ตอนที่ 216-2 หนึ่งครรภ์สามชีวิต

ตอนที่จีหมิงซิวเดินออกจากวัง ท้องฟ้าที่กระจ่างใสมาหนึ่งวันก็มีเกล็ดหิมะขนาดเท่าขนห่านร่วงลงมาอีกหน พวกมันโปรยปรายต่อกันเป็นสาย รวมกลุ่มกันลอยอ้อยอิ่ง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพิงตัวรถม้างีบหลับอยู่ เหมันต์มีหิมะกองเต็มพื้นแต่ยังนอนหลับทั้งที่ร่างกายอุ่นได้ย่อมมีแต่ยอดฝีมือในยุทธภพผู้มีกำลังภายในลึกล้ำเท่านั้น

เสียงฝีเท้าของจีหมิงซิวค่อยๆ เข้ามาใกล้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลืมตาขึ้นอย่างฉับไว แล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะกระโดดลงมาบนพื้น ตั้งใจหลีกทางให้จีหมิงซิว

จีหมิงซิวเหยียบม้านั่งไม้ด้วยเท้าข้างเดียวแล้วก้าวขึ้นไปบนรถม้า ทว่าชั่วพริบตาที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นแหวกม่าน จู่ๆ ร่างกายก็แข็งทื่อ ล้มเข้าไปด้านใน!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระโดดขึ้นมาบนรถม้าทันที มือรับเขาไว้อย่างว่องไว “ท่านไม่เป็นอะไรนะ”

จีหมิงซิวเหงื่อแตกพลั่กทั่วร่าง เหงื่อเม็ดเท่าเมล็ดถั่วผุดออกมาจากขมับแล้วไหลลงมาตามแก้ม ลำคอก็มีเหงื่อออกจนเหนียวเหนอะ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ “ท่านเป็นอะไร”

จีหมิงซิวนั่งลงบนที่นั่ง แล้วพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มกลั้นอาการไม่ปกติไว้ “ยา”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบดึงช่องลับ หยิบขวดกระเบื้องสีครามใบน้อยออกมา เทยาเม็ดหนึ่งป้อนเข้าไปในปากของเขา

หลังกินยาแล้วจีหมิงซิวจึงค่อยๆ สงบลง เส้นเลือดเขียวปูดโปนตรงขมับไม่นูนออกมาแล้ว เม็ดเหงื่อก็หยุดไหลเช่นกัน เขาประคองโต๊ะ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเขาอย่างแปลกใจ “เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น อาการกำเริบอีกแล้วหรือ”

จีหมิงซิวพยักหน้า เกรงว่าคงใช่

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสีหน้าแปลกใจยิ่งกว่าเดิม “ท่านไปสู้กับผู้อื่นในวังหลวงมาหรืออย่างไร”

จีหมิงซิวมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ไม่ ข้าไม่ได้ใช้ลมปราณ”

หากเป็นเช่นนี้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ไม่เข้าใจแล้ว “ไม่ได้ใช้ลมปราณแล้วอาการกำเริบได้อย่างไรเล่า กำลังภายในของท่านมาถึงขั้นที่อาการกำเริบตลอดเวลาไม่ว่าที่ใดก็ได้แล้วหรือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!”

จีหมิงซิวก็อยากรู้เหมือนกัน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ไม่ใช่สิ หลังจากท่านกับนางเปลี่ยนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก นางก็น่าจะดูดซับกำลังภายในส่วนหนึ่งในร่างของท่านไปแล้วสิ จำนวนครั้งกับระดับของอาการที่กำเริบก็น่าจะลดน้อยลงตามถึงจะถูก”

เหตุไฉนมันกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเสียเล่า

ราชาแห่งองครักษ์เงาแสดงท่าทางว่าไม่เข้าใจอย่างยิ่ง!

