ตอนที่ 218-1 ตบหน้า น้องชาย

เมื่อเห็นตั๋วเงินบนโต๊ะที่เขียนด้วยหมึกสีดำพร้อมประทับตาสีแดง เจินซื่อก็ถึงกับอึ้งงันไปทันที

นางคิดไม่ถึงว่าเฉียวเวยจะกล้าทำให้นางดูไม่ดีต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่านางไม่ได้พกเงินมาด้วย… นางไม่มีทางยอมรับว่าตนไม่มีเงิน แต่ก็ยังใช้เงินมาทำให้นางดูแย่ นังเด็กคนนี้คิดจะทำอะไร อยากจะเหน็บแนมที่นางไม่มีปัญญาซื้องั้นหรือ

สติปัญญาของเจินซื่อใช้การได้ขึ้นมากับเขาสักครั้ง เฉียวเวยหมายความเช่นนั้นจริงๆ หลี่ซื่อซื้อกำไลข้อมือให้เจินซื่อด้วยความเกรงใจ น้ำใจตามธรรมดาทั่วไปเฉียวเวยทนเห็นได้ แต่เจินซื่อกลับได้คืบจะเอาศอก รังแกหลี่ซื่อที่หน้าบาง หมายใจจะใช้เงินหลี่ซื่อให้หมดกระเป๋า เหตุใดในโลกหล้าจึงมีคนหน้าไม่อายเพียงนี้ เห็นตระกูลจีเป็นเหยื่อชั้นดีเข้าจริงๆ หรือไร

“เจ้าๆๆ… เจ้า… ข้าๆๆ…” เจินซื่อเห็นสีหน้าไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมของเฉียวเวยแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำให้ตนดูไม่ดี จึงโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม แทบจะพูดออกมาไม่เป็นประโยค

เจินซื่อเข้าใจความหมายของเฉียวเวยแล้วแต่กลับไม่เข้าใจว่าตนทำสิ่งใดผิด นางชี้หน้าเฉียวเวย ตัวสั่นอยู่พักใหญ่ก่อนในที่สุดจะหาเสียงตนเองเจอ “เจ้า เจ้า เจ้า… หากเจ้าชอบนักก็เอาไปสิ เหตุใดต้องดูหมิ่นพวกเราด้วย”

เฉียวเวยตีหน้าซื่อ “ข้าชอบก็เอามาแล้วอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงบอกว่าข้ากำลังดูหมิ่นพวกเจ้า”

จีหว่านอวี๋หัวเราะพรืด จะเล่นงานคนหน้าไม่อาย ก็ต้องใช้วิธีหน้าไม่อายเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย!

จีหว่านอวี๋เอ่ยอย่างปากคอเราะร้ายว่า “ข้าเป็นพยานได้ พี่สะใภ้ใหญ่ข้าเป็นคนถูกใจปิ่นเล่มนี้ก่อน ตอนที่พวกท่านยังดูปิ่นหยกเหลืองชุดนั้นอยู่ พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าให้คนเอาปิ่นหยกชุดนี้มาแล้ว สวินฮูหยิน ท่านคิดว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ข้าให้คนเอาปิ่นเข้ามาเพราะอะไรหรือ ไม่ใช่เพราะนางถูกใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรอกหรือ”

เจินซื่อถูกสวนกลับจนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง

จีหว่านอวี๋ตีหน้าขรึมขึ้นมาบ้าง “ท่านแย่งปิ่นของพี่สะใภ้ใหญ่ข้า ท่านมีเหตุผลแล้วหรือ”

เจินซื่อรู้ว่าจีหว่านอวี๋กำลังอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ปิ่นชุดนี้เฉียวเวยเป็นคนให้ยกเข้ามาวางก็จริงอยู่ แต่หลังจากเอามาวางบนโต๊ะแล้ว เฉียวเวยแทบไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ กลับเป็นบุตรสาวสายรองตระกูลจีผู้นั้นที่ท่าทางสนอกสนใจ

