นางข้าหลวงนามฉานเอ๋อร์ผู้นั้นดวงตาทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง แต่ปากกลับเกลี้ยกล่อมว่า “พระสนมอย่าทรงกลัดกลุ้ม หลายวันก่อนพระสนมเสด็จไปคารวะฮองเฮา ฮองเฮามิได้ลอบบอกพระสนมหรือเพคะว่าทรงกราบทูลฝ่าบาทแล้วว่าการที่ฝ่าบาทพานโกรธพระสนมเพราะซือหม่าซื่อเป็นเรื่องมิยุติธรรม บางทีอีกไม่กี่วันนี้ฝ่าบาทอาจทรงเปลี่ยนพระทัยก็เป็นได้นะเพคะ”
สตรีงามวิลาสผู้นั้นเพียงถอนหายใจยาวแผ่วเบา นางเกิดในตระกูลขุนนาง เห็นการขันแข่งแย่งชิงความโปรดปรานต่างๆ นานามาจนชิน จะเชื่อได้เช่นไรว่าฮองเฮาจะออกหน้าแทนตนเอง สองนายบ่าวประเดี๋ยวก็สนทนา ประเดี๋ยวก็ร่ำไห้ ขณะที่เศร้าสลดใจจะขาดอยู่นั้นเอง ขันทีรับใช้ในตำหนักเจาไถก็วิ่งเข้ามาด้วยอารามดีใจ คุกเข่าคำนับรายงานนอกประตู “ยินดีกับพระสนม ฝ่าบาทมีพระราชโองการว่าคืนนี้จะเสด็จตำหนักเจาไถ ซ่งกงกงมาถ่ายทอดพระราชโองการ ขอพระสนมเตรียมตัวรับเสด็จ”
สตรีนางนั้นดีใจยิ่งนัก นางลุกขึ้นยืน เรือนร่างอ้อนแอ้นโงนเงนเกือบล้ม ถามเสียงแผ่วเบาว่า “ฉานเอ๋อร์ ข้ามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่”
นางข้าหลวงผู้นั้นเผยสีหน้าเบิกบานใจ ก้มคำนับตอบว่า “ยินดีกับพระสนม บ่าวได้ยินมานานแล้วว่าฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระปรีชา พระองค์ย่อมไม่พานนำโทสะมาลงกับพระสนม”
สตรีนางนั้นรีบเอ่ยว่า “ฉานเอ๋อร์ รีบไปรับเสด็จกับข้าเร็ว” พูดพลางก็รับผ้าเช็ดหน้าไหมที่นางข้าหลวงผู้นั้นเพิ่งนำไปซักกับน้ำสะอาดมาเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอย่างมั่วๆ แล้วผลุนผลันเดินออกไปรับพระราชโองการ
ภายในห้องโถงหลักของตำหนักเจาไถ ขันทีอาภรณ์เขียวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม เขาก็คือซ่งหว่าน ขันทีรับใช้ข้างพระวรกายจักรพรรดิ ความจริงแล้วซ่งหว่านผู้นี้อายุไม่มาก อายุเพียงประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีเท่านั้น หน้าตาซื่อตรง ท่าทางดูซื่อบื้อ แต่ดูจากที่เขาใช้เวลาไม่ถึงสองปีหลังหลี่จื้อขึ้นครองราชย์เลื่อนขั้นจากตำแหน่งขันทีปัดกวาดที่มิอาจพบพระพักตร์จักรพรรดิแม้แต่น้อยกลายเป็นคนโปรดข้างพระวรกายฝ่าบาท ก็ทราบแล้วว่าคนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน สิ่งที่หายากกว่านั้นก็คือซ่งหว่านผู้นี้นิสัยสุขุมหนักแน่น แม้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทจนมีอำนาจไม่เป็นรองฉางเอินหัวหน้าขันที แต่เขากลับยังระมัดระวังรอบคอบ ไม่ล่วงเกินผู้อื่นง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงมีความสัมพันธ์กับผู้คนภายในพระราชวังดียิ่งนัก