เฉียวเวยหลับยาวจนถึงยามพลบค่ำ ฟ้าใกล้มืดแล้ว ปี้เอ๋อร์คิดว่าวันนี้คงไม่ต้องตื่นแล้ว นอนจนถึงฟ้าสางวันพรุ่งนี้เลยเถิด แต่หรงมามาดันมาหาในเวลานี้

ปี้เอ๋อร์ไม่กล้าปล่อยให้หรงมามารู้ว่าฮูหยินของตนเองมุดผ้าห่มกับท่านเขยทั้งคืน ทั้งวันยังไม่ลุกจากเตียง จึงรีบลากเฉียวเวยออกมาจากผ้าห่ม

ชาตินี้ชีวิตนี้เฉียวเวยไม่เคยง่วงเช่นนี้มาก่อน นางถูกทรมานหนักเกินไปแล้วจริงๆ เรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่เหลือ นางใช้น้ำเย็นล้างหน้า เมื่อตื่นแล้วจึงแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้วออกไปพบหรงมามาที่ห้องโถงด้านข้าง

หรงมามาเห็นสภาพหน้าตาปากบวมของนาง ยังจะไม่เข้าใจอะไรอีกหรือ ในใจคิดว่านายน้อยไม่รู้จักถนอมคนเกินไปแล้ว ฮูหยินน้อยร่างกายบอบบางเช่นนี้ ไหนเลยจะทนความไม่รู้จักพอของเขาไหว แต่หากมีเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสักคนออกมาได้เร็วๆ นั่นย่อมดีที่สุด

ความคิดแล่นผ่านไป ใบหน้าของหรงมามาก็มีรอยยิ้ม “นายน้อยบอวก่าท่านไม่ค่อยสบาย ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ”

ยังดีที่เข้าใจช่วยนางกลบเกลื่อน เฉียวเวยแค่นเสียงดังเหอะในใจ แต่ใบหน้ากลับคลี่ยิ้ม “ไม่นับว่าป่วยหนักอันใด นอนสักหนึ่งวันก็ดีขึ้นมากแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีๆ” หรงมามาวางใจแล้ว ปี้เอ๋อร์ยกชาร้อนถ้วยหนึ่งเข้ามา นางยกขึ้นมาจิบหนึ่งคำแล้วบอกว่า “ข้ามาหาท่าน ประการแรกจะถามว่าร่างกายท่านฟื้นตัวเป็นอย่างไรแล้ว ประการที่สองวันสิ้นปีใกล้มาถึงแล้ว ทั้งจวนกำลังเก็บกวาด จวนองค์หญิงก็ต้องจัดการด้วยเช่นกัน ในอดีตเรื่องเหล่านี้กูหน่ายนายล้วนเป็นผู้จัดการ แต่ยามนี้นางตั้งครรภ์อยู่ หิมะตกหนาวเย็น ไม่เหมาะจะเรียกให้นางเดินทางมา เหล่าฮูหยินจึงตั้งใจจะรบกวนท่านสักหน่อย”

ได้เข้าไปชมจวนองค์หญิงย่อมเป็นโชคดีครั้งใหญ่ในชีวิต รบกวนอะไรกันเล่า!

เฉียวเวยตอบรับอย่างฉับไว

หรงมามาเอ่ยต่อว่า “ม่านของจวนองค์หญิงมาส่งแล้ว ข้ากำลังจะนำไปส่ง จะไปด้วยกันหรือไม่”

เฉียวเวยตอบว่า “ดี” จากนั้นก็ออกจากบ้านชิงเหลียนไปกับหรงมามา

หิมะหยุดพักไปหนึ่งวันก็โปรยปรายลงมาจากทั่วท้องฟ้าใหม่อีกหน ทั้งสองคนกางร่มกระดาษน้ำมันคนละคัน ก้าวเดินช้าๆ ไปบนทางเส้นน้อยที่มีหิมะกองหนา

ตระกูลจีมีทิวทัศน์อันชวนเพลิดเพลิน ยามเกล็ดหิมะโปรยปลิว ชายหลังคางามงอนมีหยดน้ำจับเป็นน้ำแข็งยิ่งงดงามแวววาว

การไปจวนองค์หญิงหนนี้จำต้องผ่านเรือนกุ้ยเซียง ตอนที่เดินผ่านประตูเรือนกุ้ยเซียง เจินซื่อกำลังออกมาจากห้องของบุตรสาว กำลังจะกลับห้องของตนเองพอดี สายตาเหลือบไปเห็นหรงมามากับเฉียวเวยอยู่ตรงประตู ดวงตาของนางก็พลันทอประกายเดินซอยเท้าเข้าไปหา “ฮูหยินน้อย! หรงมามา!”

