ตอนที่ 216-1 หนึ่งครรภ์สามชีวิต

แม่ทัพน้อยมู่ดื่มยาสงบใจแล้วสะลึมสะลือหลับไป ทุกคนไม่สะดวกจะปลุกเขาขึ้นมา จึงได้แต่รอสอบถามความจริงจากเขาในวันพรุ่งนี้

ฮ่องเต้เสริมการป้องกันในพระราชวัง เตือนเจาอ๋องกับยิ่นอ๋องต่อหน้ารอบหนึ่ง ทั้งสองรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างยิ่ง แม้พวกเขาจะเห็นจีหมิงซิวขัดหูขัดตาอีกร้อยเท่า แต่เรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ พวกเขาไม่รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างแม่ทัพน้อยมู่กับเฉียวเวยสักนิด จะใช้วิธีการนี้ชักนำภัยไปหาเฉียวเวยกับจีหมิงซิวได้อย่างไร

แน่นอนว่าในใจทั้งสองคนนึกเสียดายอยู่เล็กน้อย หากรู้ก่อนก็ดี ด้วยความสามารถของพวกเขา คงสังหารแม่ทัพน้อยมู่สำเร็จไปแล้ว แล้วจีหมิงซิวก็จะสลัดความผิดหนนี้ไม่พ้น

น่าเสียดายหนอ น่าเสียดายหนอ!

ทั้งสามคนออกจากวังหลวง ต่างคนต่างกลับไปจวนของตนเอง

หิมะหยุดตกแล้ว ถนนหลวงถูกคนกวาดจนสะอาดจึงเดินทางค่อนข้างสะดวก เวลาครึ่งชั่วยามรถม้าก็ไปถึงตระกูลจี เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบิดขี้เกียจ “ข้ากลับเรือนสี่ประสานแล้วนะ”

จีหมิงซิวลงจากรถม้า กลับไปบ้านชิงเหลียน

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองหลับไปแล้ว หลิวเกอร์ถูกเหล่าฮูหยินรับกลับเรือนลั่วเหมยแล้ว บ่าวรับใช้ทั้งหลายต่างกลับห้องพักด้านหลัง เรือนทั้งหลังเงียบสนิท

จีหมิงซิวเปิดประตูห้อง ภายในห้องไม่จุดโคมไฟ แต่ในห้องอาบน้ำมีแสงเรืองๆ ลอดออกมาอยู่ เขาหันไปมองห้องอาบน้ำ แล้วมองฟูกบนเตียง ผ้าห่มบนฟูกเตียงม้วนเป็นก้อน ดูไปแล้วเหมือนนางซุกศีรษะอยู่ในผ้าห่ม

จีหมิงซิวหยิบชุดนอนที่พับวางอยู่บนหัวเตียงเดินไปยังห้องน้ำ

บ่อน้ำมีกลีบดอกไม้ลอยอยู่เป็นชั้นหนา ไอร้อนลอยออกมาผ่านระหว่างกลีบดอกไม้ หัวหมาป่าด้านบนพ่นน้ำร้อนออกมาเป็นสาย

จีหมิงซิวถอดเสื้อผ้า เดินลงไปในบ่ออาบน้ำ

บ่ออาบน้ำไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก เขาผิงขอบบ่อ สองแขนพาดบนพื้น ปรือตาลงครึ่งหนึ่ง หางคิ้วเผยท่าทางเกียจคร้านนิดๆ

ทันใดนั้นกลางหมู่กลีบดอกไม้ก็มีฟองอากาศผุดออกมา ก้านข้าวสาลีก้านน้อยที่กลวงตรงกลางโผล่ออกมาจากผิวน้ำ ก้านไม้ท่อนนั้นทั้งเรียวเล็กและสั้น ยามซ่อนอยู่ท่ามกลางกลีบดอกไม้ยากจะสังเกตเห็น

สายตาของจีหมิงซิวหยุดอยู่บนก้านข้าวสาลีครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หยิบกลีบดอกไม้กลีบหนึ่งขึ้นมา ฟิ้ว! ส่งมันปลิวไปปิดบนรูของก้านไม้

ฟู่!