ซ่งหว่านเห็นหวงชงย่วนเดินออกมา เขาจึงถ่ายทอดพระราชโองการอย่างนอบน้อมจากนั้นขอตัวลาจากไป แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเครื่องประทินโฉมที่ยังเลอะเทอะเล็กน้อยของหวงชงย่วน แม้หวงชงย่วนเปรมปรีดายิ่งนัก แต่มิกล้าเสียมารยาท หลังจากรับพระราชโองการก็ออกไปส่งเขาด้วยตนเอง ระหว่างที่เดินไปส่งก็หยิบหยกน้ำงามไร้ตำหนิชิ้นหนึ่งจากข้างเอวยัดให้ด้วย ปากเอ่ยว่า “กงกงเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดของฝ่าบาท แต่ต้องลำบากกงกงเดินทางมาถ่ายทอดราชโองการด้วยตนเอง ข้าซาบซึ้งใจนัก มิมีสิ่งมีค่าใดมอบให้ หยกพกชิ้นนี้ถือเสียว่าให้กงกงชมเล่นยามว่าง”
ซ่งหว่านรับหยกพกมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มซื่อๆ หวงชงย่วนเห็นเช่นนี้จึงหยุดยืนนิ่งอย่างพอใจ ทว่านางข้าหลวงนามฉานเอ๋อร์ผู้อยู่ด้านข้างกลับมองเห็นชัดเจน ซ่งหว่านผู้นั้นดวงตากระจ่างใส ไม่มีแววตาละโมบอย่างสิ้นเชิง ในใจนางทราบว่าซ่งหว่านผู้นี้สายตาสูงส่งยิ่ง เขาไม่เห็นค่าหยกพกของพระสนมมากมายเท่าใดนัก แต่นางก็เข้าใจดี ซ่งหว่านอยู่ข้างพระวรกายจักรพรรดิ ยามปกติมีคนอยากประจบเขามากมายนับไม่ถ้วน เดิมพระสนมก็มิหวังว่าจะซื้อใจคนผู้นี้ได้ ขอเพียงเขาไม่ขัดขวางก็พอใจแล้ว
คืนนั้นหลี่จื้อเสด็จมายังตำหนักเจาไถจริง พระสนมชงย่วนผู้นี้มีนามว่าหวงหลี นางเป็นสตรีชนชั้นสูงตระกูลหวงแห่งตงชวน ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งตงชวนคือตระกูลซือหม่า ตระกูลที่อันดับเป็นรองจากตระกูลซือหม่าก็คือตระกูลหวง ด้วยเหตุนี้หลังจากหวงหลีเข้าวังจึงถูกแต่งตั้งเป็นชงอี๋ รูปโฉมของนางสู้ซือหม่าซิวย่วนมิได้ แต่นางชำนาญการดีดเจิง แตกฉานบทกวี นิสัยอ่อนหวาน ดังนั้นจึงได้รับความโปรดปรานไม่เป็นรองซือหม่าซิวย่วน ผู้ใดจะคาดว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซือหม่าซิวย่วนถูกขังในตำหนักเย็น หลังจากนั้นถูกองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อโบยจนตาย
หวงหลีถูกฝ่าบาทพานพิโรธ นอกจากตำแหน่งจะลดลงแล้ว ยังมิถูกเรียกเข้าเฝ้าเป็นเวลาหลายเดือน แม้นางมีนิสัยอ่อนโยน แต่ก็มีนิสัยเยี่ยงสตรีชนชั้นสูงอยู่ ในใจจึงคับแค้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะกราบทูลให้จริงๆ เพียงสองวันก็ได้เข้าฝ้าฝ่าบาทแล้ว หวงหลีสีหน้าเบิกบานใจ ค่ำคืนนี้นางระมัดระวังยิ่งนัก เกรงว่าจะปรนนิบัติบกพร่องไม่ถูกใจ หลี่จื้อคล้ายจะรู้สึกละอายใจเช่นกัน จึงอ่อนโยนมากกว่าปกติ หลังจากร่วมอภิรมย์กันแล้ว หวงหลีจึงปรนนิบัติหลี่จื้อสรงน้ำ จากนั้นทั้งสองคนจึงตระกองกอดกันหลับใหล
ยามสี่ ซ่งหว่านที่เฝ้าดูแลอยู่ด้านนอก จู่ๆ ก็ผลุนผลันเดินเข้ามาในห้องบรรทม เมื่อเดินมาถึงหน้าพระแท่นบรรทมแล้วจึงเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