ทั้งสองคนชะงักเท้าหันกลับมา

เฉียวเวยยิ้มเรียบเฉย “สวินฮูหยินนี่เอง”

เจินซื่อเอ่ยอย่างสนิทสนม “ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว ข้ากับเหยาเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่ที่เรือนของท่านตั้งนาน ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่ เหตุไฉนจึงนอนเก่งปานนั้น”

สายตาของเฉียวเวยเหลือบไปยังหรงมามาที่อยู่ด้านข้าง ในใจคิดว่าท่านไม่รู้จักพูดจาเกินไปแล้ว ไม่เห็นหรือว่าคนของท่านย่าข้าอยู่ด้านข้าง บอกว่าข้าไม่ต้อนรับท่านต่อหน้านาง ไม่กลัวเรื่องไปถึงหูท่านย่าของข้า ทำให้ข้าถูกด่าเสียหนึ่งยกหรือไร

โชคดที่จีเหล่าฮูหยินไม่ใช่คนคร่ำครึพวกนั้น

เฉียวเวยยิ้มตอบว่า “ไม่เป็นอะไร ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณสวินฮูหยินที่มาเยี่ยมเยียน ไม่ได้ต้อนรับสวินฮูหยินให้ดีเป็นความผิดของข้าเอง วันหลังเชิญสวินฮูหยินมานั่งเล่นในเรือนใหม่”

เจินซื่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยิ้มกว้างตอบว่า “ของที่ข้ามอบให้ท่าน ชอบหรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มอย่างไร้ที่ติ “ชอบสิ”

เจินซื่อเห็นทั้งสองคนเหมือนไม่มีเจตนาจะแวะเข้ามาพักจึงถามว่า “เย็นเช่นนี้แล้ว พวกท่านจะไปที่ใดกันหรือ เข้ามานั่งก่อนดีหรือไม่”

หรงมามาตอบว่า “ไม่ล่ะเจ้าค่ะ พวกเรายังต้องรีบไปเก็บกวาดข้าวของในจวนองค์หญิง”

เจินซื่อขันอาสาอย่างใจกล้า “ข้าไปกับพวกท่านด้วย เก็บกวาดข้าวของ ข้าถนัดเป็นที่สุด!”

หรงมามากับเฉียวเวยล้วนพูดไม่ออกอยู่บ้าง หรงมามาพูดชัดเจนเช่นนี้ นางก็สมควรทราบแล้วว่าจวนองค์หญิงไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะย่างกรายเข้าไปได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าองค์หญิงเป็นภรรยาเอกคนแรกของจีซั่งชิง ส่วนสวินหลันเป็นภรรยาใหม่ คนบ้านแม่ของภรรยาใหม่จะไปเก็บเรือนของภรรยาคนแรก หากวิญญาณบนสวรรค์ขององค์หญิงทราบเข้าคงจะยินดีต้อนรับพวกนางหรอกนะ

เฉียวเวยยิ้มจางๆ บอกว่า “ไม่รบกวนสวินฮูหยิน สวินฮูหยินเป็นแขก ไหนเลยจะให้แขกมาทำงานได้เล่า”

ความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นก็คือเจ้าเป็นคนนอก อย่าไปรบกวนวิญญาณที่อยู่บนสรวงสวรรค์ขององค์หญิงเลย

เจินซื่อหัวเราะแห้งๆ สองที “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ พวกท่านไปเถิด มีอะไรต้องการก็เรียกข้าได้!”