กลีบดอกไม้ถูกเป่าจนปลิว

แต่ไม่ทันรอให้นางสูดลมหายใจเฮือกใหม่ ปากของก้านข้าวสาลีก็ถูกนิ้วมืออุดอย่างเจตนาร้าย

ใครบางคนพยายามสูดลมหายใจต่อ แต่สูดไม่ได้!

หายใจไม่ออก!

เฉียวเวยทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากใต้น้ำ

กลีบดอกไม้ติดเต็มศีรษะของนาง นางปัดออกกสองสามกลีบแล้วหันไปเกาะขอบบ่อ หอบหายใจเฮือกใหญ่ๆ

จีหมิงซิวมองนางอย่างเรียบเฉย “ถอดกางเกงผู้อื่นยังไม่พอ ยังจะมาแอบถ้ำมองผู้อื่นอาบน้ำอีก เจ้าสำนักเฉียวช่างลามกจริงๆ”

เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา โมโหจนแก้มป่อง “ผู้ใดลามก ข้ามาก่อนแท้ๆ! หากจะมีผู้ใดถ้ำมองก็เป็นท่านที่ถ้ำมองข้า!”

จีหมิงซิวตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าจงใจหลบอยู่ใต้น้ำ ผู้ใดจะเห็นเล่า”

เฉียวเวยแค่นเสียงดังเหอะ “จะอาบน้ำอย่างไรก็เรื่องของข้า มองไม่เห็นเป็นเรื่องของท่าน สรุปก็คือข้ามาก่อน ท่านมายึดครองบ่อน้ำของข้าแล้วยังอุดก้านต้นข้าวสาลีของข้าอีก ท่านนั่นแหละผิด!”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร”

เฉียวเวยกระแอม “ข้าถอดกางเกงผู้อื่น ท่านแอบถ้ำมองข้า พวกเราก็เสมอกันแล้ว!”

จีหมิงซิวแย้งว่า “การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ยุติธรรม เจ้ากับข้าเคยเห็นกันมาแล้ว หากข้าไปดูผู้หญิงคนอื่น นั่นถึงจะนับว่าเสมอกัน”

เฉียวเวยนั่งกอดอก ว่าอย่างขุ่นเคือง “ก็ได้! ท่านไปดูสิ!”

จีหมิงซิวดวงตาทอประกายเย็นเยียบ ลุกขึ้นจะเดินออกไป เฉียวเวยถลาไปกอดแขนเขาไว้ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ท่านจะไปจริงหรือ”

แววตาของจีหมิงซิวดำทะมึน

เฉียวเวยยังไม่รู้ว่าตนเองจุดไฟขึ้นมาแล้ว “อย่าไปนะ พวกนางมีตรงไหนงามเท่าข้า”

จีหมิงซิวแทบจะปั้นสีหน้ามึนตึงเอาไว้ไม่ไหว ต่อให้นี่เป็นความจริงที่สุด แต่มีใครที่ไหนพูดเช่นนี้ออกมาได้บ้าง

“ถอดสิ” เขาสั่งเสียงเย็นชา

เฉียวเวยงุนงง “หืม”

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “เจ้าไม่ได้จะให้ข้าดูหรือ”

เฉียวเวยปล่อยแขนของเขาออกแล้วกอดตัวเอง ขนตากระพือรัวเร็ว “ข้า…ข้านั่นมัน…ท่านก็เห็นหมดแล้วนี่…”

พูดได้ครึ่งเดียว จีหมิงซิวก็ขยับเข้ามา

ผิวน้ำกระเพื่อมเกิดฟองคลื่นกระทบขอบบ่อน้ำ

เกลียวคลื่นซัดสาดอยู่ทั้งคืน

เล่าถึงเจินซื่อ หลังจากได้อาศัยอยู่ในตระกูลจีอย่างมีความสุขเป็นคืนแรก พอฟ้าสางนางก็นำของขวัญที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วออกมา นำไปส่งมอบให้เรือนแต่ละหลัง ของขวัญชิ้นใหญ่ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ของที่ไปส่งมอบวันนี้เป็นของเล็กๆ น้อยๆ จำนวนหนึ่ง แม้จะบอกว่าเป็นการให้เป็นของขวัญ แต่ความจริงเป็นการอาศัยของขวัญ ตีสนิทคนในเรือนต่างๆ