ไม่ใช่ว่าเจินซื่อให้ความสำคัญอะไรกับบุตรสาวสายรองของเรือนรองคนหนึ่งนัก แต่นางนึกเกรงจีหว่านอวี๋อยู่เล็กน้อย

จีซวงเป็นบุตรสายหลัก จีหว่านอวี๋ก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของจีซวง เมื่อมีสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ นางไม่กล้าวัดกำลังกับจีหว่านอวี๋ แต่นางก็กล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปไม่ได้ ด้วยความเลือดขึ้นหน้า นางจึงโยนความขัดแย้งไปลงกับเฉียวเวยอีกครั้ง “ถ้าเจ้าถูกใจก่อนเหตุใดจึงไม่พูดเล่า นี่ถึงขั้นมาปักอยู่บนผมของเหยาเอ๋อร์แล้ว เจ้าดึงออกมาเช่นนี้ใช้ได้หรือ เหยาเอ๋อร์มีศักดิ์เป็นน้าของเจ้า เจ้าให้ปิ่นเล่มหนึ่งกับเขาเป็นการกตัญญูมันยากนักหรือ”

เฉียวเวยกลั้นไว้ไม่ไหว หัวเราะออกมา “ฐานะท่านน้าของข้าสูงส่งนัก ปิ่นเช่นนี้เกรงว่าคงจะไม่ถูกใจ”

เจินซื่อลืมพวกนางไปเสียสนิท นางคิดว่าฐานะของบุตรสาวตนสูงส่งมากแล้ว จึงส่งเสียงหึ “ใครบอกว่าเหยาเจี่ยร์ไม่ถูกใจกัน ถ้าไม่ถูกใจพวกเราจะมาหรือ…”

“พรืด…” สองพี่น้องจีหว่านอวี๋ลอบหัวเราะออกมา

เจินซื่อเหลือบมองสองพี่น้องที่ลอบหัวเราะแล้วหันไปมองหลี่ซื่อที่พยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างเต็มที่ ในหัวพลันเกิดเสียงดังสนั่น เมื่อคิดได้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดจีหมิงซิวเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์นี้ ท่านน้าของเขาก็ย่อมต้องเป็นองค์หญิงด้วย…

ใบหน้าเจินซื่อพลันร้อนผ่าว รู้สึกคล้ายถูกตบหน้าอย่างไรอย่างนั้น แต่นางยังรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ “ฮูหยินรองท่านฟังดูนะ ท่านฟังดู! ฟังที่นางพูดเข้า กูหน่ายนายบ้านข้าแต่งงานเข้าตระกูลท่าน คลอดบุตรให้ตระกูลพวกท่าน เวลานี้น้องสาวนางมาที่นี่ แค่ปิ่นเล่มเดียวเท่านั้น ก็มีคนวางก้ามไม่ยอมให้! ซ้ำยังข่มเหงกันต่างๆ นานา! ตระกูลจีของพวกท่านรับแขกกันเช่นนี้หรือ!”

แค่ปิ่นเล่มหนึ่ง? หลี่ซื่อหันไปมองกล่องข้างตัวเจินซื่อที่แทบจะมีของทับกันอยู่ครึ่งกล่องก็เกือบจะพูดไม่ออก คนหน้าหนาเคยพบอยู่บ้างหรอก แต่ไม่เคยพบใครที่หนาเพียงนี้ ตระกูลสวินมีสะใภ้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ทำให้ตระกูลสวินอับอายขายขี้หน้าหมด!