คำพูดนี้ฟังดูแล้วไม่เห็นตนเองเป็นคนนอกสักนิด

เฉียวเวยกับหรงมามาไม่โต้คารมกับนางอีก พูดตามมารยาทอีกสองประโยคก็พากลุ่มสาวใช้หญิงรับใช้จากไป

จวนองค์หญิงอยู่ทางใต้ของจวนฝั่งใต้ มีสวนแยกต่างหากอยู่แห่งหนึ่ง ในอดีตตระกูลจีสร้างเรือนกุ้ยเซียงไว้ติดกำแพงจวนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้รับบัญชาให้สร้างจวนองค์หญิงก็ล้มกำแพงจวน แล้วซื้อที่ดินผืนนี้สร้างจวนขึ้นมา ตัวจวนเชื่อมกับจวนตระกูลจี องค์หญิงจึงเดินไปมาได้ตลอดเวลา

องค์หญิงเจาหมิงไม่เคยวางมาดแต่อย่างใด ยามมีชีวิตอยู่ไม่เคยใช้มารยาทระหว่างราชวงศ์กับขุนนางมาแสดงอำนาจ อยู่กับแม่สามีและพี่น้องสะใภ้อย่างกลมเกลียวยิ่งนัก ตัวจวนเองก็ปล่อยให้ผู้คนเดินผ่านไปมาได้ตามสะดวก แต่ก่อนสิ้นใจองค์หญิงสั่งไว้ว่าห้ามมิให้สตรีคนอื่นเหยียบย่างเข้ามาในจวนองค์หญิง

แม้ยังไม่ทันบอกชัดว่า ‘ผู้หญิงคนอื่น’ ที่ว่าคือผู้ใด องค์หญิงก็สิ้นใจไปเสียก่อน แต่ทุกคนก็รู้แก่ใจดี ว่าคำนี้หมายถึงภรรยาใหม่ในวันหน้าของจีซั่งชิง ดังนั้นต่อให้สวินหลันแต่งเข้ามาแล้วได้คุมตระกูลเอาไว้ ก็มิอาจเหยียบเข้ามาในจวนองค์หญิงได้แม้แต่ครึ่งก้าว

ก่อนนางออกเรือน นางมักจะมาปัดกวาดให้องค์หญิงอยู่เสมอ ทว่านับตั้งแต่ที่นางกลายเป็นจีฮูหยิน นางก็สูญเสียสิทธิไปแล้ว

จวนองค์หญิงใหญ่โตจนน่าตกตะลึง ทัศนียภาพรอบด้านล้วนถูกหิมะขาวโพลนกลบทับ ชั่วขณะหนึ่งมองมิเห็นสิ่งอื่น ทว่าห้องหอศาลา ก้อนหินและสายน้ำยังพอแสดงบรรยากาศของเจียงหนานได้เลือนราง

คนที่อาศัยอยู่ในจวนล้วนมีแต่บ่าวรับใช้ที่เคยรับใช้องค์หญิง ตอนองค์หญิงจากไป จีหมิงซิวอายุสิบขวบ จีหว่านอายุสิบสาม จีหว่านเรียกบ่าวรับใช้มาอยู่ต่อหน้า แล้วบอกว่าคนที่ยินดีจะอยู่ จวนองค์หญิงจะเลี้ยงพวกเขาไปชั่วชีวิต ส่วนคนที่ปรารถนาจะกลับบ้าน จวนองค์หญิงก็จะคืนสัญญาขายตัวให้พวกเขา แล้วยังจะให้เงินไปตั้งตัวอีกหนึ่งก้อน สิบแปดปีแล้ว คนที่จากไปก็ไป คนที่ป่วยก็ป่วย คนที่เหลืออยู่มีไม่เท่าไรแล้ว

