หลี่เสี่ยนสั่งให้แม่ทัพทั้งหลายออกไปเสร็จก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สุยอวิ๋น ข้าส่งสารขอความช่วยเหลือไปตามความตั้งใจของท่านแล้ว ภายในสองวันนี้น่าจะส่งไปถึงเบื้องพระพัพตร์ของฝ่าบาท แต่กองทัพเราเพียงพ่ายแพ้เล็กน้อย เหตุใดท่านต้องให้ข้าส่งฎีกากราบทูลว่าพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แล้วยังเรียกร้องเสบียงกับกำลังเสริมอย่างเกินจริงด้วยเล่า”
ข้ายิ้มละไม สาเหตุของเรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกหลี่เสี่ยนจะดีกว่า การปล่อยข่าวลวงย่อมเป็นไปเพื่อล่องูออกจากโพรง แต่หลี่เสี่ยนมิจำเป็นต้องทราบ นี่ก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทเช่นกัน พวกเราล้วนมิหวังให้หลี่เสี่ยนพะว้าพะวงกับเรื่องอื่น อีกประการหนึ่ง ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องเช่นนี้เข้าไปยุ่งครั้งเดียวก็พอแล้ว ข้าคิดว่าฉีอ๋องเองก็มิคิดเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นครั้งที่สองกระมัง
ดังนั้นจึงเพียงตอบอย่างนิ่งสงบว่า “นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ยามนี้ในราชสำนักมีคนบางส่วนทำให้ไม่มั่นคง หากกองทัพเกิดเรื่อง คนเหล่านี้ต้องฉวยโอกาสซ้ำเติมเป็นแน่ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาทำลายการใหญ่ของพวกเราในช่วงเวลาสำคัญ มิสู้ให้พวกเขาเผยร่องรอยออกมาก่อน ดังนั้นในเมื่อครั้งนี้พวกเราต้องพ่ายแพ้สักสองสามหนอยู่แล้วก็ฉวยโอกาสส่งฎีการายงานด่วนไปเสีย ไยมิใช่เหมาะเจาะพอดี ต่อให้พวกเขามีหูตาทั่วฟ้าก็ต้องติดกับถูกหลอกแน่”
หัวใจหลี่เสี่ยนสั่นไหว ราชสำนักไม่มั่นคง เป็นไปได้เช่นไร ด้วยความสามารถของเสด็จพี่รองจะนั่งบนบัลลังก์อย่างมั่นคงมิได้เชียวหรือ ราชสำนักยังมีผู้ใดกล้าก่อคลื่นลมอีก ตระกูลฉินกับตระกูลเฉิงจงรักภักดี คิดมาคิดไปก็มีแต่ตนเท่านั้นที่อาจก่อการกบฏได้
ในใจเขาไม่เคยเห็นหลี่คังเป็นปัญหาแม้แต่นิด เพราะตงชวนกำลังทหารน้อยนิดเพียงเท่านั้น อีกทั้งอำนาจในกองทัพของหลี่คังก็สู้หลี่จื้อกับตนมิได้อยู่มาก เพียงแม่ทัพใหญ่มากมายใต้บัญชาของทั้งสองคนก็โดดเด่นกว่าหลี่คังแล้ว
ครุ่นคิดทบทวนแล้วหลี่เสี่ยนก็ยังคิดเหตุผลที่จะเป็นเช่นนั้นมิออก แม้เขาทราบว่าฝ่าบาทกับเจียงเจ๋อส่งสารลับหากันหลายหน แต่เขาคิดว่าเป็นเพราะเสด็จพี่มิวางใจตน ดังนั้นเจียงเจ๋อจึงต้องลอบรายงานเรื่องราวในกองทัพเพียงเท่านั้น
ในเมื่อเชื่อมั่นว่าเจียงเจ๋อจะมิทำร้ายตน หลี่เสี่ยนจึงทำเป็นมิทราบ เขาเองก็คร้านจะสนใจเรื่องราวในราชสำนัก สถานการณ์ที่ตงชวนมิใช่เรื่องด่วน จึงมีเพียงขุนนางคนสำคัญจำนวนน้อยที่ล่วงรู้ ด้วยเหตุนี้หลี่เสี่ยนคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกว่าในราชสำนักจะมีการก่อกบฏอันใดได้