สุดท้าย เจินซื่อย่อมไม่อาจแย่งปิ่นเล่มนั้นมาจากมือเฉียวเวยได้ ไม่เพียงเท่านั้น นางคิดอยากซื้ออะไรเป็นการชดเชยให้ตนเองก็ถูกเฉียวเวยก่อกวนขวางไว้จนหมด

“สวินฮูหยินช่างร่ำรวยเงินทองเสียจริง ปิ่นเช่นนี้ราคาไม่ถึงเท่านี้ด้วยซ้ำ หากเจ้าเชื่อข้า ข้าแนะนำให้เจ้าไปอีกร้านหนึ่ง ของหน้าตาเหมือนกัน ราคาถูกลงไปเยอะทีเดียว “เฉียวเวยเอ่ยพลางยิ้มบางๆ

ที่นางพูดเห็นได้ชัดว่าเพื่อช่วยหลี่ซื่อประหยัดเงิน แต่ใครจะฟังไม่ออกว่านางจะให้เจินซื่อควักกระเป๋าจ่ายเอง

เจินซื่อไม่เคยพบใครที่น่าโมโหเช่นนี้มาก่อน นี่คิดอยากจะไล่พวกนางไปชัดๆ! เด็กคนนี้กล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร! นาง นาง นางยังอยากรักษาหน้าตาไว้หรือไม่กันแน่!

เจินซื่อโกรธเกรี้ยวอย่างหนักจนสะบัดแขนเสื้อเดินลงจากร้านไป

โทสะที่ฝืนข่มเอาไว้ทั้งบ่าย ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาเสียที สตรีแซ่เจินนางนี้ช่างไม่รู้จักพอเลยจริงๆ “ฉวย” ปิ่นไปตั้งหลายเล่มก็แล้วไปเถอะ แต่นี้แม้แต่อันที่คุณหนูถูกใจนางก็ยังไม่ยอมให้ นางไม่เชื่อหรอกว่าเจินซื่อไม่รู้ว่าหรูเย่ว์กำลังจะหยิบปิ่นเล่มนั้นจริงๆ เจินซื่อทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นหรูเย่ว์อยู่ในสายตา ไม่เห็นเรือนรองอยู่ในสายตา

เรือนรองเป็นเรือนสายรองก็จริง แต่แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังไม่เคยทำให้พวกตนลำบาก น้าสะใภ้ของภรรยาคนที่สองกลับเห็นพวกตนเป็นอาหารอันโอชะ!

คุณหนูทั้งสองก็ได้ระบายโทสะกันไปมาก พวกนางได้รับการปกป้องดูแลจากตระกูลจีดีเกินไป จึงไม่รู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างสวินหลันกับตระกูลจี รู้เพียงว่านางขันอาสาขอไปอยู่เฝ้าสุสานเอง ดังนั้นจึงพอให้ความเกรงใจกับบ้านเดิมของนางอยู่บ้าง แต่คนแซ่เจินผู้นี้ทำตัวไม่น่าเกรงใจเกินไปจริงๆ!

พวกนางเดินลงจากชั้นสองไปด้วยอารมณ์ที่ปรอดโปร่งพอประมาณ แม่ลูกเจินซื่อเดินกระฟัดกระเฟียดขึ้นรถม้าของหลี่ซื่อไปแล้ว หลี่ซื่อไม่ต้องคิดก็รู้ว่าบรรยากาศภายในจะต้องน่าอึดอัดเพียงใด นางเองก็คร้านจะเข้าไปฟังเจินซื่อพร่ำบ่นไม่หยุด จึงขึ้นรถม้าไปคันเดียวกับเฉียวเวยและคุณหนูทั้งสองเสีย

เดิมทีรถม้าคันนี้เป็นของจีซวง แต่เพราะรู้ว่าบุตรสาวจะออกไปหาซื้อของ จึงตั้งใจยืมมาให้บุตรสาวใช้ รถม้าของจีซวงใหญ่กว่าและหรูหรากว่ารถม้าของหลี่ซื่อ เข้ามานั่งกันสี่คนก็ไม่รู้สึกเบียดสักนิด