“ระวังบันไดนะเจ้าคะ” หรงมามายกโคมส่องด้านล่าง

เฉียวเวยเดินขึ้นบันไดตามแสงที่ส่องทางให้

หญิงรับใช้ชราผู้สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่งเดินเข้ามา กาลเวลาทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของนาง เส้นผมของนางขาวโพลนทั้งศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศรอบตัวกดดันจนน่ากลัว

“คนผู้นี้คือ..” เฉียวเวยถาม

หรงมามาอธิบายว่า “นางคือกู้มามา หญิงรับใช้ที่ติดตามองค์หญิงมาตอนแต่งเข้าตระกูล”

เฉียวเวยผงกศีรษะให้เล็กน้อย “กู้มามาสบายดีหรือ”

กู้มามาแค่นเสียงดังเหอะเบาๆ แล้วหมุนตัวเข้าไปในห้อง

เฉียวเวยหันไปมองหรงมามาอย่างประหลาดใจ หรงมามาจึงยิ้มบอกว่า “ตอนองค์หญิงยังอยู่นางก็มีนิสัยเช่นนี้ หลังองค์หญิงจากไป นางอยู่ตัวคนเดียวมาหลายปี นิสัยก็ยิ่งขวางโลกมากขึ้นอีก ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”

เฉียวเวยพยักหน้า

หรงมามาชอบที่นางมีนิสัยใจกว้างเช่นนี้ ไม่เหมือนสตรีธรรมดาทั่วไป เรื่องเล็กน้อยกระจิดกระจ้อยก็ขัดอกขัดใจ

หรงมามานำเฉียวเวยเข้ามาในห้องบรรทมขององค์หญิง แล้วสั่งสาวใช้กับหญิงรับใช้ที่ตามมา “เปลี่ยนผ้าม่าน ของเก่าเอาออกไปซัก”

“เจ้าค่ะ” ทุกคนขนเก้าอี้กับม้านั่งมาแล้วเริ่มปลดผ้าม่านยาวที่อยู่ภายในห้อง

หรงมามาตบหลังมือของเฉียวเวยเบาๆ แล้วบอกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ท่านดูได้ตามสบาย ไม่ต้องเกร็ง หากองค์หญิงทราบว่าท่านมา จะต้องดีใจมากเป็นแน่”

เฉียวเวยมองรอบด้าน แล้วเอ่ยอย่างเกรงใจ “มีสิ่งใดให้ข้าทำหรือไม่”

หรงมามาครุ่นคิด แล้วจึงชี้ตู้หนังสือ “มีหนังสือบางเล่มชื้นต้องหยิบออกไปตากแดด อบไล่ความชื้นสักหน่อย ท่านขนหนังสือในตู้ออกมาก็แล้วกัน”

“ได้” เฉียวเวยเดินไปเปิดตู้หนังสือ จากนั้นหยิบหนังสือในตู้ออกมาทีละเล่มๆ ขนออกไปวางเรียงบนผืนผ้าที่ปูไว้บนพื้น หนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือที่องค์หญิงเคยอ่านเมื่อตอนยังมีชีวิต ด้านบนมีจดบันทึกเอาไว้ ตัวอักษรขององค์หญิงงดงามอ่อนหวาน หากกล่าวว่าตัวอักษรเหมือนเช่นคน ถ้าเช่นนั้นนางก็คงเป็นสตรีที่งดงามและอ่อนโยนคนหนึ่ง

“ท่านยังไม่เคยเห็นภาพเหมือนขององค์หญิงสินะ” หรงมามาถามพร้อมรอยยิ้ม

เฉียวเวยส่ายหน้า

หรงมามาจึงหยิบม้วนภาพวาดภาพหนึ่งออกมาจากโหลบนโต๊ะ กางวางบนโต๊ะเสร็จก็กวักมือเรียกเฉียวเวย

เฉียวเวยเดินเข้าไปดู พริบตาเดียวก็ตกตะลึง เด็กสาวบนภาพวาดนี้ไม่ใช่คนนั้นในภาพวาดของพ่อสามีหรอกหรือ

