บทที่ 861 ความฝันอันน่ากระอักกระอ่วน
ซูอันคอยจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ทหารรักษาการณ์หลายคนต่อสู้อย่างดุเดือดกับกลุ่มชายชุดดำ ทว่าชายชุดดำเหล่านี้บางคนมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าสี่คนที่เขาสังหารไปมาก
กองกำลังส่วนใหญ่ของกลุ่มเงาสังหารจำเป็นต้องหันเหความสนใจของทหารในภารกิจนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงส่งผู้บ่มเพาะระดับหกเข้าไปสังหารซูอัน
กลุ่มชายชุดดำเริ่มล่าถอย เนื่องจากพวกเขาคิดว่าสหายของพวกเขาน่าจะประสบความสำเร็จแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งชีวิตของตัวเองไว้ที่นี่…
เฉียวเสวี่ยอิงคุ้นเคยกับเมืองหลวงเป็นอย่างมาก นางเป็นผู้นำทางที่ชำนาญและสามารถหลบหลีกเหล่าทหารรักษาการณ์ได้อย่างคล่องแคล่ว จนในที่สุดทั้งสองก็มาถึงเรือนพักอันเงียบสงบ
เฉียวเสวี่ยอิงเปิดประตูและเชิญเขาเข้ามา “นี่เป็นหนึ่งในบ้านพักลับของข้า พวกเราหยุดพักที่นี่กันก่อน จากนั้นข้าจะพาเจ้าออกไปหาพวกของข้าเมื่อทุกอย่างสงบลง”
“ตกลง” ซูอันมองไปรอบบ้านพัก แม้ว่าการตกแต่งจะไม่ได้พิเศษ แต่ก็มีสภาพค่อนข้างดี รอบ ๆ บ้านเต็มไปด้วยพืชพรรณและดอกไม้นานาชนิดทำให้พื้นที่นี้รู้สึกสดชื่น ดูเหมือนว่าพวกเอลฟ์จะชอบใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่ามนุษย์อย่างเห็นได้ชัด
เฉียวเสวี่ยอิงช่วยเขาวางฉู่โหยวเจาลงบนเก้าอี้ นางไม่ยอมให้ชายอื่นนอนบนเตียงของนาง แม้ว่าเขาจะเป็นถึงทายาทของตระกูลฉู่ก็ตาม
ซูอันมองออกว่านางคิดอะไรอยู่และอดหัวเราะไม่ได้
“ว่าแต่ เจ้ารู้จักใครในเผ่าจิ้งจอกงั้นเหรอ?” เฉียวเสวี่ยอิงถามอย่างสับสน นางไม่มีโอกาสถามเรื่องนี้ระหว่างทาง แต่ตอนนี้พวกเขามีเวลามากเพียงพอที่จะพูดคุยกัน นางกล่าวต่อ “ไม่ใช่สิ ความสามารถของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกสืบทอดกันตามสายเลือด หรือต่อให้ถ่ายทอดกันได้ พวกเขาไม่มีทางถ่ายทอดทักษะการใช้เปลวไฟให้กับเจ้าที่เป็นมนุษย์แน่นอน”
“เรื่องมันซับซ้อน” ซูอันไม่รู้จะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดได้อย่างไร “ถ้าสรุปสั้น ๆ ข้าก็แค่ยืมเปลวไฟนี้มาจากจิ้งจอกเก้าหาง”
เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกประหลาดใจ “ในตอนแรกข้ากังวลว่าข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับพวกของข้าได้อย่างไร แต่ตอนนี้มันง่ายกว่ามากเนื่องจากเจ้าสามารถยืมพลังจิ้งจอกเก้าหางมาใช้ เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีจิ้งจอกเก้าหางที่แท้จริงภายในเผ่าพันธุ์จิ้งจอก เจ้าจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นแขกผู้มีเกียรติอย่างแน่นอน ใครจะรู้ เจ้าอาจจะสามารถเป็นโอรสสวรรค์ของพวกเขาได้ แม้ว่าเผ่าพันธุ์จิ้งจอกจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมากนัก แต่สถานะของพวกเขาค่อนข้างพิเศษ ซึ่งทำให้พวกเขามีอิทธิพลอยู่พอสมควร มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรสำหรับพวกเขาที่จะปกป้องเจ้า”
ซูอันตกตะลึง “เจ้ากำลังวางแผนที่จะส่งข้าไปอยู่กับเผ่ามารเหรอ?”