รถม้าแล่นไปตามถนนที่มีผู้คนจอแจ สองแม่ลูกเจินซื่อตามอยู่ด้านหลังพวกนาง อาจเพราะโทสะเมื่อครั้งอยู่ที่ร้านเป่าหลินยังไม่คลาย รถม้าของเจินซื่อจึงแล่นๆ หยุดๆ เดี๋ยวลงไปซื้อถุงผ้า เดี๋ยวจะลงไปซื้อพัด ทำให้สตรีตระกูลจีจำต้องหยุดรอพวกนางไปด้วย

สตรีตระกูลจีไม่มีใครคิดจะสนใจ วันนี้ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้ว กลับไปที่จวนก็นั่ง อยู่บนรถม้าก็นั่ง อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน นั่งบนรถม้ายังพอได้ชื่นชมทิวทัศน์ตามข้างทางบ้าง หากคันไม้คันมือก็ซื้ออะไรสักหน่อย มีความสุขเช่นนี้ทำไมจะไม่ทำ

“พวกเรามาเล่นไพ่หม่าเตี้ยวกันเถอะ!” จีหว่านอวี๋หยิบสำรับไพ่หม่าเตี้ยวออกมา

ไพ่หม่าเตี้ยวเดิมทีเป็นไพ่กระดาษ หนึ่งสำรับมีทั้งหมดสี่สิบใบ แบ่งเป็นไพ่แสนกวั้น หมื่นกวั้น สั่วจื่อ อีแปะเป็นดอกไม้สี่ประเภท แต่บ้านตระกูลจีมีเงินมาก ไพ่จึงทำจากงาช้าง งาช้างถูกเจียจนเหลือเป็นแผ่นบางคล้ายปลีกจิ้งหรีด ให้สัมผัสเย็นสบาย จับแล้วให้ความรู้สึกดียิ่งนัก

เฉียวเวยเคยเล่นแต่ไพ่หมาเจี้ยง[1] ไม่เคยเล่นไพ่หม่าเตี้ยว แต่ว่ากันว่าไพ่หมาเจี้ยงมีวิวัฒนาการมาจากไพ่หม่าเตี้ยว จึงน่าจะเล่นได้ไม่ยากนัก

แล้วก็เป็นเช่นที่คิดไว้จริงๆ เฉียวเวยลองเล่นกับทั้งสามแค่ตาเดียวก็เข้าใจกฎทั้งหมดแล้ว

ทั้งสี่เล่นไพ่หม่าเตี้ยวในรถม้ากันอย่างสนุกสนาน

เจินซื่อซื้อหนังสือรวมกลอนเล่มหนึ่งมาจากร้านหนังสือ ตอนออกมาจากร้านหนังสือยังตั้งใจเดินผ่านรถม้าที่พวกหลี่ซื่อนั่งอยู่ “เหยาเอ๋อร์ของข้าไม่ชอบหรอกปิ่นเปิ่นอะไรนั่น ชอบอ่านหนังสือต่างหาก! คุณหนูตระกูลสวินของพวกเราไม่มีใครสนใจเรื่องเหล่านี้…”

“ฮ่าๆๆ…”

เป็นจีหว่านอวี๋ที่แทบจะหัวเราะงอหาย

จีหว่านอวี๋เล่นตุกติก ชนะคนเดียวสามตารวด เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก

เจินซื่อวุ่นวายมาตลอดทาง อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สะทกสะท้าน แต่กลับดูจะมีความสุขเสียด้วย ใจนางยิ่งรู้สึกไม่พอใจหนักขึ้นไปอีก นางกระฟัดกระเฟียดขึ้นรถไปก่อนตบหนังสือลงกับโต๊ะ “มันจะเกินไปแล้วนะ! มีอย่างที่ไหนกัน!”

