ตอนที่ 786 เชื่อสนิทใจ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 786 เชื่อสนิทใจ

รัชทายาทจัดการเช่นนี้เพราะต้องการสนับสนุนบุตรชายของฟ่านอวี่ไหว จางตวนหนิงเป็นผู้ใหญ่และสุขุมพอที่จะรับผิดชอบดูแลเรื่องการส่งเสบียงและยาในครั้งนี้ได้ ฟ่านอวี้กานแค่มีหน้าที่ติดตามไปด้วยเท่านั้น

นอกจากนี้รัชทายาทยังมีรับสั่งให้หมอหลวงเดินทางติดตามไปด้วย ตรัสว่าให้หมอหลวงติดตามดูแลไป๋ชิงเหยียนไม่ห่างกาย ห้ามมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด อีกทั้งกำชับให้ไป๋ชิงเหยียนระวังตัวให้มาก

ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวถึงสงครามระหว่างแคว้นเว่ยและต้าเยี่ยนตอนท้ายของจดหมาย บัดนี้ต้าเยี่ยนมีแม่ทัพผู้ดุดันถึงสามคนได้แก่อ๋องเก้ามู่หรงเหยี่ยน องค์ชายรองมู่หรงผิงและแม่ทัพเซี่ยสวิน

อ๋องเก้ามู่หรงเหยี่ยนนำทัพต่อต้านไม่ให้ซีเหลียงเข้ามารุกรานต้าเหยี่ยน องค์ชายรองมู่หรงผิงและเซี่ยสวินแบ่งกองกำลังออกเป็นสองกองมุ่งหน้าบุกไปทำลายเมืองหลวงของต้าเว่ย ดูจากความเร็วของกองทัพต้าเยี่ยน ต้าเยี่ยนคงยึดเมืองหลวงของแคว้นเว่ยได้เร็วที่สุดภายในสิ้นปีนี้

เมื่อไป๋ชิงเหยียนอ่านจดหมายจบ หญิงสาวนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นเปิดฝาตะเกียงออกแล้วยื่นจดหมายไปเผาทำลาย หญิงสาวมองดูเปลวไฟค่อยๆ กลืนกินจดหมายจนหมดสิ้น จากนั้นจึงเงยหน้ามองจ้าวหร่าน “ไปบอกคนที่นำจดหมายมาส่งว่าให้เรียนคุณหนูรองให้ระวังฟ่านอวี่ไหวไว้ด้วย ทว่า อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเด็ดขาด ให้ฝูรั่วซีจดไว้ให้หมดว่าฟ่านอวี่ไหวพบกับลูกน้องเก่าคนใดบ้าง จากนั้นจัดลำดับความใกล้ชิดและตำแหน่งของคนเหล่านั้นออกมาให้ละเอียด จากนั้นรอโอกาสที่เหมาะสมโยกย้ายตำแหน่งของคนที่มีตำแหน่งสูงสุดและตำสุดในบรรดาลูกน้องเก่าที่ฟ่านอวี่ไหวเข้ามาตีสนิทด้วย จากนั้นรอดูว่าฟ่านอวี่ไหวจะปฏิบัติต่อพวกกเขาแตกต่างจากเดิมหรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวเสริม “ให้คุณหนูรองสืบให้ด้วยว่าผู้ใดเป็นคนแนะนำให้ฟ่านอวี้กานและจางตวนนหนิงเป็นคนทำหน้าที่ส่งเสบียงอาหารและยามาที่ด่านชิงซีซานกันแน่”

“ขอรับ!” จ้าวหร่านกำหมัดรับคำ จากนั้นเดินออกไปทำตามคำสั่ง

ไป๋ชิงเหยียนให้รายชื่อฟ่านอวี่ไหวไปก่อนหน้านี้เพราะต้องการหยั่งเชิงเขา

การกระทำของฟ่านอวี่ไหวในตอนนั้นทำให้ไป๋ชิงเหยียนคิดว่าเขาต้องการเป็นขุนนางที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้น ทว่า บัดนี้เขากลับเริ่มตีสนิทกับลูกน้องเก่าของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มีคนเสนอชื่อบุตรชายของฟ่านอวี่ไหวซึ่งเป็นชคุณชายเจ้าสำราญกลุ่มเดียวกันกลับหลู่หยวนเผิงอย่างฟ่านอวี้กานไปทำหน้าที่สำคัญเช่นนี้ มันค่อนข้างแปลกจริงๆ

