ตอนที่ 217-2 เตียงพัง สีหน้า

งแม้เฉียวเจิงจะไม่ได้เดาถูกทั้งหมด แต่ก็ถูกกว่าแปดเก้าส่วนจากสิบส่วน ตอนนั้นเขาบาดเจ็บหนักเกินไป ยอดฝีมือคนเดียวไม่อาจรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้ ต้องใช้ผู้อาวุโสของตระกูลจีถึงเจ็ดคนถึงรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้ในที่สุด

เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคนร้ายผู้นั้นเก่งกาจเพียงใด

จีหมิงซิวพูดต่อว่า “มีวิธีรักษาให้หายขาดหรือไม่”

“ข้าขอดูก่อนนะ” เฉียวเจิงพลิกเปิดอีกหน้าหนึ่ง สายตาดูครึ้มลง “หน้านี้ไม่มีแล้ว”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแย่งสมุดเล่มนั้นไปพลิกอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย ไม่มีแล้วจริงๆ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความผิดหวัง

จีหมิงซิวหลุบตาลง พึมพำเสียงเบาว่า “หรือสวรรค์อยากให้ข้าตายจริงๆ”

เฉียวเจิงจึงเอ่ยว่า “เจ้าอย่าเพิ่งท้อแท้ไป สมุดเล่มนี้แม่ของเฉียวเวยเป็นคนเขียนเอาไว้ นางจะต้องรู้วิธีการรักษาที่ต้นเหตุแน่ หากพวกเจ้าหานางพบ เดี๋ยวก็รักษาอาการของเจ้าได้เอง!”

พอออกมาจากหอหลิงจือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้สึกสิ้นหวังไปหมด “หาทางอยู่ตั้งนานก็ยังรักษาให้หายไม่ได้!”

ทั้งสองก้าวขึ้นรถม้า

จีอู๋ซวงถึงแม้จะนั่งอยู่ในรถม้า แต่ด้วยกำลังภายในอันล้ำเลิศของเขาทำให้ได้ยินสิ่งที่คนข้างในสนทนากัน เขาพอได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าจึงดูไม่พอใจ “นายท่านเฉียวตั้งใจหรือไม่กันแน่”

“ตั้งใจอะไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม

จีอู๋ซวง “ตั้งใจฉีกหน้านั้นทิ้งไป จะได้บังคับให้พวกเราไปตามหาท่านแม่ของเฉียวเวยอย่างไรเล่า”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด “พวกเราก็กำลังหากันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

จีอู๋ซวงหัวเราะหึหึ “เขาอยากให้พวกเราสละทุกอย่างเพื่อออกตามหาน่ะสิ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยักไหล่ ต่างกันหรือ ไห่สือซานยังถูกจับไปแล้ว สือชีกับพรรคโลหิตพิฆาตก็ถูกส่งไปยังชนเผ่าเกาเย่ว์แล้ว หากนี่ยังไม่เรียกว่าสละทุกอย่างแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะใช่

ดึกสงัด หิมะโปรยปรายลงมาไม่หยุด

จีหมิงซิวเดินถือร่มกลับไปที่บ้านชิงเหลียน

ตอนเขาเปิดประตูเข้าไป เฉียวเวยฟุบหลับอยู่บนโต๊ะไปแล้ว ในมือยังถือสมุดบัญชีเล่มหนึ่งที่เถ้าแก่หรงส่งมาให้ แก้มวางอยู่บนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหม น้ำลายไหลอาบโต๊ะเป็นวงกว้าง

จีหมิงซิวปิดประตูอย่างเบามือแล้วเดินย่องเข้าไปเงียบๆ มือหนึ่งช้อนที่ข้อพับ อีกมือหนึ่งอ้อมไปโอบไหล่นางแล้วอุ้มขึ้นมา

เฉียวเวยตกใจตื่น จึงลืมตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสะลึมสะลือ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและติดจะเกียจคร้านว่า “กลับมาแล้วหรือ เหตุใดถึงกลับมาดึกเพียงนี้”

จีหมิงซิวอุ้มนางไปไว้บนเตียงแล้วดึงผ้าห่มผืนนุ่มมาห่มให้ “มีธุระต้องจัดการนิดหน่อย เลยเสร็จดึก”

“อ้อ” เฉียวเวยอ้าปากหาวพลางขยับพลิกตัวด้วยท่าทางทั้งเกียจคร้านและขี้เซาราวกับลูกแมวน้อย “ไม่ได้ยังโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่”

