“พูดก็ถูก”ลีน่าพยักหน้า“ยังไงก็ไม่มีใครคิดว่า พวกเธอสองคนรู้จักกันหรือไม่ แต่ว่าวารุณี เธอว่าสองคนนี้ ร่วมมือกันได้อย่างไร?”
“จากที่จุ๊บแจงสารภาพเอง เป็นสุชาดาที่มาหาเธอก่อนเอง จุ๊บแจงใส่ร้ายว่าฉันลอกเลียนแบบ และก็เป็นรูปที่สุชาดาเอามา ดังนั้นจุ๊บแจงจึงตกลงร่วมมือกับสุชาดา”วารุณียักไหล่พูด
ลีน่ากลอกตา“จุ๊บแจงนี่โง่จริงๆ ไม่มีสมองสักนิด คนแบบนี้ยังจะไปใส่ร้ายคนอื่นอีก พูดไม่ออกเลยจริงๆ”
วารุณีหัวเราะ“เธอพูดถูก คนที่ไม่มีสมอง ทำเรื่องเลวๆก็ต้องล้มเหลวอยู่แล้ว”
จุ๊บแจงก็โง่ไม่ใช่เหรอ?
ไม่ได้สืบตัวตนของสุชาดา ไม่เข้าใจนิสัยตัวตนของสุชาดา ก็ไปเชื่อสุชาดา ร่วมมือกับสุชาดา
แน่นอนว่า นี่ก็ไม่เป็นไร ที่ตลกที่สุดคือ ก็ยังเป็นตอนที่จุ๊บแจงเอารูปภาพพวกนั้นของสุชาดาไป ก็ไม่ไปตรวจสอบเลยว่ามีปัญหาหรือไม่
ดังนั้นจุ๊บแจงไม่ซวย แล้วใครจะซวย?
กลับเป็นสุชาดา ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก อย่างน้อยสมองก็ดีกว่าเดิมขึ้นเยอะ
“เอาล่ะ ไม่พูดถึงสองคนนี้ละ ตำรวจกลับไปสอบสวนสุชาดา จับสุชาดาได้ล่ะก็ คงติดต่อฉันเอง ถ้าจับไม่ได้ ก็ให้พวกเราระวังตัวหน่อย ยังไงเรื่องนี้สุชาดาก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่เอารูปให้จุ๊บแจง และทำการยั่วยุ และการยั่วยุนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายมาก ดังนั้นถึงจับสุชาดาได้ ก็จะถูกตำหนิเล็กน้อยแล้วก็ปล่อย”
“ก็ใช่”ลีน่าพยักหน้า ไม่พูดอะไร
ทั้งสองห้าร้านอาหารฝรั่งที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง เอารถจอดเสร็จ แล้วเข้าไปกินข้าวที่ร้านนั้น
กินเสร็จ มั้งสองก็ดูเวลายังมีอยู่ เลยไม่รีบกลับไป กะว่าจะเดินเล่น
ยังไงพอตกดึก วารุณีก็ยังต้องไปรับนัทธีกับลูกทั้งสองที่สนามบิน
การเดินเล่นนี้ ใช้เวลาไปสองสามชั่วโมง
แต่วารุณีกับจุ๊บแจงก็มาได้ซื้ออะไร แค่ดูเฉยๆ
พวกเธอคนหนึ่งเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้า อีกคนเป็นดีไซเนอร์เครื่องประดับ รสนิยมเลยสูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นสำหรับเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าอะไรพวกนั้นในตลาด ที่จริงแล้วดูไม่สวยเลย
เพราะที่พวกเธอใช้ ไม่ใช่ตัวเองออกแบบเอง ก็สั่งทำโดยเฉพาะ
ดังนั้นการเดินเล่นนี้ แค่เป็นการฆ่าเวลาเฉยๆ
แป๊บเดียว ก็ถึงกลางดึก
ลีน่าขับรถพาวารุณีไปที่สนามบิน ด้านหลังมีพวกบิ๊กบอดี้การ์ดสองคน ขับรถตามไปติดๆ ดูแลพวกเธอ
ถึงสนามบิน ก็สามทุ่มแล้ว
วารุณียืนอยู่ทางออกของ VIP ดูเวลาไป ก็มองไปทางเข้าออก“ทำไมยังไม่ออกมาอีก”
เมื่อกี๊เธอได้ยินแจ้งเตือนว่าเครื่องบินลงจอดแล้ว ตำแหน่งที่จอด ก็เป็นที่นัทธีบอกเธอพอดี เป็นที่ที่เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเขาจะจอด
ดังนั้นว่าตามเหตุผลแล้ว พวกนัทธีน่าจะออกมาแล้วสิ ทำไมนานขนาดนี้แล้ว ยังไม่ออกมาเลย?