ข้าเห็นในใจเขาคลางแคลงก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “มิใช่คลื่นลมใหญ่โตอันใดหรอก แค่เรื่องลี่อ๋องกับทายาทที่เหลือของสำนักเฟิงอี้เท่านั้น ยังมีคนจ้องฉวยโอกาสโจมตีองค์ชายอยู่ ดังนั้นฝ่าบาทจึงมิต้องการให้องค์ชายทราบ มิให้องค์ชายเกิดระแวงแคลงใจ”
หลี่เสี่ยนได้ฟังคำนี้ก็โล่งอก ถึงอย่างไรข่าวเล่าข่าวลือเหล่านี้ นับตั้งแต่เขามาบัญชาการกองทัพที่เจ๋อโจวก็มีอยู่มิเคยขาด ในเมื่อเจียงเจ๋อกล่าวเช่นนี้เขาก็วางใจแล้ว เพียงเอ่ยอย่างเคืองๆ ว่า “ฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มิสำคัญ ขอเพียงมิขัดขวางการบุกตีเป่ยฮั่นของข้าก็เพียงพอแล้ว รอจนถึงวันที่บุกตีจิ้นหยางสำเร็จ เสด็จพี่จะถอดตำแหน่งข้าหรือจะลงโทษก็สุดแล้วแต่”
ข้าลอบหัวเราะจืดเจื่อนในใจ ความบาดหมางระหว่างหลี่เสี่ยนกับจักรพรรดิช่างคลี่คลายยากเสียจริง แต่เรื่องนี้ข้าคงช่วยเหลือมิได้ ยามนี้ทำให้หลี่เสี่ยนกลับมาโมโหโกรธาเช่นวันวานได้ก็ไม่ง่ายแล้ว แต่จะมิตอบก็มิได้ ในใจข้านึกเคืองอยู่เล็กน้อย จึงจงใจเอ่ยเสียดสีว่า “เจียงเจ๋อคิดว่ามีข้าเพียงคนเดียวเสียอีกที่ทนเห็นกองทัพใหญ่กรีฑาทัพพิชิตหนานฉู่มิได้ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายก็มิอยากนำทัพบุกแดนใต้เหมือนกัน”
หลี่เสี่ยนตกตะลึง รีบร้อนเอ่ยว่า “อะไรนะ ท่านบอกว่ากรีฑาทัพลงใต้ ฝ่าบาทมีพระประสงค์เช่นนั้นหรือ”
ข้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เรื่องนี้แปลกอันใดเล่า รอเมื่อปราบเป่ยฮั่นเสร็จสิ้น จะมิยกพลกรีฑาทัพบุกลงใต้หรือไร ปณิธานของฝ่าบาทคือการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง ไฉนจะปล่อยเจียงหนานนอนหลับอุตุยึดแท่นบรรทมครึ่งหนึ่งไปได้”
หลี่เสี่ยนกระจ่างแจ้งใจ พรูลมหายใจเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ยามกรีฑาทัพลงใต้มิรู้ว่าเสด็จพี่จะใช้งานข้าหรือไม่ แต่ถึงเวลาก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีหวัง อย่างน้อยให้ข้าได้ยกทหารม้าสักกองบุกตีเซียงหยางอีกสักหนเถิด ถึงอย่างไรข้าก็เคยบุกตีที่นั่นสองหนแล้ว
ส่วนกำลังหลักที่จะยกทัพลงใต้ เผยอวิ๋นดูมีหวังมากกว่าหน่อย ไม่ว่าอย่างไรหลายปีนี้เขาก็เป็นคนพิทักษ์ฝั่งฉางเจียง แล้วก็หากตงไห่สวามิภักดิ์ ไห่เทาก็มีหวังอยู่เช่นกัน แต่สุยอวิ๋นเหตุไฉนท่านจึงไม่ไปเล่า ถึงเวลาเกรงว่าฝ่าบาทคงตัดใจมิเรียกใช้คนเก่งกาจอย่างท่านมิลงหรอก”
ดวงตาของข้าฉายแววจนปัญญาจางๆ กล่าวว่า “หากชายแดนเหนือสงบ รากฐานของต้ายงก็มั่นคงแล้ว การกำจัดหนานฉู่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เจียงเจ๋อมิปรารถนาจะวุ่นวายเรื่องทางโลก หากฝ่าบาทเมตตา ปล่อยให้ข้าหวนกลับไปปลีกวิเวก ข้าก็จะกลับไปยังตงไห่ หากฝ่าบาทมิยินดีปล่อยข้าไป ฉางอันก็เป็นที่พำนักที่ไม่เลว เจียงเจ๋อทรยศหนานฉู่มาเข้ากับต้ายงก็ผิดต่อมิตรสหายในวันวานพอแล้ว หากนำทัพบุกตีหนานฉู่อีก เกรงว่าวันหน้าคงมิมีหน้าหวนคืนบ้านเกิด”
