ปีอู้อิ๋น หลงถิงเฟยแห่งเป่ยฮั่นตัดสินใจใช้น้ำของแม่น้ำชิ่นสุ่ยจมอานเจ๋อ ฉีอ๋องแห่งต้ายงพ่ายศึก ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อปราชัยหลบหนีไปอยู่ในชนบท จึงได้พบกับจี้เสวียนในหมู่บ้านชนบท ยามนั้นจี้เสวียนเป็นโรคร้ายเรื้อรัง เจียงเจ๋อบังคับเชิญมาพักในค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง จากนั้นใช้ฝีมืออันล้ำเลิศรักษาโรคร้ายนั้น
หลังจากเป่ยฮั่นล่มสลาย จี้เสวียนได้รับราชโองการเข้าเฝ้าจักรพรรดิต้ายง จักรพรรดิหมายพระราชทานตำแหน่งสูงส่งกับเบี้ยหวัดมากมายให้ แต่จี้เสวียนปฏิเสธด้วยขุนนางภักดีมิอาจรับใช้สองนาย จักรพรรดิต้ายงถอนปัสสาสะเนิ่นนาน แล้วพระราชทานเงินทองแพรพรรณและที่ดินไว้ผูกรั้งเขาแทน จี้เสวียนรับเงินทองพระราชทานแล้วจากมาตั้งสำนักศึกษารับลูกศิษย์ที่ป้าหลิง จี้เสวียนเป็นผู้แตกฉานคัมภีร์โบราณ ผู้ที่มาขอร่ำเรียนมีมากมาย เขามิสนใจชาติตระกูล สั่งสอนมิเคยปฏิเสธ ลูกศิษย์ของเขามีอยู่ทุกหนทุกแห่งในราชสำนัก
ยามนั้นฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อมีนิสัยดื้อดึงและช่างเหนื่อยหน่าย ทุกครั้งอ้างป่วยไข้มิยอมเข้าประชุม แต่เขาเจ้าเล่ห์แสนกลแลคาดการณ์ได้เก่งกาจนัก ผู้คนในราชสำนักจึงล้วนหวาดกลัวเขา ทว่าเจียงเจ๋อกลับกลัวจี้เสวียนเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งเมื่อจี้เสวียนมาเยือนเป็นต้องตำหนิติเตียน แต่เจียงเจ๋อกลับก้มหน้ามิโต้แย้ง ผู้คนในยามนั้นประหลาดใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง บางคนกล่าวว่าเหตุเพราะธรรมะย่อมชนะอธรรมเป็นธรรมดา
จี้เสวียนแต่เดิมเป็นขุนนางของราชวงศ์จิ้น รับพระบัญชาของจักรพรรดิมาเป็นจ่างซื่อให้แก่เจ้าเมืองไท่หยวน หลิวเซิ่งไว้วางใจเขายิ่งนัก รัชศกเจินยวนปีที่สิบสี่ ราชวงศ์ต้ายงครองแผ่นดินแทนราชวงศ์จิ้น หลิวเซิ่งจึงตั้งตนเป็นเจ้าแคว้นแยกตัวเป็นอิสระ จี้เสวียนถอนหายใจกล่าวว่า “แผ่นดินล่มสลาย ใต้หล้าไร้ขุนนางภักดี ข้ามิอาจผิดต่อคุณธรรมทำงานรับใช้เจ้าแคว้น” จากนั้นจึงกลับบ้านเกิดอย่างเงียบๆ
ต่อมาต้ายงได้ครองใต้หล้า ใช้ลาภยศชักชวนเขามาทำงาน แต่จี้เสวียนมิเคยรับ แม้มิได้ปฏิเสธเงินทองของพระราชทาน แต่จี้เสวียนล้วนนำไปช่วยเหลือบัณฑิตผู้ยากไร้ ส่วนที่เหลือไว้กับตนเองมีเพียงตำรานับหมื่นในห้องส่วนตัวภายในเรือน ในบ้านมิมีทรัพย์สินอื่นใด แม้แต่พิธีศพก็ยังมิหรูหรา ทุกคนล้วนถอนหายใจด้วยชื่นชมเขา
จี้เสวียนชื่อเสียงเลื่องลือใต้หล้าในฐานะผู้แตกฉานคัมภีร์โบราณ เขารับใช้ราชวงศ์ตงจิ้นเป็นนายเพียงหนึ่งเดียว ตราบจนวันตายมิมีสองนาย ดังนั้นจึงบันทึกเรื่องราวเขาไว้ในพงศาวดารเล่มนี้
…พงศาวดารตงจิ้น บันทึกจี้เสวียน
ข้าส่งต้วนหลิงเซียวกับหลิงตวนจากไปแล้วก็จัดขบวนออกเดินทางทันที สถานที่อันตรายมิควรรั้งอยู่นาน ผู้ใดจะรู้ว่าต้วนหลิงเซียวจะส่งยอดฝีมือคนอื่นมาดักสังหารหรือไม่ อีกประการหนึ่ง ข้าก็ได้ของดีกลับมาเต็มคันรถแล้ว พาจี้เสวียนกับจ้าวเหลียงกลับมา เด็ดปีกต้วนหลิงเซียวให้บาดเจ็บกลับไป แล้วยังไม่ทิ้งความแค้นล้ำลึกที่คลี่คลายมิได้ไว้อีกด้วย ไม่จากไปเวลานี้จะรอเวลาใด