บุตรชายของฟ่านอวี่ไหวต้องการเป็นเพียงคนร่ำรวยที่เสพสุขไปวันๆ ทว่า ผู้เป็นบิดาย่อมต้องปูทางให้บุตรชายของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นฟ่านอวี้กานจึงมีรายชื่ออยู่ในคนที่จะเดินทางมาส่งเสบียงและยาเช่นนี้

เช่นนั้นฟ่านอวี้กานจะใช่จุดอ่อนของฟ่านอวี่ไหวหรือไม่นะ มีคนดึงฟ่านอวี่ไหวไปเป็นพวกโดยยื่นข้อเสนอเรื่องอนาคตขอฟ่านอวี้กานอย่างนั้นหรือ

เป็นจริงดั่งที่ฝูรั่วซีกังวล เมื่อก่อนฟ่านอวี่ไหวไม่ใช่คนที่ชอบสังสรรค์กับลูกน้องเช่นนี้ ในทางกลับกันฟ่านอวี่ไหวแทบไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงหรือสังสรรค์กับลูกน้องเลยด้วยซ้ำ

เขาพอใจกับตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์แล้วจึงลดความระวังตัวลงหรือว่าเปลี่ยนไปเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ ไป๋ชิงเหยียนยังไม่แน่ใจในข้อนี้สักเท่าใดนัก

ทว่า ที่ไป๋ชิงเหยียนแน่ใจก็คือฟ่านอวี่ไหวเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน ทว่า “จะเปลี่ยนไปในทางที่เลวร้ายหรือไม่นั้น ไป๋ชิงเหยียนยังไม่แน่ใจ

“พี่หญิงใหญ่ ฟ่านอวี่ไหวผู้นี้คือขุนนางผู้มีความดีความชอบจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในประตูอู่เต๋อในครั้งนั้น เขาเคยร่วมเป็นร่วมตายกับพี่หญิงใหญ่มาก่อน เราเชื่อเขาไม่ได้หรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อถามอย่างสงสัย

ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับไป๋จิ่นจื้อยิ้มๆ “คนบนโลกใบนี้เปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา อาจเปลี่ยนเพราะผลประโยชน์หรือเพราะความรู้สึก เราไม่สามารถเชื่อใจพวกเขาได้เต็มร้อย แม้ท่านปู่จะเคยสอนพวกเราเอาไว้ว่าบนโลกนี้นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้วก็มีสหายที่ร่วมรบมาด้วยกันนี่แหล่ะที่ตัดกันไม่ขาด ทว่า ฟ่านอวี่ไหวไม่ได้ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเรามาตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นฟ่านอวี่ไหวมีเรื่องปิดบังเราตั้งแต่แรก”

เพราะฟ่านอวี่ไหวมีเรื่องปิดบังตั้งแต่แรก ไป๋จิ่นซิ่วและฝูรั่วซีจึงคอยจับตาดูเขาเป็นพิเศษ

ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ฟ่านอวี่ไหวและฝูรั่วซีล้วนเป็นคนที่พี่หญิงใหญ่เสนอให้รัชทายาทใช้งาน ทว่า ฟ่านอวี่ไหวไม่ได้ใช้คนที่พี่หญิงใหญ่มอบให้ทั้งหมด ส่วนฝูรั่วซีทำทุกอย่างตามที่พี่หญิงใหญ่สั่ง ดังนั้นเราใช้งานฝูรั่วซีได้ ทว่า เราต้องคอยระวังฟ่านอวี่ไหวใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าอย่างพอใจ หญิงสาวมองดูใบหน้าที่ผอมซูบและคล้ำลงกว่าเมื่อก่อนของไป๋จิ่นจื้อ

“แม้เจ้าจะสูงขึ้นกว่าเดิม ทว่า คล้ำลงมาก หากกลับไปท่านอาสะใภ้สามคงโมโหอีกแน่”

“มิเป็นอันใดเจ้าค่ะ เมื่อกลับไปอย่างปลอดภัย ข้าค่อยดูแลตัวเองให้กลับมาขาวเช่นเดิมเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อไม่สนใจ สาวน้อยกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงเบาหวิว “ข้าได้ยินหมัวมัวข้างกายกล่าวว่าที่ท่านแม่กังวลว่าข้าจะขาวหรือไม่เป็นเพราะตอนเด็กๆ นางผิวคล้ำเจ้าค่ะ ท่านแม่ต้องบำรุงอยู่นานจึงจะมีผิวขาวได้เช่นนี้ ท่านแม่กลัวว่าข้าจะดำตลอดไปจนขายไม่ออก ทว่า ข้าไม่สนใจสักนิด ข้าจงใจทำให้ตัวเองผิวคล้ำเช่นนี้ ท่านแม่จะได้ไม่คิดเรื่องแต่งงานของข้าเจ้าค่ะ!”