“นี่เป็นภาพเหมือนขององค์หญิงตอนอายุสิบห้าปี” หรงมามาเก็บภาพวาดอย่างพิถีพิถันแล้วกางม้วนที่สอง “นี่เป็นตอนอายุสิบหกปี…สิบเจ็ด…หลังจากอายุยี่สิบปี องค์หญิงก็ไม่ยอมให้วาดภาพแล้ว”

ดังนั้นภาพเหมือนที่พ่อสามีดูอยู่ตลอดบ่ายวันนั้นก็คือภาพขององค์หญิงเจาหมิง มิน่าตอนนางเข้าใจผิดว่าเขาเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน เขายังอุตส่าห์วิ่งมาอธิบายว่าเขาแก่กว่าองค์หญิงเพียงหนึ่งปี เขารักองค์หญิงปานนี้แล้วเหตุใดจึงแต่งกับสวินหลันเล่า

สายตาของเฉียวเวยจับจ้องบนภาพเหมือน เพียงมองก็ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของนาง สตรีเช่นนี้ ใต้หล้าจะมีบุรุษคนใดไม่หลงรักบ้าง บนตัวของสวินหลันก็มีกลิ่นอายความอ่อนโยนอยู่เล็กน้อย ทว่าสิ่งที่แตกต่างกันก็คือสวินหลันมีกลิ่นอายราวกับเซียนผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์อยู่เลือนราง แต่ขาดความอ่อนโยนของมารดา

ส่วนองค์หญิงไม่ว่าจะมุ่นคิ้วหรือแย้มยิ้มล้วนทำให้หัวใจคนสงบตาม

ฉับพลันเฉียวเวยก็รู้สึกว่าพ่อสามีของนางเคยรักองค์หญิงจริงๆ ถึงขั้นที่จวบจนวันนี้ก็ยังรักอย่างลึกซึ้งอยู่ เพียงแต่ว่าการสูญเสียองค์หญิงเจ็บปวดเกินไป เขาจึงเริ่มมองหาเงาขององค์หญิงจากตัวของผู้อื่น

ตุ้บ!

หรงมามาใส่ม้วนภาพวาดเก็บเข้าไป แต่ไม่ทันระวังม้วนภาพวาดอีกม้วนหนึ่งจึงถูกเบียดหล่นออกมาตกอยู่บนพื้น เกิดเสียงดัง ตุ้บ! แล้วคลี่ออก

หนนี้ไม่ใช่ภาพเหมือนขององค์หญิง แต่เป็นรอยเท้าเล็กๆ น่ารักสองข้าง ดูจากลายบนเท้า คงจะใช้ฝ่าเท้าแต้มหมึกประทับตราแล้วประทับลงไป

มีแต่เท้าขวา แต่ข้างหนึ่งใหญ่หน่อย อีกข้างเล็กหน่อย

เฉียวเวยเก็บม้วนภาพวาดขึ้นมาแล้วถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ของพี่หว่านกับหมิงซิวหรือ”

ถามจบก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง พี่หว่านกับหมิงซิวอายุห่างกันสามปี รอยเท้าน้อยๆ คู่นี้เห็นชัดว่าต่างกันไม่มาก คงไม่ใช่พี่หว่านประทับไว้ก่อน แล้วผ่านไปอีกสามปีค่อยกางออกมาให้หมิงซิวประทับลงไปกระมัง ทำเช่นนี้ก็ออกจะประหลาดเกินไปแล้ว

รอยยิ้มของหรงมามาจางลง “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เป็นของคุณชายใหญ่กับคุณชายรอง”

“คุณชายรองหรือ” ลูกชายของหลี่ซื่อกับจีเซิ่งหรือ เขาไม่ได้อายุน้อยกว่าหมิงซิวแปดเก้าปีหรอกหรือ

“ไม่ใช่คุณชายรองคนนี้เจ้าค่ะ แต่เป็น…” หรงมามาชะงักครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจบอกว่า “เป็นน้องชายฝาแฝดของคุณชายใหญ่”