มองวารุณีที่รีบร้อน เหมือนกลัวจะเกิดเรื่อง ลีน่าก็หาว พูดโน้มน้าว:“วารุณี อย่าร้อนใจสิ พวกประธานนัทธีอาจจะมีอะไรเลยดีเลย์ไปนิดหน่อยก็ได้ เดี๋ยวก็ออกมาแล้ว”
“ที่สนามบินจะเกิดอะไรขึ้นได้?”วารุณีขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เข้าใจนัก
ลีน่าผายมือออก“ฉันก็ไม่รู้ ฉันแค่เดา”
เธอพูดจบ ตาก็มองกวาดไป แล้วก็เห็นร่างไม่กี่ร่างปรากฏตรงทางเข้าออก แล้วตาก็เป็นประกายทันที ตื่นเต้นจนดึงแขนเสื้อของวารุณี“วารุณี พวกประธานนัทธีออกมาแล้ว”
วารุณีที่ตอนนี้กำลังก้มหน้ากดโทรศัพท์ อยากส่งข้อความหานัทธี ถามเขาว่าอยู่ไหน
สุดท้ายยังพิมพ์ไม่เสร็จ ก็ได้ยินคำพูดของลีน่า จึงผิดโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นทันที มองไปที่ทางเข้าออก
การมองนี้ ก็ทำให้เห็นว่านัทธีพาลูกทั้งสองคนมา เดินมาทางนี้พร้อมกับมารุตกับบอดี้การ์ดสองสามคน
“หม่ามี๊”เด็กทั้งสองเห็นวารุณี ก็รีบโบกมือทักทายวารุณีอย่างดีใจ
“เฮ้!”วารุณีตอบตกลง แล้วรีบวิ่งไปที่ทางเดินอย่างเร็ว
เด็กทั้งสองเห็นเธอมา ก็จะไป
อารัณปล่อยมือที่จูงนัทธี ก้าวเท้าเล็กๆวิ่งไปที่วารุณี
ไอริณถูกนัทธีอุ้มไว้ด้วยมือเดียว เห็นพี่ชายไปแล้ว ก็รีบอยากตามไปบ้าง จึงรีบตบไหล่ของนัทธี พูดเร่งว่า:“พ่อคะ รีบปล่อยหนูลง หนูอยากไปรับหม่ามี๊”
นัทธีเห็นลูกรีบร้อนแบบนี้ ก็ตลกเล็กน้อย แต่ก็ย่อตัวลง แล้ววางไอริณลงไป
ขาไอริณลงพื้น ก็วิ่งไปที่วารุณีทันที
น่าจะเพราะอารัณตั้งใจรอเธอ แป๊บเดียวไอริณก็ตามอารัณได้
จากนั้น เด็กทั้งสองคนก็โผเข้าหาอ้อมแขนวารุณี
วารุณีย่อตัวลง กอดลูกๆไว้แน่น เอาหน้าซุกไปตรงกลางไหล่ของลูก มือก็ลูบท้ายทอยของเด็กๆ“ลูกรัก หม่ามี๊คิดถึงพวกลูกมาก”
“หม่ามี๊ พวกเราก็คิดถึงหม่ามี๊”เด็กทั้งสองคนพิงไหล่ไปคนละข้างแล้วพูด
วารุณีหัวเราะเบาๆ“หม่ามี๊ดีใจจัง”
“พวกเราก็ดีใจมาก ในที่สุดก็เห็นหม่ามี๊แล้วครับ”อารัณพูด
วารุณีปล่อยพวกเขาออกเบาๆ“ใช่ ในที่สุดหม่ามี๊ก็ได้เจอพวกลูกแล้ว มา ให้หม่ามี๊ดูหน่อยสิ”
เธอใช้มือลูบหน้าลูกละข้าง สำรวจอย่างละเอียด
ถึงแม้จะห่างกับลูกๆแค่ไม่กี่วัน แต่วารุณีก็รู้สึกว่าห่างกันนานมาก นานจนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะมองดูอย่างละเอียด สภาพร่างกายของลูกทั้งสอง ดูว่าอ้วนหรือผอมลง
ทางนี้ ฉากที่สามคนแม่ลูกอยู่ด้วยกันช่างอบอุ่นมาก
ส่วนทางนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งมองแล้วในใจก็รู้สึกหึง
เพราะว่าสามคนแม่ลูกนี้ เมินเขาไปเลย
“แค่ก!”นัทธีเอามือปิดปาก ไอออกมา หวังว่าจะดึงดูดความสนใจของสามคนแม่ลูก
แต่สามคนแม่ลูกก็ยังคุยอะไรกันอยู่ ท่าทางจริงจังอย่างมาก เสียงของเขานี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของสามคนแม่ลูกเลย
นัทธีขมวดคิ้ว
เขาไอเบาไปเหรอ?