นางเป็นญาติของเรือนใหญ่ สมควรไปคารวะเยี่ยมเยียนเรือนใหญ่ก่อนแล้วค่อยไปบ้านชิงเหลียน

จีหมิงซิวออกจากบ้านไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง สีหน้าแจ่มใสยิ่งนัก เฉียวเวยกลับไม่โชคดีเช่นนั้น นางหลับชนิดที่ว่าต่อให้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายก็ไม่สนใจ

ปี้เอ๋อร์ต้อนรับเจินซื่อกับลูกสาวเข้ามาในห้องโถงด้านข้าง แล้วยกน้ำชาร้อนมาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ฮูหยินน้อยร่างกายรู้สึกไม่ค่อยสบาย ตอนเช้ากินยาไปจึงหลับไปอีกแล้ว สวินฮูหยินกับคุณหนูสวินเชิญนั่งก่อน ข้าจะไปเรียกนาง”

เจินซื่อตอบอย่างเกรงใจ “ทำเช่นนั้นจะได้อย่างไร ในเมื่อนางป่วยไข้ พวกเรารอสักหน่อยก็ได้ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด”

ปี้เอ๋อร์ยิ้ม “สวินฮูหยินกับคุณหนูสวินยังไม่ได้ทานอาหารเช้าใช่หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปห้องครัวเล็กยกขนมมาสักหน่อย ให้พวกท่านรองท้อง!”

เจินซื่อหิวแล้วจริงๆ แต่ปากไม่สะดวกจะตอบรับจึงตอบอย่างเกรงใจ “ไม่ต้องหรอก ข้านำของมามอบให้ฮูหยินน้อยเดี๋ยวก็จะไปแล้ว”

ปี้เอ๋อร์ตอบทันที “นั่นจะได้อย่างไรเล่า อย่างไรก็ต้องกินขนมสักนิด”

แม้จะไม่อยากต้อนรับเจ้า แต่ตระกูลจีจะต้อนรับแขกไม่ดีไม่ได้

เจินซื่อไม่สะดวกปฏิเสธอีก ปี้เอ๋อร์จึงสั่งให้ห้องครัวเล็กยกขนมอันประณีตหลายชนิดออกมา แล้วยังต้มเส้นหมี่เนื้อสองชาม ต้มรังนกอีกสองถ้วย มาพร้อมกับของว่างเลิศรสอีกหลายจาน

นี่เป็นปริมาณอาหารที่เกือบจะพอให้วั่งซูกินคนเดียว

เจินซื่อมองอาหารเลิสรสมากมายหลากหลายเต็มโต๊ะแล้วตกตะลึงจนหุบปากไม่ลง รอจนพวกสาวใช้ถอยไปแล้ว นางจึงกระตุกมือบุตรสาวบอกว่า “อาหารเช้าเมื้อเดียวกินกันดีกว่าอาหารเย็นของพวกเราเสียอีก!”

สวินชิงเหยาใช้ช้อนตักรังนก “บ้านชิงเหลียนมีนายน้อยอยู่ ของกินย่อมต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง”

อาหารของเรือนกุ้ยเซียงมาจากครัวกลางย่อมเทียบกับห้องครัวเล็กของบ้านชิงเหลียนไม่ได้ แต่เหล่าไท่ไท่กับจีซั่งชิงก็กินของที่มาจากครัวกลางเช่นกัน

เจินซื่อเอ่ยอีกว่า “ข้าได้ยินว่าคนมั่งคั่งอย่างพวกเขาล้วนแต่กินรังนกเลือด เหตุไฉนจึงเอารังนกธรรมดาเช่นนี้มาต้อนรับพวกเรา”