จี้เสวียนตระหนกตกใจจึงล้มป่วยอีกครั้งจนมิอาจขี่อาชาได้ ข้าจึงใช้ยาพิเศษชนิดหนึ่งทำให้เขาหมดสติ หลังจากนั้นใช้รถม้าเก่าคร่ำคร่าคันเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านบรรทุกจี้เสวียน จ้าวเหลียงติดตามไปดูแลบนรถม้า พวกเราจึงรีบเร่งออกเดินทางไปยังค่ายทัพใหญ่ของฉีอ๋องเช่นนี้
เมื่อข้าเห็นค่ายใหญ่ของกองทัพหลวงอันมีธงปักเรียงรายจากไกลๆ ในหัวใจก็ผ่อนคลาย ยังมิทันเหยียบย่างถึงประตูค่าย ก็เห็นประตูค่ายเปิดออกกว้าง อาชาและพลทหารทะลักออกมาประหนึ่งน้ำหลาก หลังจากนั้นก็เห็นฉีอ๋องสวมชุดเกราะสีเพลิงควบอาชาออกมา หัวใจข้ารู้สึกอบอุ่น มิว่าฉีอ๋องจะมีนิสัยหยิ่งผยองโอหังเช่นไร แต่เขาปฏิบัติต่อข้าด้วยดีมาเสมอ ต่อให้ตอนนี้หวนนึกถึงครั้งอดีตยามอยู่หนานฉู่ที่เขาชอบกลั่นแกล้งข้าโดยเจตนาและไม่เจตนาก็รู้สึกว่าน่าขบขันมากกว่าน่าโกรธเคือง บุรุษผู้ทระนงเช่นนี้ ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะมิยอมให้ผู้อื่นใส่ร้ายทำอันตรายเขาได้โดยเด็ดขาด
ฉีอ๋องทะยานม้าเข้ามา ส่วนข้าขี่อาชาเยื้องย่างไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า เสี่ยวซุ่นจื่อลงจากม้าหลบออกไปก่อนแล้ว ถึงอย่างไรหากมิใช่ต้องควบม้าห้อตะบึง ข้าก็ไม่มีทางร่วงตกลงไป อาชาสองตัวเข้ามาใกล้ในระยะไม่กี่จั้ง ฉีอ๋องก็รั้งอาชาให้หยุด เพ่งสายตามองข้าอยู่พักใหญ่จึงหัวเราะลั่นกล่าวว่า “ดี ดี ดูท่าท่านจะหนีได้รวดเร็วยิ่งนัก ไม่บาดเจ็บแล้วก็มิได้ตกระกำลำบากอันใดนัก”
ข้าเกือบจะกลอกตาใส่สักหน บอกว่าข้าหนีได้รวดเร็ว จะชมหรือว่าจะเสียดสีกันเล่า ข้าตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นเพราะได้บารมีของท่านอ๋อง หากติดตามท่านอ๋องทำศึกอีกสักสองสามปี น่ากลัวว่าข้าคงกลายเป็นผู้ตรวจการกองทัพผู้ชำนาญการเผ่นแน่บมากที่สุด”
แม่ทัพที่ตามมาทั้งหลายต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง แม้ยามปกติฉีอ๋องกับฉู่เซียงโหวมักจะชอบล้อเล่นกันอยู่เสมอ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มากก็มักจะรักษามารยาทต่อกัน คิดไม่ถึงว่าจะหยอกล้อกันหน้าประตูค่าย หลังจากพ่ายศึกมาอย่างโชคดี เดิมทีแม่ทัพที่ช่างวิตกส่วนหนึ่งอดมิได้กังวลว่าราชสำนักจะลงโทษหรือไม่ แต่เมื่อเห็นสองคนนี้ล้อเล่นกันเช่นนี้ ในใจกลับผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ปลายหางตาของหลี่เสี่ยนเหลือบเห็นสีหน้าของแม่ทัพทั้งหลายผ่อนคลายลงบ้าง ในใจก็นึกยินดี หลายวันมานี้ประการแรกเขาหงุดหงิดที่พ่ายศึก ประการที่สองเป็นห่วงความปลอดภัยของเจียงเจ๋อ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัดกลุ้ม ผลสุดท้ายจึงทำให้บรรยากาศในกองทัพตึงเครียด วันนี้เขาจึงอาศัยโอกาสออกมาต้อนรับเจียงเจ๋อ จงใจเอ่ยวาจาหยอกล้อมสองสามประโยค แล้วก็ได้ผลดังคาดจริงๆ บรรยากาศในกองทัพเปลี่ยนไปอย่างมาก