เฉียวเวยตกตะลึง “หมิงซิวมีน้องชายฝาแฝดด้วยหรือ”

การที่นางตั้งครรภ์ฝาแฝดไม่ใช่ไร้เหตุผลสินะ ในครอบครัวมีกรรมพันธุ์ส่งต่อมา ว่าแต่น้องชายคนนั้นเล่า ไปที่ใดแล้ว นางแต่งเข้าบ้านมานานขนาดนี้กลับไม่เคยเห็นผู้ใดเอ่ยถึง

อีกอย่างหากเขาเป็นลำดับที่สอง ลูกชายของหลี่ซื่อก็สมควรเป็นลำดับสามสิถึงจะ…

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่

หรงมามามองความสงสัยของเฉียวเวยออก นางลังเลครู่หนึ่งสุดท้ายก็ยังบอกเฉียวเวย “ตอนแรกเคยมี การตั้งครรภ์หนนั้นขององค์หญิง มีเด็กอยู่สามคน”

เฉียวเวยตาค้าง เปลี่ยนมาแป็นสามคนแล้ว…

“หนึ่งครรภ์สามชีวิต แต่เดิมเป็นเรื่องน่ายินดี เหล่าไท่ไท่กับนายท่านดีใจกันแทบแย่ ผู้ใดจะคิดว่า…” หรงมามาเล่าถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เรื่องที่องค์หญิงบาดเจ็บ คิดว่าท่านคงทราบแล้วกระมัง”

เฉียวเวยพยักหน้า “อืม หมิงซิวเคยบอกข้าแล้ว”

หรงมามาเล่าต่อ “ตอนองค์หญิงตั้งครรภ์ มีอยู่หนหนึ่งเดินทางไปไหว้พระที่วัด ระหว่างทางถูกคนกลุ่มหนึ่งลอบสังหารจนบาดเจ็บหนัก ตอนนั้นนางก็แท้งไปหนึ่งคน หลังจากนั้นร่างกายขององค์หญิงก็ไม่ค่อยดีนัก เรียกหมอหลวงมาไม่น้อยจึงรักษาครรภ์เอาไว้ได้ สุดท้ายก็ให้กำเนิดเด็กสองคนออกมาได้อย่างปลอดภัย ทว่าหลังเกิดออกมากลับพบว่าบนร่างของเด็กทั้งสองคนมีอาการบาดเจ็บติดมาด้วย สถานการณ์วิกฤตนัก รักษาไว้ได้เพียงคนเดียว จึงรักษาคุณชายใหญ่เอาไว้”

“อาการของหมิงซิวเบากว่าหรือ” เฉียวเวยเป็นหมอ ในความคิดของนาง หากต้องเลือกหนึ่งในสองย่อมต้องเลือกคนที่มีโอกาสรอดมากกว่า

หรงมามาตอบว่า “หมิงซิวเป็นลูกคนโต”

เฉียวเวยตะลึงไปวูบหนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจแล้ว เกิดก่อนหลังมีลำดับ คนโบราณให้ความสำคัญกับลูกคนโตสายตรง ไม่ว่าเจ็บหนักหรือเบา ผู้ใดเป็นลูกคนโต ผู้นั้นก็ต้องมีชีวิตรอด

หากกล่าวเช่นนี้ เด็กคนนั้นก็ออกจะน่าสงสารเกินไปแล้ว เพียงเกิดออกมาช้ากว่าหมิงซิวนิดเดียว ก็ไม่เพียงสูญเสียสิทธิการเป็นผู้สืบทอด แต่สูญเสียแม้กระทั่งสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่

แต่หากไม่ได้เป็นเช่นนี้ บนโลกนี้ก็อาจไม่มีหมิงซิวอยู่แล้ว

“หลังจากนั้นเล่า” เฉียวเวยถาม

หรงมามาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “หลังจากช่วยคุณชายใหญ่ได้แล้ว เด็กคนนั้นอยู่ได้ไม่กี่วันก็สิ้นใจ”