บทที่ 692 ให้หน้า...ข้าสักหน่อย! (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 692 ให้หน้า…ข้าสักหน่อย! (3)

หรานเติ้งขมวดคิ้ว

เขาเพียงพยายามที่จะใช้วาจาตอบโต้เหนือกว่า แต่ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วก็หันกลับมาฟาดเขาอีกครั้งอย่างฉับพลัน

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วค่อยๆ หรี่ลงช้าๆ ใบหน้าของเขามีความเศร้าอย่างไม่อาจอธิบายได้ เขาก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าวและถือม้วนกระดาษเอาไว้ในมือ

จากนั้นเขาก็ค่อยๆ คลี่เปิดมันออกช้าๆ และมองไปที่พลังเต๋าสวรรค์อันมหาศาลที่อยู่บนม้วนกระดาษนั้น

ลูกตาของเขาเคลื่อนขยับเล็กน้อยเพื่อค่อยๆ อ่านมันช้าๆ จากขวาไปซ้าย และจากบนลงล่าง ทว่าหลังจากเปิดอ่านแล้ว คลื่นเพลิงสมาธิแท้ก็พุ่งออกมาจากมือทั้งสอง ของเขาและเผาม้วนกระดาษนั้นทันที!

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจออกมาช้าๆ และกล่าวว่า “ข้ากลัวจริงๆ รองเจ้าสำนักหรานเติ้ง…

สำนักบำเพ็ญเต๋าดำเนินการมาเป็นเวลานานแล้ว ปรมาจารย์จอมปราชญ์ได้เทศนาเต๋าในขณะที่ศิษย์ของจอมปราชญ์ก็ทำงานอย่างหนักในสามอาณาจักรและกระจายเมล็ดพันธุ์ไฟของสำนักบำเพ็ญเต๋าไปทั่วหล้าและเพียงเท่านั้น สำนักบำเพ็ญเต๋าก็เรืองโรจน์โชติช่วงมากแล้วในวันนี้

แม้รองเจ้าสำนักหรานเติ้งจะทำผิดพลาดมาทุกรูปแบบ และมีแผนการมากมายนับเป็นพันๆ และแม้เจ้าจะมีความคิดเป็นพันๆ แต่เจ้าก็ยังคงเป็นรองเจ้าสำนักแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน

และหากมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า มันย่อมจะส่งผลต่อโชคของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานและโชคชะตาของสำนักบำเพ็ญเต๋า”

เฮ้อ…”

ร่างที่มีเส้นผมสีขาวถอนหายใจ และอดจะคร่ำครวญด้วยความเศร้าโศกอยู่บ้างไม่ได้ ทำให้รู้สึกถึงความอับจนหนทาง เศร้าโศกและขุ่นเคือง

ในขณะนั้น ทุกคนล้วนมองไปที่หรานเติ้ง พวกเขางงงวย สับสน และแม้กระทั่งไม่พอใจ…

ดวงตาของจี้อู๋โหย่วเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ด้านหลังของเทพวารี ในยามนี้ หัวใจของเขากำลังมีคลื่นซัดเป็นชั้นๆ ป่วนปั่นสั่นสะเทือน…

นี่คือขอบเขตใดกัน?

นี่คือเทพวารีแห่งศาลสวรรค์หรือ?

ในตอนนี้ จี้อู๋โหย่วไม่อาจรับรองได้อย่างมั่นใจว่า เขาเข้าใจการต่อสู้อย่างถ่องแท้ เขาพอจะเข้าใจการเคลื่อนไหวเป็นขั้นตอนสองสามขั้นตอนที่เทพวารีแห่งศาลสวรรค์ได้ดำเนินการไปคร่าวๆ

ประการแรก เขาจะเริ่มต้นด้วยการเงียบในคราแรก หลีกเลี่ยงขอบคม[1] และความขัดแย้ง ทิ้งเท็จมาทำจริง ใช้ความคิดริเริ่ม และตามมาติดๆ ด้วยการสร้างวาทกรรมให้เป็นเรื่องใหญ่ จากนั้นเขาก็จะครองความได้เปรียบ อยู่เหนือชั้นกว่า และควบคุมสถานการณ์ได้