สวินชิงเหยาถึงกับปวดหัว กดหว่างคิ้วพลางเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าพยายามอีกเลยได้หรือไม่ ที่นี่ไม่ใช่กูซู ท่านอย่าทำเหมือนตอนอาละวาดบ้านสามีตนเองได้หรือไม่”

เจินซื่อพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าอาละวาดอะไรกัน ทั้งๆ ที่พวกนางเป็นฝ่ายแย่งปิ่นของเจ้า!”

สวินชิงเหยาเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “พวกเรามาเป็นแขก ไม่ใช่เจ้านายในบ้านตระกูลจีโดยแท้จริง ที่คนเขาซื้อให้นับเป็นน้ำใจ ไม่ซื้อให้ก็เป็นเรื่องปกติ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ถูกใจปิ่นเล่มนั้น”

เจินซื่อจับใจความสำคัญในสิ่งที่บุตรสาวต้องการจะเอ่ยไม่ได้สักนิด “ปิ่นเล่มนั้นเจ้าไม่ถูกใจ แล้วเจ้าอยากได้แบบใด บอกแม่มา แม่ซื้อให้เจ้าเอง!”

สวินชิงเหยา “ท่านแม่ เงินของพวกเราใช้จับจ่ายระหว่างทางไปหมดแล้ว”

เจินซื่อไม่สนใจสักนิด “ข้ารู้ แต่ไม่ใช่ว่ายังมีพี่เขยของเจ้าอยู่หรอกหรือ ข้าคิดไว้แล้ว หากพวกนางไม่ซื้อให้เจ้า อย่างไรพี่เขยเจ้าก็ต้องซื้อให้”

สวินชิงเหยาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรอีก

ตระกูลสวินนับเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอยู่ในกูซูมากก็จริง แต่ชื่อเสียงเหล่านั้นได้มาเพราะบรรพบุรุษกับท่านลุงใหญ่ บิดาของนางเป็นเรือนรองที่อาศัยเขากินอยู่ไปวันๆ เมื่อคราวเอ่ยเรื่องแต่งงาน คนเขาไปเจรจากับคุณหนูที่มากคุณธรรมมีความสงบเสงี่ยมให้ บิดาก็รังเกียจที่อีกฝ่ายรูปโฉมไม่งดงาม จึงไม่ยอมแต่งด้วย แต่ดันมาถูกใจท่านแม่นางแทน ท่านแม่นางมาจากตระกูลพ่อค้า อย่างไรก็เทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่ได้ หลายปีนี้นางสร้างเรื่องน่าขันไว้ที่กูซูไม่น้อย คิดว่ามาถึงเมืองหลวงแล้วจะเก็บเขี้ยวเล็บลงสักหน่อย แต่ใครจะคิดว่ากลับยิ่งหนักข้อขึ้นไปอีก

“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงไม่คิดบ้าง พวกเรามาที่บ้านตระกูลจีตั้งนานเพียงนี้แล้ว เหตุใดพี่เขยถึงรั้งรอไม่ยอมพบหน้าพวกเราเสียที”

เจินซื่อบอกว่า “เขาป่วยอย่างไรเล่า ไม่ได้ยินบ่าวเขาบอกหรือ”

ถ้าป่วยอย่างน้อยก็น่าจะให้พวกนางไปเยี่ยมเยียนบ้าง ไม่ได้ป่วยเป็นโรคติดต่อเสียหน่อย หากเพราะพวกนางเป็นสตรีจึงไม่สะดวก แต่อย่างไรก็ยังมีพี่ชายของพวกนางไม่ใช่หรือ

สวินชิงเหยาตั้งสติก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นพี่สาวเล่า ท่านแม่ไม่ลองคิดดูบ้างว่าเหตุใดจู่ๆ พี่สาวจึงออกไปอยู่เฝ้าสุสาน”

เจินซื่อคิดเอาเองว่าเป็นเรื่องดี “นางจะกตัญญูต่อเหล่าไท่เหยียอย่างไรเล่า ไปเฝ้าสุสานให้เหล่าไท่เหยียสักสี่ห้าวันจะเป็นกระไรไป นี่เป็นเพราะนางกตัญญู พูดออกไปมีแต่จะได้หน้าทั้งสิ้น!”