หลี่เสี่ยนลอบด่าตนเองในใจว่าสมองเลอะเลือน เรื่องเช่นนี้ยังคิดไม่ออก แล้วลนลานกล่าวว่า “ไม่ไปก็ไม่ต้องไป หนานฉู่อ่อนแอ ทางนั้นมิต้องให้ท่านลงมือหรอก”
หนานฉู่อ่อนแอหรือ ข้ายิ้มหยันจางๆ หลายวันก่อนผลสรุปของการเจรจาส่งมาแจ้งว่าต้ายงตกลงมิเก็บค่าชดเชยจากหนานฉู่อีกต่อไป ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของเจียงหนาน ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็คงฟื้นกำลังกลับมาได้ดังเดิม หากมิใช่ว่าหนานฉู่มีเจ้าแผ่นดินโง่เขลากับขุนนางโฉดชั่ว ต้ายงก็ไม่แน่ว่าจะกำราบหนานฉู่ได้ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลู่ช่านอยู่อีก แม้แต่ข้าก็ยังเคยเสียท่าเพราะเขา เด็กคนนี้มิใช่คู่ต่อสู้ที่จะจัดการได้ง่ายๆ หรอกนะ
หลี่เสี่ยนรู้สึกว่าบรรยากาศในกระโจมอึมครึม จึงเปลี่ยนประเด็นเอ่ยขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ครั้งนี้ท่านขันอาสาจะดูแลการขนส่งเสบียงเอง ต้องระวังรอบคอบ หากเสบียงมามิทัน น่ากลัวว่าถึงท่านจะเป็นผู้ตรวจการกองทัพ โทษตายอาจเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นคงยากเลี่ยง”
ในใจข้าคิดว่าเสบียงมาไม่ทันก็เพียงยากเลี่ยงโทษเป็น แต่หากข้าไปชิ่นหยวน เกรงว่าตอนพ่ายศึก ข้าอยากหนีก็คงหนีไม่ไหว หลบอยู่ด้านหลังดีกว่าอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ข้าย่อมมิกล้าเอ่ยออกมา แม้ฉีอ๋องก็คิดเช่นเดียวกันว่ากองทัพเราจำเป็นต้องพ่ายแพ้อีกสักหน แต่ใจจริงของเขาก็ยังหวังว่าจะรบชนะกองทัพเป่ยฮั่นอย่างสง่าผ่าเผย หากข้ากล่าวเช่นนี้ออกไป เขาคงโมโหแน่
ความจริงข้าก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าหลงถิงเฟยจะทำตามที่ข้าคิดไว้หรือไม่ กองทัพเรามีโอกาสแพ้ชนะครึ่งต่อครึ่ง ทว่าทางที่ดีที่สุดคือพ่ายแพ้จะดีกว่า มิเช่นนั้นหากกองทัพศัตรูค่อยๆ ถอยแล้วทำศึกดุเดือดกับพวกเราทีละเมือง เกรงว่ากองทัพเรายังมิทันบุกถึงจิ้นหยาง หลี่คังก็คงยกทัพประชิดฉางอันแล้ว หากโชคร้ายหนานฉู่ก็อาจฉวยโอกาสบุกขึ้นเหนือด้วย ดังนั้นหากหลงถิงเฟยพ่ายแพ้ที่ชิ่นหยวนแล้วถอยไปจริง ข้าคงต้องวางแผนการรบใหม่แล้ว
อยู่ภายในกระโจมเนิ่นนานจนรู้สึกว่าอึดอัดเล็กน้อย คิดว่ากระโจมของข้าน่าจะตั้งเสร็จแล้ว ข้าจึงขอตัวลาฉีอ๋องเดินออกจากกระโจมหลังใหญ่ ข้ามองดูท้องนภามืดสลัว ในใจคาดเดาว่าฎีกากราบทูลข่าวการศึกเร่งด่วนฉบับนั้นจะไปถึงฉางอันหรือยัง แล้วจะก่อคลื่นลมมากมายหรือไม่
หนุนเขนยโดดเดี่ยวเศร้ามิคลาย จันทร์สว่างเดียวดายนอกบัญชร
รัตติกาลเมฆครึ้มใจขาดรอน ห่มอาภรณ์นั่งเปลี่ยวเหงานับดารา
อรุณฉายร้อยคะนึงสลายเป็นเถ้า เหลือเพียงเงาอ้างว้างเคียงกายา
ฝนตกต้องอู๋ถงหลั่งน้ำตา เสียงเปาะแปะยิ่งพาใจระทม