หลังจากนั้นเขาก็จะทำลายจังหวะการโจมตีของหรานเติ้งอย่างสิ้นเชิง …

สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ เขาได้ปั้นน้ำเป็นตัว และก็เผามันก่อนที่อีกฝ่ายจะขอให้เขาเปิดเผยม้วนกระดาษนั้นเพื่อเป็นการเทน้ำลงแอ่งน้ำที่ขุ่นสกปรก และด้วยวิธีนี้ ย่อมเป็นการยากที่จะแยกแยะความแตกต่างที่ชัดเจนได้โดยตรง

เขาใช้มันเพื่อกล่าวหาหรานเติ้ง

ในขณะนั้น หรานเติ้งได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ล้วนผิดไปหมด

เมื่อมาถึงการเผชิญหน้า ณ จุดนี้ ฝ่ายสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็ได้รับชัยชนะแล้ว

นอกจากนี้ พวกเขายังเปลี่ยนความขัดแย้งที่เป็นไปได้ระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน และสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินให้กลายเป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับหรานเติ้ง รองเจ้าสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานได้สำเร็จอีกด้วย…

จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า หรานเติ้งหาใช่ศิษย์ของจอมปราชญ์หรือศิษย์ในนามของบรรพาจารย์เต๋าไม่ ดังนั้นเดิมทีเขาจึงเป็น “เต๋านอกรีต”

จากนั้นจู่ๆ จี้อู๋โหย่วก็พบว่า คำพูดเหล่านี้ของเทพวารีนั้น มี “กระบวนท่าสังหาร” ซ่อนไว้อยู่เช่นกัน!

นั่นไม่ใช่ทั้งหมด มันเป็นการฆ่าที่ทำลายไม่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำลายจิตอีกด้วย

สกปรก สกปรกจริงๆ!

ต่อจากนั้น จี้อู๋โหย่วก็เริ่มรู้สึกสงสัยใคร่รู้เช่นกัน เขาไม่รู้ว่าใต้เท้าเทพวารีจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป

ณ ขณะนี้!

มีเสียงแค่นคำรามแปลกๆ ดังขึ้นข้างหูของบรรดาเซียน มันเหมือนกับเสียงสายฟ้าฟาด ทำให้เหล่าผู้เป็นเซียนที่มีระดับฐานพลังที่อ่อนแอกว่ารู้สึกวิงเวียนไปชั่วขณะ

มีแสงห้าสีบนท้องฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์นี้ดุจดั่งวิหคศักดิ์สิทธิ์สยายปีกของมันออกมา และในชั่วพริบตา มันก็มาถึงด้านหน้าและกลายเป็นร่างที่โปร่งเพรียว

ผู้มาเยือนนั้นสวมชุดคลุมสีเขียวและมีมงกุฎหงส์สีทองสวมอยู่บนศีรษะของเขา

เขาเชิดศีรษะขึ้นสูงขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมด้วยกลิ่นอายลมปราณฮุ่นตุ้นของเขา และมีลำแสงห้าสายแผ่รัศมีอยู่รอบกายเขา

ด้วยลำคอยาวระหงและใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ทำให้ผู้คนไม่อาจรู้ได้ในทันทีว่า เขาเป็นบุรุษหรือสตรี…

เขาก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าวและพุ่งสายตาจ้องมองไปที่หรานเติ้ง

ในขณะนั้น หรานเติ้งเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขามองไปที่ผู้มาเยือนนั้นอย่างเย็นชาและสายตาของพวกเขาก็ปะทะกันในอากาศ พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเทพวารีแห่งศาลสวรรค์กระซิบเบาๆ มาจากระยะไกลว่า “สหายเต๋าข่งเซวี่ยน อย่าปะทะกับเขาเช่นนั้นเลย

เขาคือรองเจ้าสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน สถานะของเขาในสำนักนั้นสูงยิ่ง”

“หรานเติ้ง?”