สวินชิงเหยารู้สึกเพียงว่าเรื่องของพี่ใหญ่ไม่มีทางเรียบง่ายเพียงนั้น เพียงแต่นางก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร จึงไม่พูดมันเสียเลย

เจินซื่อตบมือบุตรสาว “เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว แม่จะต้องหาคนดีๆ ในเมืองหลวงให้เจ้าให้ได้ ไม่ให้น้อยหน้าบุตรตระกูลจีเด็ดขาด!”

สวินชิงเหยาคิดถึงเรื่องในร้านเป่าหลินแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าดูแล้วฮูหยินน้อยไม่ใช่คนธรรมดาเลย ต่อไปท่านอย่าไปยั่วให้นางโมโหจะดีกว่า”

เจินซื่อส่งเสียงหึๆ อย่างไม่เห็นเป็นสาระ “เจ้าคิดว่าแม่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ อย่างนั้นหรือ ผู้หญิงที่แซ่เฉียวนั่นไม่ใช่ลูกคุณหนูตระกูลผู้ดีมาจากไหนทั้งนั้น เมื่อหลายปีก่อนนางพลีกายให้บุรุษคนอื่น เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต นางถูกขับออกจากตระกูล ไม่รู้ถูกคนเหยียบย่ำมาแล้วเท่าไร ตอนหลังก็มาใช้เล่ห์กลมารยาหลอกล่อจนคุณชายใหญ่ตระกูลจีลุ่มหลง เจ้าเด็กสองคนนั้นยังไม่รู้เลยว่าเป็นลูกใคร!”

สวินชิงเหยาพลันหน้าเสีย “ท่านแม่!”

เจินซื่อไม่รู้สึกสักนิดว่าตนพูดอะไรผิดไป น้ำเสียงยิ่งฟังดูกระด้างหนักขึ้น “คนอย่างนางยังแต่งงานเข้าตระกูลจีได้ ลูกสาวข้าสะอาดผุดผ่อง มากด้วยความรู้ความอ่าน เต็มไปด้วยวิชาความรู้ เหตุใดจะหาตระกูลสามีที่ดียิ่งกว่านางไม่ได้”

ยิ่งพูดยิ่งออกทะเลไปไกลจริงๆ สวินชิงเหยาใกล้จะทนฟังไม่ไหวเต็มที ข่าวลือเกี่ยวกับเฉียวเวย นางใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แค่เพียงนางไม่มีนิสัยชอบนินทาลับหลังผู้อื่นเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพูดถึงเรื่องตระกูลสามีแล้ว ทั่วทั้งราชวงศ์ต้าเหลียงนอกจากตระกูลจีแล้ว ยังมีตระกูลใดที่ดีเลิศยิ่งกว่านี้อีกหรือ

รถม้าเสียเวลาอยู่ระหว่างทางนานเกินไป จวบจนใกล้เวลาอาหารเย็น ผู้คนตามท้องถนนเริ่มมาก รถม้าจึงยิ่งเคลื่อนตัวได้ด้วยความเร็วที่ช้าลงไปอีก

เจินซื่อท้องเริ่มหิว กลิ่นหอมของซาลาเปาหมูแดงจากริมทางโชยลอยมายั่วจนท้องร้องสนั่นไปหมด

“หยุดรถ” นางเอ่ย

คนรถจำต้องหยุดรถม้า

สวินชิงเหยาขมวดคิ้ว “ท่านแม่ ท่านยังจะซื้ออะไรอีก”

เจินซื่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าอยากซื้อซาลาเปาสักสองลูกน่ะ”

สวินชิงเหยาถอนหายใจแล้วปล่อยมือเจินซื่อให้ลงจากรถม้าไป นางเดินไปที่ร้านขายซาลาเปา แต่ใครจะคิดว่าชั่วขณะที่นางควักถุงเงินออกมาจะจ่ายเงินนั้น บนถนนเกิดเสียงอุตลุตโวยวายดังขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ถ้ายังไม่หยุดอีก! ข้าจะยิงธนูเดี๋ยวนี้!”