ความจริงต่อให้เป็นรังนกธรรมดาก็ไม่ใช่ของที่ตระกูลสวินอยากจะกินก็ได้กิน พวกเขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้สักนิด แล้วยังจะซื้อรังนกได้หรือ ขอเถอะน่า

สวินชิงเหยาแย้งว่า “รังนกเลือด ของเช่นนั้นคงจะเก็บไว้ให้เหล่าฮูหยินกับเจ้านายตัวน้อยทั้งหลายกระมัง”

เจินซื่อถอนหายใจ “ช่างเถิด เจ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ของฮูหยินน้อย! ความจริงนางต้องเรียกเจ้าว่าท่านน้า เรียกข้าว่ายายสะใภ้อย่างนอบน้อม แต่นางเอาแต่เรียกคุณหนูสวิน สวินฮูหยิน ไม่นับตนเองเป็นผู้น้อยสักนิด!”

สวินชิงเหยาคีบซาลาเปามันปูลูกหนึ่งให้เจินซื่อ “กินอาหารเถิด ท่านแม่”

เจินซื่อเบ้ปากแล้วกินซาลาเปา ปากนางบอกว่าผู้อื่นไม่ยกของดีมาต้อนรับนาง แต่กลับกินอย่างไม่อิดออดแม้แต่น้อย

นางทราบว่าตนเองควรรักษามาดเสียหน่อย แต่อาหารบนโต๊ะอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ นางหยุดไม่ได้แม้แต่น้อย

สวินชิงเหยาเพียงชิมไม่กี่คำก็ข่มกลั้นความต้องการของกระเพาะแล้ววางตะเกียบลง เฉียวเวยยังไม่ตื่น สองแม่ลูกนั่งอยู่ตลอดเช้า นั่งจนตนเองเริ่มกระอักกระอ่วน จึงบอกว่าจะมาใหม่วันหลังแล้วขอตัวออกไป

เจินซื่อออกจากบ้านชิงเหลียนก็หน้าบูดบึ้งจนแทบดูไม่ได้ “มีอย่างที่ไหน! มีภรรยาคนใดมิรู้จักขนบธรรมเนียมเช่นนี้ ไม่ช่วยจัดการงานบ้านงานเรือนก็แล้วไปเถิด แม้แต่ผู้อาวุโสก็ยังไม่มาคารวะอีกหรือ ผู้อาวุโสตระกูลจีช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ พูดเสียดิบดีว่าเป็นตระกูลขุนนางใหญ่โต แต่ยังมีกฏระเบียบสู้บ้านของพวกเราไม่ได้”

สะใภ้คนใดของตระกูลสวินกล้านอนใส่นางเช่นนี้ ดูซิว่านางจะจัดการอย่างไร!

เจินซื่อไหนเลยจะรู้ว่ายิ่งเป็นตระกูลใหญ่เท่าใดก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับการแสดงออกเพื่อสร้างภาพเหล่านี้มากเท่านั้น มีเพียงตระกูลเล็กตระกูลน้อยเท่านั้นจึงจะเห็นกฎเกณฑ์สำคัญกว่าคน ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนี้แล้วจะไม่สามารถอวดได้ว่าตนเองได้รับการศึกษาอบรม ตระกูลมีกฎระเบียบ แตกต่างจากชาวบ้านตามตลาด

พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็คือไม่มั่นใจในตัวเองมากพอ

สวินชิงเหยากลับเอ่ยว่า “เรื่องนี้เป็นแบบผู้อื่นก็ไม่แน่ว่าจะไม่ดี ถูกกฎเกณฑ์บังคับน้อยลงหน่อยก็สบายขึ้นหน่อย”

เจินซื่อทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุตรสาวจึงเอ่ยเช่นนี้ พอหันไปมองบุตรสาวอีกหน บุตรสาวก็เดินไปด้านหน้าแล้ว นางรีบกวักมือ “เดี๋ยว! เดี๋ยว! รีบเดินไปไหนเล่า! รอข้าก่อนสิ!”