ใจก็อยากโกรธต่ออีกสักหน่อยหรอก วันหน้านางจะได้ไม่กล้าดึงกางเกงใครซี้ซั้วอีก แต่เวลานี้กลับทำใจโกรธไม่ลง

ใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้กับเหตุไม่คาดคิดอะไรจะเกิดก่อนกัน

จีหมิงซิวจับจ้องคนบนเตียง ในสายตามีแววอบอุ่นวาดผ่าน ก่อนจะตามด้วยเคร่งขรึมดูบึ้งตึงในทันที “แน่นอนว่ายังโกรธอยู่เล็กน้อย”

เฉียวเวยพลันตาสว่างขึ้นมาทันที ตารูปเมล็ดซิ่งของนางเบิกกว้างขณะมองหน้าอีกฝ่าย “อะไรที่บอกว่ายังโกรธอยู่นิดหน่อยน่ะ ข้าถึงขั้นเอาตัวเองชดเชยให้ท่านแล้ว เหตุใดท่านถึงยังไม่หายโกรธอีกเล่า”

จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “นายน้อยอย่างข้าไม่ได้ง้อง่ายเพียงนั้นหรอกนะ”

เฉียวเวยขยับนั่งตัวตรง “เช่น เช่นนั้นท่านจะเอาอย่างไร”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “อย่างน้อยก็ต้องชดเชยสักสิบเจ็ดสิบแปดครั้ง ข้าถึงจะค่อยคิดว่าจะหายโกรธดีหรือไม่”

สิบ สิบเจ็ดสิบแปดครั้ง?

แค่ครั้งเดียวนางก็หลับจนไม่รู้เดือนรู้ตะวันแล้ว สิบเจ็ดสิบแปดครั้งนางไม่หลับไปเป็นเดือนเลยหรือ

อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน!

นางมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัวระคนขุ่นเคือง ไม่มีทางยอมแน่ ให้ตายก็ไม่ยอม!

จีหมิงซิวยกมือที่เรียวยาวประหนึ่งหยกของตนขึ้น จับเส้นผมของนางเอาไปตรึงไว้ตรงท้ายทอยเบาๆ ปลายนิ้วที่เย็นจัดสัมผัสถูกผิวอ่อนนุ่มของนาง ทั่วทั้งร่างรู้สึกคล้ายถูกไฟช็อต เขาค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้ กลิ่นกายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาพลันโอบล้อมนางไว้

หัวใจของเฉียวเวยเต้นตุบตับๆ ไปหมด

เขาเอียงศีรษะแล้วค่อยๆ เขยิบเข้าหาริมฝีปากคนบนเตียง แต่ชั่วขณะที่ใกล้ตะประกบลงมานั้นเขากลับหยุดค้างอยู่เพียงเท่านั้น ลมหายใจรินรดริมฝีปากของนาง คล้ายว่าแค่เพียงขยับพูดอะไรสักอย่างก็จะแตะถูกริมฝีปากนางทันที

ริมฝีปากเฉียวเวยพลันรู้สึกแห้งผาก นางยื่นลิ้นที่อ่อนนุ่มออกไปเลียริมฝีปากตนเองแล้วบังเอิญเลียถูกริมฝีปากอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวนางพลันแข็งค้าง!

จีหมิงซิวประสานมือกับนางไว้ น้ำเสียงที่น่าฟังจนคล้ายสามารถทำให้ใบหูคนตั้งท้องได้หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากเขา ดังใส่หูเฉียวเวยที่สมองกำลังมึนงงไปหมด “เจ้าสำนักเฉียวเสนอตัวเพียงนี้ หากข้าไม่สนองคงเป็นการไม่สมควร”

เดิมทีริมฝีปากทั้งสองกอยู่ใกล้กันมากอยู่แล้ว ทุกคำที่พูดออกมา ริมฝีปากเขาเป็นต้องสัมผัสถูกริมฝีปากนางทุกคำไป

เฉียวเวยถูกกระตุ้นจนตัวอ่อนไปหมด เขาพูดอะไรบ้างนางฟังไม่ได้ยินเลยสักคำ เห็นเพียงริมฝีปากของพวกเขาที่สัมผัสกันไปมา แต่กลับไม่ยอมประกบจูบลงมาเสียที นี่กะเล่นกันถึงตายชัดๆ!