“แล้วจะให้ข้าไปส่งเจ้าที่ไหนอีกล่ะ?” เฉียวเสวี่ยอิงถามกลับ “ในตอนนี้เจ้าเป็นที่ต้องการของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจว ดังนั้นไม่มีที่ใดในราชวงศ์โจวจะปลอดภัยสำหรับเจ้า แต่ไม่ว่าจักรพรรดิจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับดินแดนของเผ่าพันธุ์มารของเราได้ เจ้าไปกบดานกับพวกเราสักสองสามปี และเมื่อจักรพรรดิองค์นี้ตายลง เจ้าก็ค่อยกลับมา”
คำว่า ‘เผ่ามาร’ ถูกใช้เป็นคำเรียกรวม ๆ สำหรับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในโลกนี้ เอลฟ์พฤกษาเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์มาร ดังนั้นนางจึงใช้คำว่า ‘พวกเรา’
ซูอันหัวเราะ “จักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวต้องการวิชาวัฏจักรหงส์อมตะจากข้า ซึ่งวิชานี้สามารถมอบความเป็นอมตะได้ เจ้าคิดว่าถ้าข้าหลบหนีไปยังดินแดนดินแดนของเจ้า คนเผ่ามารของเจ้าจะไม่มีใครอยากได้วิชาวัฏจักรหงส์อมตะเช่นเดียวกันเหรอ?”
เฉียวเสวี่ยอิงตกตะลึง นางไม่ได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางกล่าวว่า “อายุขัยของมารนั้นยาวนานกว่ามนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าสำหรับเคล็ดวิชาที่จะให้ความเป็นอมตะ…”
ซูอันส่ายหัว เขาลูบผมที่ถักสวยงามของนางอย่างอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า แต่พรุ่งนี้ข้าจะไปที่วัง ข้าจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิและจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
เฉียวเสวี่ยอิงเริ่มตื่นตระหนก “ใคร ๆ ก็รู้ว่าจักรพรรดิเป็นผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งของโลก! แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แต่เจ้าก็ไม่มีโอกาสเอาชนะเขาได้!”
ซูอันหัวเราะ “อย่ากังวลเลย ข้าไม่ได้เข้าวังเพื่อต่อสู้กับจักรพรรดิ ข้ามีแผนอยู่ในใจ แต่ถ้าแผนของข้าล้มเหลว ข้าจะหนีไปยังดินแดนเผ่ามารพร้อมกับเจ้า”
เฉียวเสวี่ยอิงยังคงกังวล “แต่ถ้าเจ้าไม่มีโอกาสหนีล่ะ…?”
ซูอันดึงร่างเพรียวบางของนางเข้ามาในอ้อมแขน “เชื่อข้า ข้าจะไม่เป็นไร”
เฉียวเสวี่ยอิงกอดเขาแน่นราวกับกลัวว่าเขาอาจจะหายไปตลอดกาลหากนางปล่อยมือ…
หลังจากที่ห่างหายกันมานานขนาดนี้ คู่รักไหน ๆ ก็มักจะทำตัวเป็นคู่บ่าวสาวเมื่อได้พบกันอีกครั้ง ขณะที่ทั้งสองเกาะกุมกันและกัน อุณหภูมิภายในร่างกายก็เริ่มสูงขึ้น
ร่างกายของเฉียวเสวี่ยอิงค่อย ๆ อ่อนแรง ในขณะที่ซูอันแข็งขันขึ้น
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด ทั้งสองเริ่มจุมพิตกันอย่างลึกซึ้ง…โนเวลพีดีเอฟ
…
หลังจากนั้นไม่นานเฉียวเสวี่ยอิงก็รีบจัดเสื้อผ้าของนางให้เข้าที่ นางมองไปที่ฉู่โหยวเจาซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของนางแดงก่ำ “ไม่…เขาอยู่ที่นี่….”