หลี่จื้อตื่นจากห้วงฝัน แล้วหยัดกายลุกขึ้นนั่ง “เกิดเรื่องอันใด เจ้าจึงมาปลุกข้าเวลานี้”
ซ่งหว่านกระซิบเสียงเบา “ฝ่าบาทเคยรับสั่งว่า หากชายแดนเหนือมีข่าวการศึกเร่งด่วน มิว่าเวลาใดให้กราบทูลทันที เมื่อครู่ข่าวด่วนจากท่านอ๋องหกส่งมาถึง กองทัพเราพ่ายศึกที่อานเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อฟังถึงตรงนี้เหงื่อเย็นพลันหลั่งทั่วร่าง รีบลุกจากเตียง สวมเสื้อคลุมตัวยาว จากนั้นรับสารรายงานข่าวการศึกที่ซ่งหว่านส่งให้ แล้วเดินไปทอดพระเนตรอย่างละเอียดหน้าโคมไฟสีเงิน ยิ่งอ่านสีพระพักตร์ยิ่งเคร่งขรึม ผ่านไปพักใหญ่จึงตรัสว่า “แพ้แล้วก็แล้วไปเถิด ยามนี้ได้แต่วัวหายล้อมคอก เรียกฉินอี๋ เจิ้งเสีย สืออวี้มาประชุมที่ตำหนักเหวินหวา” ตรัสจบก็ให้ซ่งหว่านช่วยสวมฉลองพระองค์มังกรอย่างรวดเร็ว
ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากประตูห้อง ทันใดนั้นหลี่จื้อก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ จึงหันกลับไปมองม่านมุ้งสีเงินที่ทอดตัวลงมา สีพระพักตร์ไม่สบายใจอยู่บ้าง ตรัสขึ้นอย่างนึกเสียใจ “โธ่ ข้ารีบร้อนจนลืมว่าที่นี่มิใช่ตำหนักเฉียนชิง”
ตรัสจบก็หมุนตัวกลับไปหน้าแท่นบรรทม เอ่ยเรียกเสียงเบา “สนมรัก สนมรัก” เรียกสองสามหนก็เห็นว่าหวงหลียังหลับสนิทไม่ตื่น จึงถอนปัสสาสะ ตรัสว่า “ครั้งหน้ามีราชกิจ หากมีพระสนมร่วมบรรทมอยู่ด้วย จำไว้ว่าให้เตือนข้าสักคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หวงชงย่วนเป็นคนแคว้นสู่” ตรัสถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เย็นชาเล็กน้อย ซ่งหว่านรีบขอพระราชทานอภัยอย่างหวาดหวั่น จากนั้นทั้งสองคนจึงเดินออกไปอย่างแผ่วเบา
เมื่อเงาร่างของหลี่จื้อหายลับไปนอกประตู หวงหลีพลันลืมตาขึ้น เวลานี้เหงื่อเย็นพรั่งพรูออกมาเต็มหน้าผากของนาง เมื่อครู่ตอนซ่งหว่านเข้ามานางก็ตื่นแล้ว แต่เมื่อได้ยินเรื่องสำคัญอันเป็นความลับของกองทัพ นางก็รีบแสร้งหลับสนิทอย่างชาญฉลาด โชคดีที่เป็นเช่นนั้น หากมิใช่เช่นนั้น น่ากลัวว่าหลี่จื้อคงสั่งกักบริเวณนางทันที มิแน่อาจถูกส่งเข้าตำหนักเย็นก็เป็นได้ เมื่อเห็นว่าน้ำพระทัยของจักรพรรดิบางดุจกระดาษ หวงหลีก็ลอบกล้ำกลืนน้ำตาอยู่เงียบๆ
เวลานี้เอง นางข้าหลวงนามฉานเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา ฉานเอ๋อร์เป็นหญิงรับใช้ที่นางพามาด้วยตอนเข้าวัง จงรักภักดีมิมีใจเป็นอื่นมาเสมอ ดังนั้นหวงชงย่วนจึงมิปิดบังนาง เรียกนางเข้ามาเล่าเรื่องราวให้ฟัง แล้วหลั่งน้ำตากล่าวว่า “ฉานเอ๋อร์ ฝ่าบาททรงระแวงถึงเพียงนี้ ข้าสมควรทำเช่นไรดี”
นางข้าหลวงผู้นั้นกล่อมด้วยวาจานุ่มนวล “พระสนม นานวันเข้าเมื่อฝ่าบาททราบถึงหัวใจของพระสนม ย่อมไม่ระแวงพระสนมแล้ว”
หวงหลียังคงหลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย จวบจนฟ้าเริ่มสางจึงสะลึมสะลือหลับไป เมื่อนางหลับใหล ดวงตาของฉานเอ๋อร์ผู้นั้นพลันฉายประกายเย็นยะเยือกอำมหิต อาศัยจังหวะที่นางข้าหลวงและขันทีในตำหนักวุ่นวายเดินตรงไปยังห้องเครื่อง แสร้งกล่าวว่าหวงชงย่วนต้องการเสวยอาหารถิ่นบ้านเกิดสองสามอย่าง หลังจากสั่งการห้องเครื่องเสร็จจึงกลับไปยังตำหนักเจาไถ ผู้ใดก็มิทันสังเกตเห็นกระดาษม้วนหนึ่งที่นางยัดใส่มือขันทีเฒ่าผู้หนึ่งในห้องเครื่อง
สองสามวันหลังจากนั้น เรื่องกองทัพพ่ายศึกถูกหลี่จื้อกับเหล่าขุนนางปิดเงียบ แทบไม่มีข่าวหลุดลอดมา ในนครฉางอันไม่มีข่าวแม้แต่น้อย แต่คำสั่งเคลื่อนพลทหารอย่างลับๆ ของหลี่จื้อก็ยังทำให้คนที่มีสติปัญญาจำนวนหนึ่งจับสังเกตได้ ในเวลาเดียวกันนี้ ข่าวพ่ายศึกอานเจ๋อก็ส่งไปถึงหูของชิ่งอ๋องที่ตงชวนผ่านช่องทางลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
หลี่คังกำลังรอคอยจังหวะอย่างร้อนใจอยู่ เมื่อได้ยินข่าวกองทัพพ่ายศึกที่ชายแดนเหนือ ในใจก็ยินดียิ่งนัก แต่เขาระมัดระวังรอบคอบจึงยังไม่เคลื่อนทหารทันที ถึงอย่างไรจากข่าวสารที่เขารวบรวมมาจากหลายทาง การพ่ายศึกครั้งนี้ก็มิได้เสียหายหนักหนาถึงกระดูก แต่เขาก็ถือโอกาสทดสอบความภักดีกับความสามารถของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วได้หนหนึ่ง เขาขอให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วตรวจสอบข่าวการพ่ายศึกครั้งนี้
หลายวันให้หลัง ข่าวที่กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วส่งมาให้ทำให้ชิ่งอ๋องพอใจยิ่งนัก ไม่เพียงบอกกล่าวความเป็นไปเป็นมาของการพ่ายแพ้ครั้งนี้อย่างชัดเจน แต่ยังสืบหารายละเอียดที่แม้แต่หลี่คังก็ยังไม่รู้มาได้อีกจำนวนหนึ่งด้วย ฮั่วอี้อธิบายว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วรวบรวมข่าวสารเหล่านั้นมาจากเบาะแสและร่องรอยต่างๆ ที่เหล่าสายลับจารชนในนครฉางอันสืบพบ เนื่องจากกองทัพใหญ่ของฉีอ๋องปิดกั้นชายแดนเหนือไว้รัดกุมยิ่ง มิอาจลักลอบเข้าไปสืบข่าวการทหารได้แม้แต่น้อย หลี่คังยังได้ข่าวอย่างละเอียดมาจากพรรคมารของเป่ยฮั่นอีกทางหนึ่ง เมื่อนำข่าวจากสองฝั่งมาเทียบกัน บนโลกใบนี้เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดรู้รายละเอียดการพ่ายศึกที่อานเจ๋อดียิ่งกว่าเขา
หลี่คังยิ่งมั่นใจในความสามารถและความภักดีของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว จึงค่อยๆ มอบหมายอำนาจในงานสำคัญให้แก่พวกเขา เพราะอย่างไรเสีย กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็มีข้อได้เปรียบและมีความสามารถอันยอดเยี่ยมในด้านการสืบข่าว