เมื่อจุดประสงค์ของเขาบรรลุแล้ว เขาจึงไม่ชักช้าร่ำไร ดึงผ้าคลุมกันลมของเจียงเจ๋อผู้นั่งอยู่บนหลังม้าแล้วกล่าวว่า “เอาละ พวกเราเข้าไปในกระโจมใหญ่หารือกันเถิด เป็นเช่นไรบ้าง ระหว่างทางสงบสุขหรือไม่ ได้เชลยคนใดกลับมาหรือไม่”
เจียงเจ๋อให้เขาส่งซูชิงกลับไปเพียงลำพัง หลี่เสี่ยนย่อมทราบว่าเจียงเจ๋อคิดจะล่อมือสังหารที่ตั้งใจลอบสังหารออกมา ยามนี้เจียงเจ๋อกลับมาอย่างปลอดภัย เขาย่อมต้องการถามว่าจับกุมมือสังหารมาได้สักกี่คน หากได้เชลยมาไม่น้อยจะได้ให้เจียงเจ๋อนำไปแสดงต่อหน้าธารกำนัล นับว่าเป็นการปลุกขวัญกำลังใจทหาร
แม้ข้าเข้าใจความคิดของเขา แต่ย่อมบอกมิได้กระมังว่าข้าปล่อยต้วนหลิงเซียวกับหลิงตวนไป ดังนั้นจึงตอบปัดด้วยท่าทีสบายๆ “แม้มีมือสังหารอยู่หลายคน แต่มิใช่คนสำคัญอันใด จะให้ข้านำศีรษะคนกลับมาด้วยหรือไร”
ระหว่างที่สนทนา พวกเราสองคนก็บังคับม้าเดินเข้ามาในประตูค่าย หลังจากลงม้าก็ตรงเข้าไปในกระโจมใหญ่ เสี่ยวซุ่นจื่อพาองครักษ์ทั้งหลายไปจัดแจงที่พักและจัดการจี้เสวียนกับจ้าวเหลียง ฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพจึงติดตามแม่ทัพทั้งหลายเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ด้วย การประชุมทหารอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับจากพ่ายศึกอานเจ๋อเริ่มต้นขึ้นแล้ว
แม้เพิ่งผ่านความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่มา แม่ทัพทั้งหลายจึงหดหู่เล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้ แต่ถึงอย่างไรชายแดนเหนือก็ทำศึกสงครามมาหลายปี อีกทั้งแพ้ชนะก็เป็นเรื่องปกติของทหาร ครั้งนี้มิได้สูญเสียกำลังหลัก ดังนั้นแม่ทัพทั้งหลายจึงจิตใจสงบอยู่พอสมควร ถึงข้าจะมิใช่คนในกองทัพ แต่ก็เข้าใจจิตใจของแม่ทัพทั้งหลายดี แม้ข้าจะนับถือจิตใจของแม่ทัพทั้งหลายที่ชนะมิหยิ่งผยอง พ่ายแพ้มิทดท้อ แต่เมื่อคิดว่าสิ่งนี้คือผลจากการที่ถูกหลงถิงเฟยทำลายความมั่นใจติดต่อกันมาหลายปี ข้าก็อดหัวเราะขมขื่นในใจมิได้
หลี่เสี่ยนคลี่ยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “แม้กองทัพเราพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่อานเจ๋อ แต่กองทัพเป่ยฮั่นก็มิใช่ว่าไม่สูญเสีย อย่างน้อยเมืองอานเจ๋อก็ถูกทำลายลงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทหารของต้วนอู๋ตี๋ก็บาดเจ็บไม่น้อย ชาวบ้านอพยพที่ไร้บ้านให้หวนกลับยิ่งมีนับแสนกว่าคน แม้กองทัพเป่ยฮั่นอพยพชาวบ้านทั้งหมดไปยังชิ่นหยวนและปิดเมืองเผานาแล้ว แต่ชาวบ้านอพยพมากมายเช่นนี้ น่ากลัวว่าเสบียงของเป่ยฮั่นคงจะใช้หมดเร็วยิ่ง มิเห็นว่าพวกเขาจะได้เปรียบสักเท่าใด