ภายในตำหนักเจาไถ ลึกเข้าไปในพระราชวังแห่งนครฉางอัน สตรีในชุดนางในดวงหน้างามเฉิดฉินคนหนึ่งกำลังลูบเจิงสีเงินแผ่วเบา นางขับขานบทกวีอวี๋เหม่ยเหริน[1]อันคับแค้นและเศร้าสลด แม้มีแพรพรรณงดงามและอาหารเลิศรส รายล้อมด้วยไข่มุกและหยกงาม แต่กลับเดียวดายไร้ที่พึ่ง ถูกทอดทิ้งให้เปล่าเปลี่ยวอยู่ลึกในวังหลวง
สตรีนางนั้นดีดเครื่องดนตรีขับขานอยู่มินานก็น้ำตาไหลนองหน้า หญิงรับใช้หน้าตางามเกลี้ยงเกลาที่ยืนอยู่ข้างกระถางเครื่องหอมรีบส่งผ้าเช็ดหน้าไหมให้ สตรีนางนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมซับน้ำตาแล้วกล่าวว่า “ฉานเอ๋อร์ หากข้ามิได้จากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่ในสถานที่อันมิเห็นเดือนเห็นตะวันแห่งนี้จะดีเพียงใด”
นางข้าหลวงผู้นั้นได้ยินเจ้านายรำพันก็รีบหันหลังกลับเดินไปนอกประตู เมื่อเห็นนางข้าหลวงคนอื่นอยู่ห่างออกไปไกลยิ่งนักจึงหันกลับมากระซิบว่า “พระสนม กล่าววาจาเหลวไหลมิได้นะเพคะ หากผู้อื่นได้ยินแล้วนำไปลือกันต่อจนฝั่งตรงข้ามเอาไปเล่นงาน เกรงว่าพระสนมคงรับโทษมิไหว อดทนเพียงไม่กี่เดือน รอให้ฝ่าบาทลืมเลือนเรื่องราวครั้งนั้น ด้วยรูปโฉมและความสามารถของพระสนม จักต้องผงาดขึ้นอีกครั้งได้แน่เพคะ”
สตรีนางนั้นฟังจบกลับน้ำตาไหลริน กล่าวว่า “ตัวข้าเป็นบุตรีตระกูลสูง หากแคว้นสู่มิล่มสลาย แม้ต้องเข้าวังของเจ้าแคว้นก็คงมิถูกดูแคลน ยามนี้ถูกบิดาส่งเข้ามาอยู่ในวังของต้ายงกลับต้องทนอัปยศเช่นนี้ ยามแรกฝ่าบาทยังปฎิบัติกับข้าด้วยดี เมื่อเข้าวังมาก็แต่งตั้งเป็นชงอี๋ แม้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าบิดา แต่ก็ถือว่าโปรดปรานพอสมควร
ทว่านับตั้งแต่ซือหม่าซิวย่วนถูกโบยจนตาย ฝ่าบาทก็พานโกรธพวกเราเหล่าสนมที่ถูกส่งมาจากตระกูลของตงชวน นับวันยิ่งเหินห่างจากข้า ก่อนหน้านี้ข้าล้มป่วยมิอาจไปคารวะฮองเฮา มิทราบผู้ใดยุแยง ฝ่าบาทจึงออกพระราชโองการตำหนิว่าข้าละเลยธรรมเนียม ลดตำแหน่งข้าเป็นชงย่วน ข้าถูกกล่าวโทษอย่างไร้เหตุผล แต่ข้าคิดว่าหากลดทอนโทสะของฝ่าบาทลงได้บ้างก็ถือว่าคุ้มค่า
กลับกลายเป็นว่านับตั้งแต่นั้นผ่านไปหลายเดือนแล้วก็ยังมิได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาท แม้แต่งานเลี้ยงในพระราชวังก็ยังมีราชโองการมิให้ข้าเข้าร่วม ยามนี้ตำหนักเจาไถแห่งนี้เงียบเหงาวังเวงต่างจากตำหนักเย็นที่ตรงไหน ชีวิตอันอ้างว้างเช่นนี้จะให้ข้าทนได้เช่นไร ข้ายอมเข้าตำหนักเย็นไปจริงๆ เสียดีกว่า หากถึงวันพระราชทานอภัยโทษใหญ่ยังได้กลับบ้านเกิดไปพบหน้าบิดามารดา”
[1] บทกวีอวี๋เหม่ยเหริน หรือบทกวีโฉมสะคราญแซ่อวี๋ คือชื่อประเภทบทกวีชนิดหนึ่ง ข้อสันนิษฐานหนึ่งกล่าวว่าเป็นรูปแบบคำประพันธ์ที่มาจากรูปแบบบทกวีที่อนุภรรยาแซ่อวี๋ของเซี่ยงอวี่ขับขานตอบบทกวีของเขาระหว่างถูกกองทัพศัตรูล้อม จึงได้ชื่อนี้มา