขาว่าจะเอาชีวิตไว้หรือจะเอามือไว้ด้วย มีปัญญาเจ้าก็กร่างต่อสิ!

กู้เจียวคิดในใจ ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย กร่างใส่พวกเจ้าไปก็แล้วกันไป แต่กร่างใส่เจ้าสำนักมันไม่คุ้ม เดี๋ยวโดนจดชื่อ

นางคือเซียวลิ่วหลังบัณฑิตดีเด่นนะ

อันที่จริงไม้นี้เจ้าสำนักอู่ก็เห็นจนชินแล้ว ที่ต่างไปก็คือเมื่อก่อนพวกเขาเป็นฝ่ายใช้กับคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่โดนคนอื่นเอาไม้นี้มาทำมึนใส่พวกเขา

เจ้าสำนักอู่เอ่ยอย่างโมโห “เจ้าโกหก!”

กู้เจียวชำเลืองมองเขานิ่งๆ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าโกหก เข้าใจถึงเพียงนี้ ท่านเคยทำมาก่อนหรือ เป็นยอดฝีมือด้านนี้หรือไร”

เจ้าสำนักอู่โดนยั่วโทสะจนแทบกระอักเลือด

กู้เสี่ยวซุ่นพลันกลับคำ เพราะพี่สาวเขาพูดอะไรล้วนถูกต้องทั้งสิ้น เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกต้อง! วันนี้พวกเราไม่เคยเจอพวกเจ้าเลย! ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าโดนใครต่อยมา ดันจะโยนความผิดมาให้พวกเราให้ได้!”

เจ้าสำนักอู่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า “พวกเจ้าเก่งนักรึ จะปัดความรับผิดชอบให้ได้! พวกเจ้าชั่งน้ำหนักของพวกเจ้าเองสิ! ก็แค่คนแคว้นล่างสองคน มีอะไรคู่ควรจะให้พวกข้าต้องเปลืองแรงมาใส่ร้ายคิดบัญชีด้วย!”

ถ้อยคำดังกล่าวมีเหตุผลสุดๆ

ไหนเลยจะรู้ว่ากู้เจียวเอ่ยโดยไม่หวาดผวา ซ้ำยังไม่เหลือบตาขึ้นมองสักนิด “เช่นนั้นคงต้องถามพวกเจ้าเองแล้ว ใครจะรู้ว่าพวกเจ้ามีความคิดพิเรนทร์อะไรอยู่ในใจ”

เจ้าสำนักอู่โมโหจนตัวสั่นไปทั้งร่างแล้ว “เจ้า! พวกเจ้าสองคนกลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิดไปหมด! เฉไฉไปเรื่อย เพ้อเจ้อไร้สาระ!”

อาจารย์สำนักบัณฑิตอู่เย่ว์คนหนึ่งเดินขึ้นหน้า มองกู้เจียวพลางเอ่ย “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนต่อย เจ้ามีหลักฐานว่าตัวเองบริสุทธิ์หรือไม่”

“มี!”