แม้กองทัพเราพ่ายแพ้ แต่กำลังหลักยังอยู่ ข้าส่งสารขอความช่วยเหลือไปแล้ว อีกเพียงหนึ่งเดือน กองเรือและกองหนุนก็จะเดินทางมาถึง ถึงยามนั้น เสบียงของพวกเราจะพรั่งพร้อมพอทำศึกใหญ่กับศัตรู ยามนี้กองทัพศัตรูถอยไปถึงชิ่นหยวนแล้ว ที่นั่นคือจุดที่กำลังหลักของเป่ยฮั่นอยู่ ข้าตัดสินใจว่าจะต่อสู้ตัดสินกับหลงถิงเฟยที่ชิ่นหยวน มิทราบว่าแม่ทัพทั้งหลายคิดเห็นเช่นไร”
แม่ทัพทั้งหลายล้วนทราบว่ากองทัพเป่ยฮั่นถอยไปถึงชิ่นหยวนแล้ว หากไม่บุกโจมตีจะให้รออยู่ที่นี่หรือ พวกเขาย่อมไม่เห็นแย้ง แต่เซวียนซงกลับนึกกังวลอยู่ในใจ จึงลุกขึ้นกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ โบราณว่าไว้ทัพยังมิเคลื่อน เสบียงเคลื่อนก่อน แม้มีกองเรือกับกองหนุน แต่น้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ ถึงอานเจ๋อกับชิ่นหยวนจะห่างกันมิถึงร้อยลี้ แต่มีด่านภูเขากั้นขวาง เส้นทางระหว่างภูเขาเดินทางลำบาก การขนส่งเสบียงทางบกต้องใช้เวลามากยิ่งนัก
ยามนี้เสบียงในกองทัพอย่างมากก็อยู่ได้ครึ่งเดือน เสบียงที่จะส่งตามมาน่ากลัวว่าจะมาเติมมิทันกาล มิสู้ให้กำลังหลักปักหลักอยู่ที่อานเจ๋อชั่วคราว แล้วส่งแม่ทัพหนึ่งถึงสองคนไปซ่อมแซมเส้นทางกับขัดขวางเส้นทางที่กองทัพเป่ยฮั่นจะยกพลลงใต้ รอจนกองหนุนมาถึงค่อยยกพลใหญ่บุกโจมตี มิทราบแม่ทัพใหญ่คิดเห็นเช่นไร”
หลี่เสี่ยนฟังจบก็ทราบว่าสิ่งที่เซวียนซงกล่าวเป็นหลักการเดินทัพที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้กลับทำเช่นนั้นมิได้ ขณะที่กำลังขบคิดว่าจะกล่าวเช่นไร ข้าก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ “แม่ทัพเซวียนกล่าวมิผิด เพียงแต่กองทัพเรานัดหมายว่าจะไปพบกับแม่ทัพจิงที่ชิ่นหยวน แม้ยามนี้มิทราบว่าสถานการณ์การศึกเป็นเช่นไร แต่ด้วยความเร็วการเคลื่อนทัพของแม่ทัพจิง น่ากลัวว่าภายในเวลาสั้นๆ ก็คงนำทหารไปถึงชิ่นหยวนแล้ว
ถึงเวลาหากกองทัพใหญ่ของพวกเราไปมิถึง ย่อมกระหนาบโจมตีหน้าหลังมิได้ หากถูกหลงถิงเฟยเลี่ยงหนักจัดการเบา บุกตีทัพของแม่ทัพจิงจนแตกพ่ายก่อน ถ้าเช่นนั้นศึกนี้คงลากนานจริงๆ แม้ตอนนี้เสบียงจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอฝืนใช้ได้อีกยี่สิบวัน เรื่องเสบียงเจียงเจ๋อยินดีจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง จักมิทำให้กองทัพต้องขาดเสบียงเติมท้องแน่นอน”
เซวียนซงฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แม้จะยังกังวลอยู่บ้างแต่ก็เห็นด้วยกับแม่ทัพใหญ่และผู้ตรวจการกองทัพ เขาเป็นแม่ทัพที่เจียงเจ๋อไว้วางใจและผลักดันให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ต่อให้มิมีเหตุผลชัดเจน เขาก็ย่อมมิสะดวกคัดค้าน แผนการเคลื่อนพลกองทัพใหญ่ขึ้นเหนือทันทีจึงกำหนดลงเช่นนี้
มิทราบว่าเป็นอันใด จู่ๆ เซวียนซงก็ลอบเหลือบมองเจียงเจ๋อผู้ยิ้มจางๆ อย่างเกียจคร้าน ในใจพลันเข้าใจบางสิ่ง ดูเหมือนว่ามีแผนร้ายบางอย่างกำลังดำเนินไปอยู่สินะ เพียงแต่ว่าตนมิมีคุณสมบัติพอจะทราบก็เท่านั้น