ตอนที่ 785 ใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวยไปวันๆ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 785 ใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวยไปวันๆ

ใจของเขาแคบเกินไปถึงได้ถามคำถามโง่ๆ อย่างเช่นเมื่อรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งแล้วจะไม่มีสงครามอีกอย่างนั้นหรือออกไปเช่นนี้

“มีเพียงทำลายล้างแคว้นเว่ยเท่านั้น ต้าเยี่ยนจะได้ไม่ต้องกังวลเขตแดนทางฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้ของแคว้นตัวเอง เมื่อทำลายแคว้นเว่ยได้แล้ว แคว้นต่อไปที่ต้าเยี่ยนต้องทำลายให้ได้ก็คือแคว้นซีเหลียง” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ดังนั้นครั้งนี้ต้าจิ้นต้องทำลายต้าเหลียง ยึดครองดินแดนทางเหนือให้ได้ ต้าจิ้นจะได้ไม่ต้องกังวลทางทิศเหนือ ต้าจิ้นจึงจะสามารถรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้”

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเพียงเท่านั้น ไม่ได้บีบคั้นจ้าวเซิ่งจนเกินไป หญิงสาวดันแผนที่ไปตรงหน้าจ้าวเซิ่ง “แม่ทัพจ้าวมองดูแผนที่ตรงหน้าและทบทวนถ้อยคำของข้าให้ดี วันนี้แม่ทัพจ้าวพักผ่อนอยู่ที่นี่ให้สบาย หากแม่ทัพจ้าวยินดีก็ช่วยไปเกลี้ยกล่อมให้ทหารต้าเหลียงเหล่านั้นยอมดื่มยารักษาโรคระบาดที นั่นคือยารักษาโรคระบาด มันมีค่ามากสำหรับต้าจิ้น หากทหารต้าเหลียงยังปัดยาหกโดยไม่ยอมดื่มเช่นนี้อีก บางทีแม่ทัพหลิวหงอาจออกคำสั่งไม่ให้ทหารนำยาไปให้พวกเขาอีก”

กล่าวจบไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปด้านนอก

เมื่อไป๋จิ่นจื้อซึ่งนอนหลับเต็มอิ่มที่ยืนอยู่ด้านนอกเห็นพี่หญิงใหญ่ของตัวเองเดินออกมาจึงรีบถลาเข้าไปหา สาวน้อยมองจ้าวเซิ่งที่อยู่ด้านในแวบหนึ่ง จากนั้นเอามือคล้องแขนไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวเสียงดังอย่างจงใจ “หากทหารต้าเหลียงไม่ยอมดื่มยารักษาโรคระบาดก็ปล่อยพวกเขาไปเถิดเจ้าค่ะ ไม่สู้เอาไปให้ทหารที่ร่างกายแข็งแรงของต้าจิ้นดื่มเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายดีกว่าเจ้าค่ะ”

เมื่อฝีเท้าของไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อจากไปไกล จ้าวเซิ่งวางมือทั้งสองลงบนแผนที่พลางขบกรามแน่น ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ

ยิ่งเขาไม่อยากนึกถึงคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนมากเท่าใด ถ้อยคำเหล่านั้นก็ยิ่งดังชัดเจนอยู่ในสมองของเขามากขึ้นเท่านั้น

ไป๋ชิงเหยียนเดินกลับไปยังที่พักของตัวเองพร้อมกับไป๋จิ่นจื้อ จี้หลางหวาเดินถือบะหมี่ร้อนๆ เข้ามาด้านในสองถ้วย

ในถ้วยเป็นบะหมี่น้ำใสธรรมดา ด้านบนมีไข่วางอยู่ชามละฟอง โรยหน้าด้วยต้นหอมตามด้วยน้ำมันงาทำให้กลิ่นหอมของต้นหอมโชยปะทะจมูก

จี้หลางหวาวางถ้วยบะหมี่ลงตรงหน้าไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อ “คุณหนูใหญ่และคุณหนูสี่ทานบะหมี่เช่นนี้ไปก่อนนะเจ้าคะ”

หลิวหงออกคำสั่งทหารว่าอาหารของทุกคนในค่ายทหารไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหรือทหารชั้นผู้น้อยล้วนเหมือนกันหมด รับประทานพร้อมกันทุกคน หากพ้นเวลาทานอาหารไปแล้วต่อให้เป็นเทพก็ห้ามจุดไฟประกอบอาหารเด็ดขาด

จี้หลางหวาบอกกับพ่อครัวทหารว่าไป๋จิ่นจื้อและไป๋ชิงเหยียนยุ่งจนไม่มีเวลาทานอาหารจนถึงตอนนี้ พ่อครัวจึงแอบจุดไฟให้จี้หลางหวาทำอาหาร

เมื่อบะหมี่ร้อนๆ ลงไปอยู่ในกระเพาะ ลิ้นของไป๋จิ่นจื้อโดนลวกจนชาไปหมด สาวน้อยพ่นลมหายใจออกมาอย่างพอใจ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปากของตัวเอง “ฝีมือทำอาหารของหลางหวาช่างสุดยอดจริงๆ !”

ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยบะหมี่ขึ้นดื่มน้ำทีละนิด หญิงสาวยังไม่ทันวางถ้วยบะหมี่ลง จ้าวหร่านก็นำจดหมายจากเมืองหลวงของไป๋จิ่นซิ่วมาให้ไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยบะหมี่ลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากของตัวเอง “ให้จ้าวหร่านเข้ามาได้”

จ้าวหร่านเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน เมื่อทำความเคารพเสร็จจึงยื่นจดหมายของไป๋จิ่นซิ่วให้ไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ จดหมายจากคุณหนูรองขอรับ!”

จี้หลางหวาถือตะเกียงไปวางลงบนโต๊ะข้างกายไป๋ชิงเหยียนอย่างใส่ใจในรายละเอียด

ไป๋ชิงเหยียนคลี่จดหมายออก…

ไป๋จิ่นซิ่วเล่าเรื่องในครอบครัวให้ไป๋ชิงเหยียนฟังก่อนเป็นลำดับแรก หญิงสาวกล่าวว่าการแต่งงานของต่งถิงฟางและคุณชายใหญ่ของตระกูลฝูถูกยกเลิกแล้ว

ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนยังอยู่ในเมืองหลวง หลิวซื่อมารดาของไป๋จิ่นซิ่วเป็นคนไปบอกความต้องการของไป๋ชิงเหยียนกับซ่งซื่อผู้เป็นป้าสะใภ้ของไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเอง ซ่งซื่อกล่าวว่ารอให้บุตรชายคนโตของครอบครัวบุตรชายคนโตของตระกูลฝูสอบชุนเหวยให้เสร็จก่อนแล้วนางจะไปเจรจาเรื่องยกเลิกการแต่งงานให้

ต่อมาเมื่อบุตรชายคนโตของครอบครัวบุตรชายคนโตของตระกูลฝูสอบไม่ติด ฮูหยินของครอบครัวบุตรชายคนโตจึงไปคุยเรื่องกำหนดการแต่งงานของเด็กทั้งสองที่ตระกูลต่ง ซ่งซื่อจึงเอ่ยถึงเรื่องการยกเลิกการแต่งงาน ทว่า ฮูหยินฝูกลับไม่ยอม กล่าวเพียงว่าสามารถเลื่อนการแต่งงานออกไปก่อนได้

ซ่งซื่อกลัวว่าผู้อื่นจะคิดว่าตระกูลต่งรังเกียจที่คุณชายฝูสอบไม่ติดจึงตัดสินใจว่าจะรอไปอีกสักพักค่อยเอ่ยถึงเรื่องนี้ใหม่ ต่งถิงฟางคุกเข่าขอร้องให้ซ่งซื่อยอมให้นางไปพบหน้าคุณชายฝูสักครั้งเพื่อเจรจาเรื่องนี้ให้ชัดเจน

ทั้งสองตระกูลมีเรื่องไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดต้นเดือนเก้าต่งถิงฟางจึงมีโอกาสได้พบหน้าคุณชายฝู เมื่อคุณชายฝูกลับไปที่จวนของตัวเองก็คุกเข่าขอร้องให้มารดาของตนยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ กล่าวว่าตนเองจะตั้งใจอ่านตำราสอบใหม่ในครั้งหน้า แม้ฮูหยินใหญ่ฝูจะไม่ตกลง ทว่า หลัวซื่อฮูหยินของฝูรั่วซีรับรู้ข่าวนี้จึงลอบส่งคนไปบอกให้ไป๋จิ่นซิ่วรับรู้

ดังนั้นซ่งซื่อจึงรู้ว่าโอกาสที่รอคอยมาถึงแล้ว นางตัดสินใจเดินทางไปถอนหมั้นอย่างเปิดเผย กล่าวว่าการแต่งงานที่ฝืนใจไม่มีทางไปรอด บุตรสาวตระกูลต่งของนางไม่รีบร้อนแต่งงาน ในเมื่อคุณชายฝูไม่ยินดีแต่งงานกับคุณหนูตระกูลต่ง ต่อให้คุณหนูตระกูลต่งต้องโกนผมออกบวชก็ไม่มีทางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้เด็ดขาด ทั้งสองตระกูลจึงตัดสินใจยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้เพื่อรักษาหน้าของตระกูลไว้

เมื่อยกเลิกการแต่งงานเรียบร้อย ตระกูลต่งจึงส่งต่งถิงฟางไปยังเติงโจว ให้ต่งเหล่าไท่จวินเป็นคนอบรมสั่งสอนนาง