ซูอันหัวเราะ เขาต้องการบอกนางว่าไม่เป็นไร เพราะฉู่โหยวเจาเป็นผู้หญิง และนางก็ยังหมดสติอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อชายหนุ่มเห็นนางจ้องเขม็ง เขาไม่ได้อธิบายอะไรอีก แต่พานางไปที่เตียงใกล้ ๆ
เฉียวเสวี่ยอิงเอื้อมมือออกไป เถาวัลย์มากมายผุดออกจากมือนางและถักทอจนกลายเป็นม่านเถาวัลย์บดบังพวกเขาเอาไว้
…
เวลาผ่านไปนาน ฉู่โหยวเจาก็ฟื้นขึ้นมาอย่างช้า ๆ นางรู้สึกราวกับตื่นจากความฝันที่แปลกประหลาด ทุกอย่างภายในฝันเป็นสีดอกกุหลาบและมันก็น่าอายเหลือเกิน นางฝันว่ากำลังนอนกับผู้ชาย และชายคนนั้นได้หยอกล้อกับร่างกายของนาง เสียงที่น่าอับอายทุกชนิดออกมาจากปากของนาง
ในตอนแรกใบหน้าของชายในนั้นพร่ามัว แต่เมื่อนางขยับเข้าไปใกล้ก็จำใบหน้านี้ได้ เขาเป็นพี่เขยของนาง!
นางตื่นขึ้นด้วยความกลัว…
โชคดีที่เป็นแค่ความฝัน!
นางถอนใจยาวแล้วหุบขาเข้าหากันด้วยความละอาย ทำไมนางถึงต้องฝันว่าทำเรื่องน่าอายกับพี่เขยที่น่าชังคนนั้นด้วย!
ข้ายังจำเสียงร้องที่น่าละอายของตัวเองได้อยู่เลย!
นางหันกลับมาโดยไม่รู้ตัวและดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้นทันที แม้ว่าจะมีม่านเถาวัลย์กั้นระหว่างพวกเขา แต่นางก็ยังสามารถแยกแยะร่างที่อยู่ภายในได้อย่างเลือนราง
พวกเขากำลังทำอะไรกัน? ขี่ม้าเหรอ?
ฉู่โหยวเจางงงวย แต่ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไรต่อ เถาวัลย์ก็พุ่งเข้ามากระแทกใส่นางให้หมดสติไปอีกรอบ
“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า!” เช้าวันรุ่งขึ้น เฉียวเสวี่ยอิงแทบจะไม่สามารถระงับความเขินอายและความโกรธของนางได้ นางทุบหน้าอกซูอันอย่างต่อเนื่อง
ซูอันมีสีหน้าแปลก ๆ “มีม่านกั้นอยู่ เขามองไม่เห็นอะไรหรอก”
“แต่ข้ารู้สึกแปลก ๆ!” เฉียวเสวี่ยอิงหมุนไปรอบ ๆ นางรู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ หากเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ สิ่งต่าง ๆ อาจแตกต่างออกไป แต่นี่คือทายาทของตระกูลฉู่!
ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพระหว่างนางกับฉู่ชูเหยียน นางอาจจะทำให้ฉู่โหยวเจาเงียบไปตลอดกาล
ซูอันลูบผมที่ถักอย่างประณีตของนาง “เจ้าทำให้เขาหมดสติไปอีกรอบใช่ไหม? แต่อันที่จริงถึงแม้ว่าเขาจะเห็น เขาก็คงเห็นแต่ข้า เพราะตัวของข้าทับเจ้าอยู่จนมิดเลยไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ใบหน้าของเฉียวเสวี่ยอิงแดงก่ำ นางไม่รู้ว่าแม่นางฉู่ที่เป็นผู้หญิงเย็นชาและสูงส่งอยู่เสมอ นางชอบผู้ชายคนนี้ได้อย่างไรกัน??
ซูอันมองออกไปนอกหน้าต่าง “พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปแล้ว ข้าต้องเข้าวัง”
เฉียวเสวี่ยอิงลืมเรื่องอื่นทันที สีหน้าของนางเริ่มจริงจัง “อาซู เจ้าแน่ใจหรือว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าคิด? ทำไมไม่ทำตามแผนของข้าและหนีไปด้วยกันล่ะ?”