ข่งเซวี่ยนเชิดศีรษะขึ้นเล็กน้อยและเผยท่าทางดูถูกเหยียดหยามที่มุมปาก

“เขาไม่ใช่เพียงแค่ช่างทำโลงศพวิญญาณในสมัยโบราณที่แบกโลงศพไปทั่วเพื่อหลอกโกงอาหารและเครื่องดื่ม นักพรตเต๋าเฒ่าแห่งภูเขาหลิงจิ่วหรอกหรือ?”

“สหายเต๋าข่งเซวี่ยน”

หรานเติ้งจำได้อย่างชัดเจนว่า ข่งเซวี่ยนคือผู้ใด

ทว่าเป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วคาดคิดเอาไว้เมื่อเขาวางแผนในคราแรก หรานเติ้งไม่รู้ว่า ในเวลานี้ ข่งเซวี่ยนนั้นทรงพลังแข็งแกร่งเพียงใด

ความโกรธที่เขาก่อกวนขึ้นในตัวหรานเติ้งนั้น ได้เกิดขึ้นเพื่อพบความก้าวหน้าในขณะนี้…

หรานเติ้งกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “อย่าสร้างภัยพิบัติแห่งกรรมให้ตัวเจ้าเองเลย เพราะความจริงแล้ว เจ้าก็เป็นสายเลือดที่หายากของเผ่าหงส์ เช่นนั้นก็จงรีบออกไปเสีย ข้าเกรงว่าจะทำร้ายเจ้า”

“ภัยพิบัติแห่งกรรมหรือ? เจ้าทำร้ายข้าหรือ?”

ข่งเซวี่ยนเอ่ยขณะที่หรี่ดวงตาเรียวดุจหงส์ของเขาลงเล็กน้อย “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่า เจ้าจะได้กลายเป็นคนของสำนักบำเพ็ญเต๋า หลังจากที่เจ้าได้เป็นรองเจ้าสำนักแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน?

นอกจากนี้ ตำแหน่งของเจ้าในฐานะรองเจ้าสำนักก็ยังเป็นเพียงการที่เจ้าไปขอจากปรมาจารย์จอมปราชญ์ด้วยหนังหนาของเจ้า มีสิ่งมีชีวิตใดในโลกบรรพกาลที่รอดชีวิตมาจากสมัยโบราณบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้?”

“โว้ว?”

หลี่ฉางโซ่วถือแส้หางม้าของเขาและถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เป็นเช่นนั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?

ระดับฐานพลังของรองเจ้าสำนักหรานเติ้งอยู่ในระดับสูง และเขาก็มีสมบัติวิญญาณมากมาย แล้วเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

ข่งเซวี่ยนยักไหล่และกล่าวว่า “หากเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าก็สามารถไถ่ถามผู้อื่นได้”

“ข่งเซวี่ยน เจ้ากล้าดีอย่างไรกัน! วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา!”

ทันใดนั้น หรานเติ้งก็ร้องตะโกนขึ้นเสียงลั่น แสงสีทองก็สั่นสะเทือนไปทั่วหล้าและท้องฟ้ายามราตรีก็สว่างไสวขึ้นปานประหนึ่งยามกลางวัน

หรานเติ้งเปิดเผยร่างธรรมสมบัติสูงหกจั้งของเขาออกมา เขายกมือขึ้นและยิงลำแสงสีเขียวตรงไปที่ข่งเซวี่ยน แล้วลำแสงสีเขียวนั้นก็พันไปรอบๆ ไม้บรรทัดยาว

ในชั่วพริบตาเดียว ไม้บรรทัดยาวนั้นก็กลายเป็นขยายยาวออกไปหลายร้อยจั้ง และฟาดลงไปที่ศีรษะข่งเซวี่ยน!