เจ้าสำนักเฉียวที่เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมพลันหัวร้อน พลิกตัวทับร่างของอีกฝ่ายลงบนเตียงที่อ่อนนุ่มทันที…

ไฟนี้นางเป็นคนจุดขึ้น แต่หลังจากไฟลามไปได้ครึ่งทางนางก็ทนรับไม่ไหวต้องเอ่ยขอร้องปนเสียงสะอื้น แต่ก็ต้องจนใจที่ไฟนี้ออกจะโหมแรงไปสักหน่อย จึงลุกโชนจวบจนกระทั่งฟ้าสางถึงได้เบาแรงลงท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก

เหตุการณ์ต่อจากนั้นเฉียวเวยไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ได้แต่สลบไสลอย่างไม่รู้เดือนรู้ตะวัน

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองต่างรู้สึกประหลาดใจ ตอนอยู่ที่บ้านท่านแม่เป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุด แต่ตอนนี้แม้แต่วั่งซูยังตื่นแล้ว แต่ท่านแม่ยังคงหลับไม่ยอมตื่น

ท่านแม่ไม่น่ารักเลย ไม่น่ารักเลยจริงๆ!

เฉียวเวยถูกปลุกให้ตื่นโดยปี้เอ๋อร์

เมื่อคิดถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อคืน ปี้เอ๋อร์ทำใจปลุกนางไม่ได้เลยจริงๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมีคนของหลี่ซื่อมาหาเสียก่อน

คนที่มาคือสือหลิว

เฉียวเวยล้างหน้าล้างตาที่ห้องด้านข้าง ปี้เอ๋อร์ออกไปต้อนรับสือหลิวที่โถงข้าง นางชงชาแล้วเอาขนมเข้าไปให้ “พี่สือหลิวค่อยๆ กินนะ”

สือหลิวเอ่ยยิ้มแย้มว่า “อย่าได้เกรงใจเพียงนี้ ข้ามาส่งข่าวเสร็จเดี๋ยวก็ไปแล้ว”

เฉียวเวยจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วถึงได้มาที่โถงข้างพร้อมความกระปรี้กระเปร่า ถึงแม้เมื่อคืนจะถูกทรมานอย่างหนักหน่วงแต่กลับได้สัมผัสถึงความสุขสมและความอิ่มเอมขนานหนัก หลังจากได้อาบน้ำแช่ตัวก็กลับมาเป็นหญิงผู้ฮึกเหิมอีกครั้ง!

“ฮูหยินน้อย” สือหลิวทำความเคารพเฉียวเวย

เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ ปี้เอ๋อร์เอาเตาอุ่นมือเข้าไปให้ นางรับมาถือไว้ เอ่ยถามสือหลิวด้วยสีหน้าอารมณ์ดีว่า “อาสะใภ้รองมีธุระอะไรกับข้าหรือ”

ทั้งๆ ที่น้ำเสียงนี้เป็นน้ำเสียงเดิมกับทุกครั้งที่เคยได้ยินมา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อได้ฟังกลับรู้สึกจิตใจอ่อนยวบ คล้ายว่ามีความเย้ายวนบางอย่างซ่อนอยู่

สือหลิวคิดในใจว่าฮูหยินน้อยน่ากลัวคงรักใคร่กันดีกับคุณชายใหญ่มาก สตรีที่ได้สัมผัสรสสวาทมาแล้วอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม สือหลิวพยายามตั้งสติ “ฮูหยินรองจะพาคุณหนูทั้งสองออกไปข้างนอก จึงให้บ่าวมาถามว่าฮูหยินน้อยว่าอยากไปด้วยกันหรือไม่เจ้าค่ะ”

“จะไปไหนกันหรือ” เฉียวเวยถาม

สือหลิวตอบว่า “จะไปร้านเป่าหลิน เลือกเครื่องประดับให้กับคุณหนูทั้งสองเจ้าค่ะ คุณหนูอายุไม่น้อยแล้ว เห็นว่าไม่กี่วันนี้คนที่จะมาเจรจาเรื่องแต่งงานจะมาหาที่บ้าน ฮูหยินรองจึงอยากแต่งเนื้อแต่งตัวให้คุณหนูทั้งสองสะสวยสักหน่อย”

อยากแต่งเนื้อแต่งตัวเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ที่แท้จริงคือจะพาออกไปเดินเล่นข้างนอก บ้านตระกูลจีมีกฎระเบียบมาก คุณหนูทั้งหลายห้ามออกประตูใหญ่ห้ามข้ามประตูรอง นับว่าน่าอึดอัดมากทีเดียว