หลังจากจีหมิงซิวเลิกประชุมก็เดินทางไปยังตำหนักผิงชุนเพื่อเยี่ยมเยียนแม่ทัพน้อยมู่

แม่ทัพน้อยมู่อายุน้อยร่างกายแข็งแรงจึงฟื้นตัวได้ดีอย่างยิ่ง เพียงแต่ในยารักษาแผลของเขามียานอนหลับผสมอยู่เล็กน้อย เมื่อจีหมิงซิวไปเยี่ยมเขา เขาก็หลับไปแล้ว

จีหมิงซิวเรียกฝูกงกงออกมาด้านนออก

ฝูกงกงเป็นขันทีข้างพระวรกายฮ่องเต้ หลังจากแม่ทัพน้อยมู่บาดเจ็บสาหัส เพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของฮ่องเต้ เขาจึงต้องเทียวมาตำหนักผิงชุนวันละหกเจ็ดรอบ

“ถามสิ่งใดออกมาได้บ้างหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

ฝูกงกงตอบว่า “ถามออกมาได้แล้ว วันนั้นแม่ทัพน้อยมู่ได้ทานอาหารของหรงจี้แล้วลืมไม่ลง เมื่อวันก่อนได้ยินว่าหรงจี้อยู่ในเมืองนั้นจึงพาองครักษ์ไปสนองความตะกละ เรื่องนี้ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใด องค์ชายแปดจึงไม่ห้ามปรามเขา เพียงกำชับให้เขากลับมาหารือเรื่องงานที่วังหลวงก่อนยามโหย่ว เขาก็รับปาก ทว่าตอนที่กินอาหารในหรงจี้จนอิ่มหนำ เตรียมตัวจะกลับเมืองหลวงก็ถูกปล้นโดยบังเอิญ เขากับองครักษ์พลัดหลงกัน จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนั้น”

จีหมิงซิวทำสีหน้าราวกับกำลังขบคิดบางสิ่ง “ในเมื่อถูกปล้นในเมือง เหตุไฉนจึงวิ่งไปอยู่บนเขาของหมู่บ้านซีหนิวได้”

ฝูกงกงนึกๆ แล้วบอกว่า “ได้ยินแม่ทัพน้อยมู่เล่าว่า คนกลุ่มนั้นเหมือนจะจงใจต้อนเขาขึ้นไปบนเขา ระหว่างทางไม่พยายามสังหารเขาเต็มที่ จนกระทั่งเข้าไปในป่าแล้วจึงลงมือเอาให้ตาย”

หากกล่าวเช่นนี้ เป้าหมายของคนกลุ่มนั้นก็คิดจะยิงทีเดียวได้นกสองตัว จัดการแม่ทัพน้อยมู่แล้วโยนความผิดให้เฉียวเวยจริงๆ

แววตาของจีหมิงซิวเคร่งขรึม “เข้าใจแล้ว เจ้าถอยไปก่อน”

“ขอรับ” ฝูกงกงเข้าไปในตำหนัก

สายตาของจีหมิงซิวจับอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง “ยังจะหลบจนถึงเมื่อใด”

ยิ่นอ๋องปัดแขนเสื้อกว้าง เดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน สายตาคมปลาบดั่งคมดาบ “ดูสิท่านไปล่วงเกินผู้ใดมาอีกแล้วเล่า หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกไม่สู้แต่งมาอยู่กับข้าเสียดีกว่า จะได้ไม่ต้องเคราะห์ร้าย ถูกคนใช้แผนการลอบเล่นงานเพราะท่านอยู่ทุกวี่วัน!”

“เช่นนั้นหรือ” จีหมิงซิวถามอย่างนิ่งเฉย

ยิ่นอ๋องยิ้มหยัน “แน่นอน ข้าไม่มีคู่แค้นมากมายเท่าท่านหรอก”

จีหมิงซิวเอื้อมมือมาตบหัวไหล่เขาอย่างไม่คิดเก็บมาใส่ใจ “หากเจ้าแต่งกับนาง ข้าก็จะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของเจ้า คนที่ข้าจะสังหารคนแรกย่อมเป็นเจ้า”

สีหน้าของยิ่นอ๋องมืดครึ้มทันที!