ด้านข้าง ลีน่ากับผู้ช่วยมารุตเห็นฉากนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก
ยังไงประธานนัทธีที่ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ ก็ไม่ได้เห็นมากนัก
สุดท้าย ก็เป็นลีน่าที่ใจอ่อน ช่วยนัทธี พูดยิ้มๆกับวารุณี“วารุณี เอาล่ะๆ อย่าเอาแต่สนใจลูกทั้งสองคนสิ รีบดูสามีเธอนู่น ถ้ายังไม่สนใจอีก จะน้อยใจจนร้องไห้แล้วนะ”
ได้ยินคำนี้ นัทธีก็หน้าหม่นลงทันที
น้อยใจ?
ร้องไห้?
จะเป็นไปได้ไง!
นัทธีมองไปที่ลีน่าอย่างเยือกเย็น
ลีน่าก็ไม่กลัวเขา พูดขำๆ:“ประธานนัทธี คุณอย่าจ้องฉันสิ ถ้าฉันไม่พูดเวอร์หน่อย จะทำให้วารุณีสงสารคุณได้ไง ใช่ไหมล่ะวารุณี?”
วารุณีหน้าแดง“ไปเลย พูดบ้าอะไรเนี่ย”
จากนั้น เธอก็ลูบหัวของลูกทั้งสองคน ยืนขึ้นมาแล้วเดินไปที่นัทธี
หลังจากวารุณีเดินไปตรงหน้านัทธี ก็หยุดลง เงยมองเขา“ขอโทษนะนัทธี ฉันไม่ได้ตั้งใจเมินคุณ ฉันก็ไม่อยากเมินคุณด้วย ก็แค่ฉันอยากใกล้ชิดมากๆกับลูกสองคนนี้ จากนั้นค่อยไปหาคุณ ยังไงความหมายที่ลูกทั้งสองคนนี้มีต่อฉันนั้น ก็ไม่เหมือนกับคุณ”
เงียบไป จากนั้นพูดต่อว่า:“พวกเขาคือของล้ำค่าที่ฉันใช้ชีวิตแลกมา ดังนั้นฉันให้ความสำคัญพวกเขามาก แน่นอนว่า ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ให้ความสำคัญต่อคุณ ฉันรักคุณมาก แต่คุณกับลูกสองคนนั้นเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะว่าสำหรับฉันแล้ว พวกคุณสำคัญหมด ก็แค่ความหมายนั้นต่างกัน ดังนั้นไม่มีใครสำคัญมากสำคัญน้อยกว่ากัน”
“ผมเข้าใจความหมายคุณ”นัทธียื่นมือออกไป ดึงข้อมือของเธอไว้ เอาเธอมาไว้ในอ้อมแขน“ผมก็ไม่ได้เอาตัวเองมาเทียบกับลูกทั้งสองคน เพราะว่าคุณพูดถูก และก็ ในฐานะพ่อ จะเทียบแพ้ชนะกับลูกตลอดได้ไง”