หิมะหยุดตกแล้ว แสงอาทิตย์ส่องผ่านชั้นเมฆลงมาบนหิมะสีขาวที่อยู่ตามพื้น สะท้อนจนเกิดเป็นประกาย

เฉียวเวยไปที่จวนตะวันออก จีหรูเย่ว์กับจีหว่านอวี๋รอในโถงหมิงอยู่ก่อนแล้ว จีหรูเย่ว์เป็นบุตรสาวสายรองของจีเซิ่ง จีหว่านอวี๋เป็นบุตรสาวสายหลักของจีซวง แต่ทั้งสองสนิทสนมกัน ไม่ได้รู้สึกแบ่งแยกกันสักเท่าไร

ตระกูลจีมียีนส์ที่ดี บุรุษรูปงามสตรีเลอโฉม ทั้งสองนับว่ามีความงามที่หาได้ไม่มาก เพียงแค่เทียบกับจีหว่านและจีหมิงซิวไม่ได้ พี่สาวน้องชายคู่นี้ได้สืบทอดจุดเด่นของทั้งจีซั่งชิงและองค์หญิงเจาหมิงมา ทั่วทั้งต้าเหลียงหาคนที่มีรูปโฉมเป็นเลิศกว่าเขาได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ทั้งสองทำความเคารพเฉียวเวย “พี่สะใภ้ใหญ่”

ในตระกูลจีนอกจากจีหว่านที่ดวงตาอยู่บนกระหม่อมมองไม่เห็นหัวใครแล้ว คุณหนูนางอื่นๆ นับว่าเป็นที่น่าเอ็นดูมากทีเดียว

เฉียวเวยระบายยิ้มเล็กน้อยพร้อมเอ่ยทักทาย

หลี่ซื่อเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว พวกเขาออกจากจวนตะวันออกกำลังจะก้าวขึ้นรถม้าอยู่แล้วก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าเจินซื่อกับสวินชิงเหยามา

มุมปากหลี่ซื่อพลันกระตุก พวกนางอยู่กันได้ทุกที่จริงๆ!

“พวกเจ้าขึ้นรถกันไปก่อน” หลี่ซื่อตบหลังมือเฉียวเวย เฉียวเวยพาน้องสาวทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถ

เจินซื่อเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โบกผ้าเช็ดหน้าขณะเอ่ยว่า “นี่ฮูหยินรองกำลังจะไปไหนหรือ”

หลี่ซื่อตอบอย่างเกรงใจว่า “จะพาพวกเด็กๆ ออกไปหาซื้ออะไรสักหน่อยน่ะ เดิมทีคิดจะเรียกพวกเจ้าไปด้วยกัน แต่ก็กลัวว่าพวกเจ้าจะนอนกลางวันกันอยู่เลยไม่กล้าไปรบกวน เจ้ามาได้พอดีเวลานัก ไปด้วยกันเลยสิ”

เจินซื่อตอบอย่างเขินอายว่า “ตายจริง จะกล้าทำอย่างนั้นได้อย่างไร”

หลี่ซื่อหัวเราะแห้งๆ “พวกเจ้ามาเมืองหลวงทั้งที ข้ายังไม่พาออกไปเดินเที่ยวเลย วันหน้าไม่สู้วันนี้หรอกนะ”

“ตายจริง ท่านพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากข้ายังบ่ายเบี่ยงอีกก็คงจะไม่รักษาน้ำใจกันเกินไป” เจินซื่อจับมือบุตรสาวแล้วชะเง้อมองรถม้าสองคนที่หรูหรายิ่งนัก “พวกเรานั่งคันไหนหรือ”

“หากไม่รังเกียจ ไปคันเดียวกับข้าก็แล้วกัน” เดิมทีหลี่ซื่อคิดจะไปคันเดียวกับเฉียวเวยแล้วให้บุตรสาวทั้งสองนั่งอีกคันหนึ่ง แต่เวลานี้แผนรวนไปหมด จำต้องให้เฉียวเวยไปกับเด็กๆ คันหนึ่ง นางกับแม่ลูกเจินซื่ออีกคันหนึ่ง

เจินซื่อกับสวินชิงเหยาขึ้นนั่งบนรถม้าของหลี่ซื่อ ในรถปูพรมอยู่ที่พื้น มีโต๊ะวางตรงกลาง ข้างใต้เก้าอี้มีตู้เก็บของ ผนังรถมีกันกระแทกแปะอยู่ชั้นหนึ่ง ต่อให้กระแทกถูกโดยไม่ทันระวังก็ไม่เจ็บ ด้านบนฝังไข่มุกราตรีเอาไว้ เมื่อเอาม่านลง แสงอันอบอุ่นจากไข่มุกก็ส่องให้ภายในรถสว่างไสวได้

เจินซื่อร้องอุทานในใจ รถม้าหรูหราเพียงนี้ คนตระกูลจีเสพสุขกันเกินไปแล้ว!