ต่งถิงฟางถือว่าได้สมใจปรารถนาแล้ว ก่อนนางจะเดินทางไปยังเติงโจว นางเดินทางไปยังจวนฉินเพื่อฝากให้ไป๋จิ่นซิ่วช่วยขอบคุณไป๋ชิงเหยียนแทนนางด้วย

เรื่องที่สองที่ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวในจดหมายคือเรื่องที่ฝูรั่วซีพบว่าช่วงนี้ฟ่านอวี่ไหวนัดพบกับลูกน้องเก่าในหน่วยตรวจเมืองค่อนข้างบ่อย ไม่ใช่เพราะตอนนี้ฝูรั่วซีเป็นหัวหน้าหน่วยตรวจเมือง เขาจึงไม่พอใจที่ลูกน้องของตัวเองสนิทสนมกับฟ่านอวี่ไหว เขาแค่รู้สึกว่าฟ่านอวี่ไหวทำตัวไม่ชอบมาพากล

แม้ฟ่านอวี่ไหวจะเคยเป็นหัวหน้าหน่วยตรวจเมือง แม้การที่เขาอ้างว่าเขาคิดถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าจึงไปมาหาสู่กับลูกน้องเก่าอยู่บ่อยครั้งจะไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่า ฝูรั่วซีลองสืบดูแล้ว เขาพบว่าตอนที่ฟ่านอวี่ไหวเป็นหัวหน้าหน่วยตรวจเมือง เขาไม่เคยเลี้ยงอาหารลูกน้องเก่าของตัวเองดีเหมือนตอนนี้ นี่ไม่เหมือนการกระทำของฟ่านอวี่ไหวอย่างที่แล้วมา

อาจเป็นเพราะฟ่านอวี่ไหวปกป้องจักรพรรดิและองค์รัชทายาทจนสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง อีกทั้งบัดนี้เขากลายเป็นคนสำคัญขององค์รัชทายาท ลูกน้องในหน่วยเก่าของฟ่านอวี่ไหวจึงไว้หน้าเขามาก

บัดนี้ฝูรั่วซีแค่รู้สึกสงสัยเท่านั้น เขากล่าวว่าจะจับตาดูฟ่านอวี่ไหวต่อไป ไป๋ชิงเหยียนไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงมากนัก แค่รับรู้ไว้ก็พอ

ไป๋จิ่นซิ่วยังกล่าวถึงหลี่หมิงรุ่ยที่ใส่ร้ายไป๋ชิงเหยียนจนถูกถอดออกจากตำแหน่งจนต้องอยู่แต่ในจวนอีกด้วย นางเล่าว่าครั้งนี้หลี่หมิงรุ่ยไม่ได้รับโอกาสให้นำทัพไปยังต้าเหลียงทั้งๆ ที่กล่าวคำสัตย์ทางทหารออกไปเช่นนั้น อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าจึงคิดหาวิธีอื่นอีกแล้ว…

ครั้งนี้องค์รัชทายาทต้องการให้คนนำเสบียงและยารักษาโรคไปที่ด่านชิงซีซาน หลี่เม่าจึงอาสาให้บุตรชายของตัวเองเป็นคนรับหน้าที่นี้อีกครั้ง ทว่า องค์รัชทายาทครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่ยอมตกลง สุดท้ายไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทฟังคำแนะนำของผู้ใดจึงส่งฟ่านอวี้กานบุตรชายของฟ่านอวี่ไหวและจางตวนหนิงลูกพี่ลูกน้องของแม่ทัพจางตวนรุ่ยไปแทน

ฟ่านอวี้กานบุตรชายของฟ่านอวี่ไหวเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่เอาแต่เสเพลอยู่ในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้เดินทางตามหลู่หยวนเผิงไปเข้าร่วมกองทัพ ต่อมาทนไม่ไหว เมื่อจักรพรรดิทรงมีรับสั่งให้ย้ายทหารไปยังหนานเจียง ฟ่านอวี่ไหวจึงหาทางย้ายบุตรชายของตัวเองกลับมาเมืองหลวง

ได้ยินว่าเดิมทีฟ่านอวี้กานไม่เต็มใจจะรับหน้าที่นำเสบียงและยารักษาโรคมายังด่านชิงซีซาน เท่าที่ไป๋จิ่นซิ่วสืบรู้มา ฟ่านอวี้กานผู้นี้คิดว่าการสอบขุนนางลำบากเกินไป ต่อมาเมื่อไปเข้าร่วมกองทัพ เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่าชาตินี้จะใช้ชีวิตอย่างคนร่ำรวยไปวันๆ เท่านั้น

ไป๋จิ่นซิ่วสืบเรื่องของจางตวนหนิง ลูกพี่ลูกน้องของจางตวนรุ่ยแล้วเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนซื่อตรง ทว่า มั่นคงคนหนึ่ง