เจินซื่อลืมเรื่องจ่ายเงินไปเสียสนิท นางหันไปมองตามเสียงก็เห็นขบวนทหารกำลังเงื้อกระบี่ไล่ล่าบุรุษคนหนึ่งที่สวมชุดนักโทษ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาดุร้าย

บุรุษผู้นั้นดึงร้านค้าสองข้างทางจนล้มระเนระนาด ผลักคนเดินถนนล้มลงนับไม่ถ้วน ขวางเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหลังตนจนไม่อาจไล่ตามทันได้

ทหารคนที่เป็นหัวหน้าทำสัญญาณมือ “พลธนูเตรียมพร้อม…”

พลธนูที่ยืนเรียงหน้ากระดานกันอยู่พลันยกธนูขึ้นเทียบ เล็งตรงไปยังนักโทษที่หลบหนีให้วุ่น ผู้คนต่างเบี่ยงหลบเปิดทางให้ เจินซื่อยืนอึ้งถือซาลาเปาอยู่สามลูก ชั่วขณะนั้นนางลืมกระทั่งจะวิ่งหนี ยังดีมีชายกลางคนคนหนึ่งใจดีช่วยดึงนางเข้าไปในร้านซาลาเปา

นางยืนอยู่ในร้านซาลาเปา มองคนร้ายวิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ เขาคนนั้นก็กระโดดขึ้นรถม้าตระกูลจี!

เป็นรถม้าคันที่บุตรสาวนางนั่งอยู่!

“กรี๊ด! เหยาเจี่ยร์…” นางตะโกนร้องเสียงดังลั่น!

บุรุษคนนั้นคว้าเอามีดปอกผลไม้บนโต๊ะขึ้นมา อ้อมไปอยู่ด้านหลังสวินชิงเหยาแล้วโอบรอบคอนางไว้ ปลายมีดจออยู่ที่ลำคอนาง “อย่าขยับ ไม่งั้นจะฆ่าเจ้าเสีย!”

สวินชิงเหยาไม่กล้าขยับตัว

บุรุษคนนั้นเอ่ยเสียงเข้มว่า “รีบเคลื่อนรถไป! ไม่งั้นข้าจะฆ่านางทิ้ง!”

ประโยคนี้เขาพูดกับคนรถ

คนรถไม่กล้าครั้งรอ รีบคว้าเชือกขึ้นมาขับรถม้าออกไปทันที

เจินซื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า สองตาพลันลอยคว้างก่อนจะเป็นลมล้มไป

อีกสี่คนที่กำลังเล่นไพ่หม่าเตี้ยวกันอยู่ได้ยินเสียงว่าเกิดอะไรขึ้น เฉียวเวยกันทั้งสามไว้ด้านหลังตนเอง พอเลิกผ้าม่านออกไปดูก็เห็นว่ารถม้าที่ควรจะตามอยู่ด้านหลังรถพวกนางเคลื่อนผ่านข้างกายพวกนางไปรวดเร็วราวกับสาวฟ้า ในหูยังมีเสียงร้องเรียก “เหยาเจี่ยร์” ของเจินซื่อดังก้อง เหล่าทหารพากันกรูตามรถม้าคันนั้นไป “ไล่ตามไป!”

เฉียวเวยกระโดดลงจากรถม้า คลายเชือกเพื่อปล่อยม้าตัวหนึ่งออกมาแล้วตีลังกาขึ้นม้า วิ่งห้อตามรถม้าที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันทันที

[1] ไพ่หมาเจี้ยง หรือไพ่นกกระจอก