“รถม้าคันนี้…คงแพงไม่น้อยกระมังเจินซื่อกลืนน้ำลายก่อนถาม

นัยน์ตาหลี่ซื่อมีประกายดูแคลน แต่ปากยังคงเอ่ยอย่างให้เกียรติว่า “ไม่เท่าไรหรอก แค่หนึ่งพันกับแปดร้อยตำลึงเงินเท่านั้น”

หนึ่ง หนึ่งพันแปดร้อยตำลึง?

เงินใช้เดือนหนึ่งของนางแค่ห้าร้อยตำลึงเท่านั้น!

เจินซื่อตกใจจนพูดไม่ออก

สวินชิงเหยาเงียบมาก ท่าทางดูเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มากทีเดียว

ไม่นานรถม้าก็ไปถึงร้านเป่าหลิน

หลี่ซื่อเป็นลูกค้าประจำ ผู้ดูแลร้านเดินยิ้มแย้มเข้ามาเชิญคณะของนางเข้าไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสอง แล้วจึงให้บ่าวหญิงในร้านยกเครื่องประดับที่เพิ่งมาใหม่ล่าสุดเข้ามาให้ดู

เจินซื่อมองจนหูตาลายไปหมด นางหยิบกำไลข้อมือวงหนึ่งขึ้นมา “ชิ้นนี้ราคาเท่าไรหรือ”

บ่าวหญิงตอบว่า “ห้าร้อยตำลึงเจ้าค่ะ”

เจินซื่อตกใจจนรีบวางกำไลกลับลงอย่างเดิม

หลี่ซื่อเหลือบมองนางทีหนึ่งแล้วเอ่ยกับบ่าวหญิงว่า “ห่อชิ้นนี้ให้ที”

“เจ้าค่ะ” บ่าวหญิงเอากำไลวางลงในกล่องผ้าไหม

หลี่ซื่อส่งกล่องนั้นให้กับเจินซื่อ “น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้รังเกียจ”

เจินซื่อถึงกับลิ้นพันกัน “นี่ นี่ นี่ไม่ดีกระมัง! ข้าจะรับของขวัญราคาแพงเช่นนี้ได้อย่างไร”

ปากนางพูดเช่นนี้แต่มือกลับจับกล่องนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย

จีหว่านอวี๋กับจีหรูเย่ว์ปิดหน้าลอบยิ้ม

สวินชิงเหยารู้สึกเพียงร้อนฉ่าที่ใบหน้า แทบอยากจะหารูมุดลงดินไปเสียให้ได้

สุดท้ายเจินซื่อก็รับกำไลวงนั้นไป อาจเพราะได้ลิ้มลองรสหวานเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นนางก็ยิ้มถามราคาเครื่องประดับอีกหลายชิ้น หลี่ซื่ออดกลั้นไว้ ซื้อให้นางทุกชิ้นไป

พี่น้องจีหว่านอวี๋เลือกกันอยู่นานก็ยังเลือกที่ถูกใจไม่ได้สักที

สายตาของเฉียวเวยเหลือบไปเห็นเครื่องประดับในถาดที่บ่าวหญิงเพิ่งยกเข้ามาใหม่ “เอาชิ้นนั้นมาให้ข้าดูที”

“เจ้าค่ะ”

บ่าวหญิงคนหนึ่งยกถาดเครื่องประดับบนโต๊ะออกไป เจินซื่อยังไม่ทันดูจนครบเลย ของก็ลอยหายไปเสียแล้ว นางทำเสียงจึ๊จ๊ะ สายตาแทบไม่อยากละไปจากเครื่องประดับที่ถูกยกออกไป

บ่าวหญิงที่ยกถาดคนนั้นเอาเครื่องประดับวางลงบนโต๊ะ เครื่องประดับชุดนี้เป็นปิ่นทองฝังหยก ประดับด้วยขนนกยูงสีฟ้า ดูทั้งหรูหราและยิ่งใหญ่ แต่กลับดูไม่สูงวัย สามารถแสดงออกถึงฐานะได้ดียิ่งนัก

จีหรูเย่ว์ถูกใจปิ่นทองฝังหยกที่เป็นลายก้อนเมฆเล่มหนึ่ง นางยื่นมือจะไปหยิบแต่กลับถูกเจินซื่อฉวยเอาไปถือไว้ในมือก่อน

เจินซื่อเอาปิ่นขึ้นไปทาบบนศีรษะของสวินชิงเหยา “งามเหลือเกิน!”