“เจ้าเป็นลูกลิงแสนซนของท่านอาสะใภ้สามอย่างที่ท่านกล่าวจริงๆ ด้วย” ไป๋ชิงเหยียนยื่นมือไปดันหน้าผากของน้องสาวเบาๆ จากนั้นกล่าวต่อ “ครั้งนี้ไช่เซียนเซิงที่สอนหนังสืออยู่ที่ซั่วหยางมากับพี่ด้วย นับจากนี้พี่จะให้เขาคอยติดตามอยู่ข้างกายเจ้า หากเจ้าตัดสินใจสิ่งใดไม่ได้ สามารถถามความเห็นจากเขาได้”

“พี่หญิงใหญ่มาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ไป๋จิ่นจื้อไม่เข้าใจ “ข้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจ ข้ามาถามพี่หญิงใหญ่ไม่ได้หรือเจ้าคะ”

“ด่านชิงซีซานต้องการการบำรุงซ่อมแซม เมื่อยึดเมืองหลิวโจวมาได้พี่จะแนะนำให้แม่ทัพหลิว เจ้าและพี่แยกกองกำลังออกเป็นสามฝ่ายเพื่อบุกไปยังเมืองหลวงของต้าเหลียง”

ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปจับบ่าของไป๋จิ่นจื้อ

“หากต้องการเป็นจ่าฝูงของกลุ่มหมาป่า เจ้าต้องทำให้ทหารยอมรับเจ้าให้ได้ด้วยตัวของเจ้าเอง หากเจ้าบุกไปถึงเมืองหลวงของต้าเหลียงได้เป็นคนแรก ต่อไปจะไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกแม่ทัพแห่งกองทัพไป๋อย่างเจ้าอีก”

ดวงตาดำขลับเป็นประกายของไป๋จิ่นจื้อจ้องไปทางไป๋ชิงเหยียนนิ่ง จากนั้นพยักหน้าอย่างแรง

“เสี่ยวซื่อจะจำไว้เจ้าค่ะ!”

นางไม่เคยลืมคำสั่งสอนที่พี่หญิงใหญ่ลงโทษนางตอนนางฟาดแส้ใส่คนเลวที่มาก่อเรื่องหน้าจวนไป๋ นางจดจำคกล่าวของพี่หญิงใหญ่ได้เสมอ…พี่หญิงใหญ่กล่าวว่านางควรสร้างผลงานที่หญิงใหญ่ในสนามรบให้ได้ในฐานะสตรี กลายเป็นแม่ทัพหญิงที่โดดเด่นและแข็งแกร่งที่สุดของแคว้นต้าจิ้นให้ได้!

นี่คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไป๋จิ่นจื้อ!

ไป๋ชิงเหยียนบีบไหล่ของไป๋จิ่นจื้อ นางเชื่อมั่นในความสามารถในการรบของน้องสาวอย่างไม่มีข้อกังขา

จ้าวเซิ่งคิดทบทวนอยู่ในกระโจมของตัวอย่างสับสนถึงสามวัน

ระหว่างนี้มีทหารกองทัพจ้าวที่ติดเชื้อโรคระบาดถูกหามเข้าไปในค่ายรักษาตัว บางคนที่ยอมทานยาตั้งแต่แรกอาการจึงเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ

ทว่า เมื่อมีคนใหม่ถูกหามเข้าไปในค่ายรักษาตัวทุกวัน ย่อมมีคนเสียชีวิตถูกหามออกมาเช่นเดียวกัน ทหารยอมจำนนของต้าเหลียงที่ไม่ยอมทานยารักษาโรคระบาดตั้งแต่แรกมองดูศพของสหายร่วมรบถูกแบกออกไปทุกวันจนเริ่มหวั่นไหว ทหารบางคนที่ใจแข็งไม่พอจึงเริ่มยอมก้มหัวขอยารักษาโรคระบาดจากทหารต้าจิ้น

ขอเพียงมีริเร่ม คนต่อๆ ไปก็เริ่มถึงศักดิ์ศรีของตัวเอง พากันคุกเข่าขอยาจากทหารต้าจิ้น