จีหรูเย่ว์เม้มปากพลางดึงมือกลับ

จีหว่านอวี๋หน้าบึ้ง ทั้งๆ ที่พี่สาวนางถูกใจสิ่งนี้ก่อนแท้ๆ! ยัยป้านี้ตาบอดหรือไร

เจินซื่อไม่สนใจสักนิดว่าตนจะทำให้คุณหนูตระกูลจีไม่พอใจ นางปักปิ่นเล่มนั้นลงบนศีรษะของบุตรสาวด้วยความยินดี สวินชิงเหยาเห็นสีหน้าจีหว่านอวี๋ที่ดูไม่พอใจจึงยกมือจะดึงออก แต่เจินซื่อจับมือนางไว้แล้วหันไปพูดกับบ่าวหญิงว่า “ชิ้นนี้ราคาเท่าไร”

บ่าวหญิงมองคุณหนูตระกูลจีที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความกระอักกระอ่วนแล้วตอบเสียงเบาว่า “หกร้อยตำลึงเจ้าค่ะ”

เดิมทีตัวปิ่นราคาไม่สูงเพียงนี้ แต่เพราะเป็นของเก่ามาจากราชวงศ์ก่อน มีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่ ราคาจึงสูง

เจินซื่อไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้และไม่คิดจะเข้าใจด้วย แค่ตระกูลจียอมซื้อให้นางก็พอแล้ว นางจึงยิ้มเอ่ยว่า “กล่องอยู่ไหนเล่า”

ปิ่นนี้เสียบอยู่บนศีรษะของบุตรสาวนาง ไม่จำเป็นต้องดึงออกมาแล้ว แต่กล่องจะไม่เอาไม่ได้ กล่องของร้านนี้ประณีตงดงามกว่าร้านค้าข้างนอกเสียอีก ต่อไปเอาไว้ให้เป็นของขวัญคนอื่นก็ยังได้

บ่าวหญิงออกไปเอากล่อง

จีหว่านอวี๋ฉุนแทบแย่ จีหรูเย่ว์ต้องดึงแขนเสื้อนางไว้ ส่งสายตาบอกอีกฝ่ายให้แล้วกันไป

หลี่ซื่อเองก็ขุ่นเคืองไม่น้อย ที่นางซื้อกำไลข้อมือให้เจินซื่อนับว่าให้เกียรติมากแล้ว ใครจะคิดว่านางได้คืบจะเอาศอก หากรู้ว่านางเห็นแก่ได้เพียงนี้ นางจะไม่ซื้อให้เลยสักชิ้นเดียว!

แต่ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ นางไม่อาจทำลายกระดาษกรุหน้าต่างบางๆ แผ่นนี้กับเจินซื่อได้

ในขณะที่เจินซื่อกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่นั้น ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาดึงปิ่นจากศีรษะของสวินชิงเหยาไป

เจินซื่อกับสวินชิงเหยาตกใจมาก หันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด

สีหน้าเจินซื่อดูไม่ดีอีกต่อไป “ฮูหยินน้อยนี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”

เฉียวเวยจับปิ่นในมือเล่น “หมายความว่าของที่ข้าถูกใจก่อน ไม่อยากให้คนอื่นได้ไปอย่างไร”

หากเป็นหลี่ซื่อ เจินซื่อคงไม่กล้าเสียงแข็งด้วย แต่เฉียวเวยอ่อนอาวุโสกว่านาง ซ้ำยังมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเล็กๆ อันที่จริงเจินซื่อไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเท่าไรนัก “เจ้าจะถูกใจก่อนได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ข้าหยิบ…”

“หยิบอะไร หยิบเงินหรือ” เฉียวเวยควักตั๋วเงินที่เขียนมูลค่าข้างหน้าว่าหนึ่งร้อยตำลึงออกมาหกแผ่นแล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะ