บทที่ 652 ยินยิน
เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดเยอะ เอาแค่พอหอมปากหอมคอ ที่เหลือปล่อยให้คนฟังเอาไปปรุงแต่งเอง
เซียวเหิงพอเขียนเสร็จก็จากไป ปล่อยหมิงจวิ้นอ๋องให้อยู่กับอารมณ์ที่ขุ่นมัวไว้ที่เดิม
“จวิ้นอ๋องขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยทัก “ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ”
“คนอย่างข้าจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ” หมิงจวิ้นอ๋องตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเขากำลังโกรธจัด ทหารนายนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจแสดงความคิดเห็นตัวเองออกมา “จวิ้นอ๋องขอรับ สิ่งที่นางเอ่ยอาจมิใช่เรื่องจริง ทรงอย่าเพิ่งเชื่อทั้งหมดนะขอรับ”
ด้วยความที่ทหารนายนั้นไม่ได้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงในตัวสามงามอันดับหนึ่งผู้นั้น จึงสามารถวิเคราะห์ปัญหานี้จากมุมมองที่เป็นกลางได้
ทว่าจวิ้นอ๋องกลับไม่คิดเช่นนั้น “เจ้าหมายความว่า นางกำลังโกหกข้าอย่างนั้นรึ”
“กระหม่อมแค่มองว่าควรระวังไว้เท่านั้นขอรับ” ทหารยามเอ่ย
หมิงจวิ้นอ๋องตะคอกกลับอย่างเย็นชา “นางเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอจากแคว้นอื่น ไม่มีใครให้พึ่งพา เอาอะไรมากล้าที่จะใส่ร้ายตระกูลหนานกง นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กๆ เท่านั้น ใส่ร้ายคนอื่นจนไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเองไปเพื่ออะไร”
ชื่อเสียงของสตรีใหญ่ยิ่งกว่านภา
“หนานกงหลินก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าข้ามีใจให้นาง ยังคิดจะตีท้ายครัวข้ารึ ดีจริงๆ !”
“จวิ้นอ๋อง ให้กระหม่อมช่วยสืบให้ดีไหมขอรับ” ทหารยามเอ่ยขึ้น
หมิงจวิ้นอ๋องตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “คนอย่างหนานกงหลินไม่ปล่อยให้เจ้าสืบได้ง่ายๆ หรอก แอบเข้าหาสตรีของข้าลับหลังรึ ช่างกล้านัก ถ้าวันนี้แม่นางกู้ไม่มาบอกข้าคงไม่ทางรู้ได้”
ไม่แปลกที่หมิงจวิ้นอ๋องเลือกเชื่อคำพูดของเซียวเหิง แม่นางกู้กับหนานกงหลินไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน การที่อยู่ๆ จะมาใส่ร้ายกันคงเป็นไปได้ยากและแทบไม่มีผลดีต่อตัวแม่นางกู้แม้แต่นิด
หากเทียบกันแล้ว การที่หนานกงหลินเข้ามายุ่มย่ามกับแม่นางกู้ดูมีความเป็นไปได้มากกว่า
ขนาดคนระดับหมิงจวิ้นอ๋องยังหลงใหลไปกับความงามของแม่นางกู้ แล้วคนอย่างหนานกงหลินมีหรือจะรอด
และนั่นยิ่งทำให้หมิงจวิ้นอ๋องเลือกที่จะเชื่อเซียวเหิงมากกว่า
ทหารยามผู้ติดตามจวิ้นอ๋องมาอย่างยาวนาน เข้าใจอุปนิสัยของจวิ้นอ๋องเป็นอย่างดี มีบางเรื่องที่ทรงหลักแหลม แต่ย่อมไม่ใช่กับทุกเรื่องแน่
“เช่นนั้น…ให้กระหม่อมไป…” ทหารคนสนิทเอ่ยถามขึ้น
เขาเอ่ยพร้อมกับทำท่าปาดคอ
หมิงจวิ้นอ๋องแผดเสียง “ไม่ต้อง เรื่องของเขาก็ให้เขาจัดการเอง พวกเราไม่ต้องยุ่ง!”
“ขอรับ” ทหารยามคำนับ
หลังจากที่รถม้าเข้าจอดบริเวณนอกประตูสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน สาวใช้ค่อยๆ เปิดม่านให้เซียวเหิง “แม่นางกู้ ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เขาลงจากรถม้าพร้อมกับอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะยื่นกระดาษที่เขียนเสร็จไว้แล้วให้สาวใช้ ‘ฝากบอกท่านชายของเจ้าด้วยว่าขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง’
…
กู้เจียวและคนอื่นๆ เดินทางออกมาจากเมืองชั้นใน
“เหตุใดวันนี้ถึงกลับไปที่สำนักบัณฑิตล่ะ” กู้เจียวหันไปถามมู่ชวนและมู่ชิงเฉิน
มู่ชวนยักไหล่ เอ่ย “ไม่รู้เหมือนกัน ข้าก็แค่ตามพี่สี่มา”
มู่ชิงเฉินนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบออกไป “ข้าจะย้ายไปอยู่ที่หอพัก”
“อ๋อ” มู่ชวนที่กำลังนวดกล้ามเนื้อคอตัวเอง พอได้ยินดังนั้นก็รีบหันไปทำตาโตใส่ “ท่านพี่สี่ว่าอย่างไรนะ จะอยู่หอพักอย่างนั้นรึ”
“วันแข่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าไม่อยากเสียเวลาไปกับการเดินทาง เอาเวลามาฝึกซ้อมยังจะดีกว่า ที่พวกสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์พูดก็ถูก เราคงไม่ได้โชคดีแบบนี้ตลอดไปหรอก เหตุผลที่พวกเราชนะในวันนี้ ส่วนใหญ่มาจากระดับความชำนาญที่ไม่เท่ากันของผู้เล่นอีกฝ่าย ฝั่งนั้นมีสวี่ผิงแค่คนเดียว แต่ครั้งต่อไปหากมีคนแบบสวี่ผิงที่เป็นผู้เล่นจากราชสำนักเพิ่มเป็นสองคน โอกาสในการชนะของเราแทบจะลดลงไปครึ่งๆ เลย” มู่ชิงเฉินเอ่ยอย่างแน่วแน่
“ใช่ มู่ชิงเฉินพูดถูก” อาจารย์อู่ควบม้าเข้ามาข้างๆ พวกเขาพร้อมกับเอ่ยเสริม “ยังมีผู้เล่นที่มีความสามารถอีกมากมายรอเราอยู่ข้างหน้า ต่อไปเราต้องฝึกฝนให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะไม่มีผู้เล่นจากราชสำนัก แต่เราก็ไม่ควรประมาท”
“การแข่งครั้งต่อไปยังคงจัดที่เดิมใช่หรือไม่” กู้เจียวถาม
“ใช่แล้ว หากไม่นับสนามของราชสำนัก สนามที่หลิงโปนั้นถือว่ามีความเพียบพร้อมมากที่สุดแล้ว”
นอกจากตัวสนามแล้ว ที่นั่งอัฒจันทร์ก็ถือว่าสร้างได้ดีมาก
“เหลืออีกกี่วัน” กู้เจียวถามอีกครั้ง
“เจ็ดวัน” อาจารย์อู่ตอบ “การแข่งขันยังคงมีถึงมะรืนนี้ หากพวกเจ้าสะดวกก็ลองมาดูการแข่งได้ แต่อย่าให้กระทบกับการซ้อมเป็นอันขาด”
“เช่นนั้น พวกเราไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ใช่หรือไม่ท่านอาจารย์”
อาจารย์อู่ถึงกับไปต่อไม่ถูก
อย่าพูดโต้งๆ แบบนั้นสิ
ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปไม่ได้หรือ!
เจ้าสำนักเสินที่อยู่บนรถม้าทำเป็นไม่ได้ยิน
กว่าจะกลับมาถึงสำนักบัณฑิตก็โพล้เพล้แล้ว อาจารย์อู่ต้องการวิเคราะห์การแข่งขันของวันนี้กับทุกคน กู้เจียวจึงให้กู้เสี่ยวซุ่นพากู้เหยี่ยนกลับไปก่อน
ทุกคนมารวมตัวกันที่สนาม
แม้จะเลยเวลาเลิกเรียนแล้ว แต่ยังมีบัณฑิตจำนวนมากรวมตัวกันอยู่รอบสนามหญ้าและได้ข่าวเรื่องที่พวกเขาแข่งชนะมาแล้ว
สำนักบัณฑิตเทียนฉงไม่เคยชนะการแข่งขันตีคลีมาก่อน ความพ่ายแพ้นั้นเกินจะเปรียบแต่จะว่าไม่สนใจเลยก็ไม่ใช่ เหล่าบัณฑิตจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ทุกสายตาในบริเวณนั้นล้วนแต่จับจ้องพวกเขาขณะที่กำลังควบม้าเข้าไปยังสนาม
แม้จะไม่ได้มีการต้อนรับอย่างเอิกเกริก กระนั้นสายตาของทุกคนก็ทำให้ผู้เล่นรู้สึกถึงความภาคภูมิใจได้ไม่น้อยเลย
มู่ชวนถึงกับยืดอกยืดหลังให้ตรงกว่าเดิม!
“อะแฮ่ม! เอาละ เอาละ พวกเจ้าไปรอตรงนั้นก่อนนะ!” อาจารย์อู่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับพวกเขา
แต่ว่า นี่เป็นชัยชนะเพียงครั้งแรกของพวกเขา ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้นแทบไม่อยากนึกถึงเลย!
สูดหายใจลึกๆ
นิ่งเข้าไว้
จากนั้นเขาก็ควบม้าออกไป
“พวกเราชนะจริงๆ ใช่ไหม”
“ใช่สิ! แถมยังชนะผู้เล่นจากราชสำนักอีกด้วยนะ! รู้อย่างนี้ไปดูแข่งแต่แรกก็ดี!”
“นั่นสิ”
ด้านนอกสนาม เหล่าบัณฑิตต่างพากันจับกลุ่มพูดคุย และรู้สึกเสียดายที่พลาดการแข่งวันนี้
ใครจะไปรู้ละว่าพวกเขาจะชนะ ก็นึกว่าจะแพ้หมดท่ากลับมาเหมือนครั้งก่อนๆ
“ได้ข่าวว่าพวกสำนักบัณฑิตอู่เย่ว์ไปดูการแข่งขันกันเยอะเลย สำนักบัณฑิตของพวกเราน่าสงสารที่สุดใช่หรือไม่ ที่แทบไม่ค่อยมีคนไปดูและให้กำลังใจพวกเขาเลย”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”
เหล่าบัณฑิตที่พูดคุยเริ่มพากันเหงื่อตก
หลังจากที่อาจารย์อู่เรียกประชุมและวิเคราะห์ผลงานของทุกคนในวันนี้แล้ว เขาก็ขอให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วมาฝึกซ้อมเช้าวันรุ่งขึ้น
“เรื่องวันนี้มันเป็นยังไงกันแน่”
มู่ชิงเฉินเอ่ยถามขึ้นตอนที่กู้เจียวจูงม้าไปเก็บที่โรงม้า
“เรื่องอะไรรึ” กู้เจียวหันไปถาม
“หนานกงหลินอย่างไรเล่า” มู่ชิงเฉินเอ่ยตามตรง
กู้เจียวร้องอ๋อไปหนึ่งที แล้วก็ตอบเขาไปตามความจริง “หนานกงหลินถูกใครบางคนโจมตีเข้าที่ช่วงเอวจนมีอาการเหน็บชาและหล่นลงจากหลังม้า”
มู่ชิงเฉินย่นคิ้วแน่น มองกู้เจียวด้วยแววตาเคร่งเครียด “เจ้าตกเป็นเป้ารึ” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เหตุการณ์มีอยู่ว่า กู้เจียวควบม้าเข้าไปใกล้จุดที่ผู้ชมยืนอยู่ข้างสนาม ส่วนหนานกงหลินยู่อีกฝั่งของกู้เจียว พอเกิดเรื่องขึ้น หนานกงหลินก็เอาแต่ถามกู้เจียวว่าเหตุใดถึงโน้มตัวลงเพื่อแย่งลูก
ในตอนนั้น ทุกอย่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และไม่มีใครได้ทันสังเกตความผิดปกติของคำถามของหนานกงหลิน
พอคิดได้ดังนั้น ดูเหมือนการที่กู้เจียวโน้มตัวลงไปกับการที่หนานกงหลินถูกโจมตีจนร่วงลงจากม้านั่นมีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ หนานกงหลินไม่มีทางที่จะร่วงลงจากม้ากะทันหันเพียงแค่เพราะกู้เจียวแย่งลูกจากเขาหรอกใช่ไหม
แต่ถ้ามองว่าอีกฝ่ายต้องการให้กู้เจียวตกจากหลังม้า ทุกอย่างก็พอดูเข้าเค้า
“แล้วเจ้าล่ะ” กู้เจียวถามเขากลับ
“หืม” มู่ชิงเฉินชะงัก
“เรื่องเล่นตีคลีอย่างไรเล่า” กู้เจียวเอ่ย
“ไม่ได้เป็นอย่างที่ซูเฮ่าว่าหรอก” มู่ชิงเฉินตอบ
เขาไม่ได้สาบานที่จะไม่เล่นตีคลีอีกเพียงเพราะเขาแพ้ใครบางคน เหตุการณ์ครั้งนั้น สิ่งที่เขาพูดอาจทำให้ซูเฮ่ามองแบบนั้น แต่ที่จริงแล้ว เขาเต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้อีกทั้งมีความสุขที่ได้แพ้ให้กับคนผู้นั้น
พอกู้เจียวเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบโต้ จึงไม่ถามต่อ
พอส่งม้าให้กับคนดูแลคอกเสร็จ กู้เจียวก็เดินออกมาพร้อมกับเขา
พอเดินมาถึงตรงที่ต้องแยกย้าย มู่ชิงเฉินก็โพล่งขึ้นกะทันหัน “ตอนข้ายังเด็ก ข้าเคยออกไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง”
ช่วงนั้น คือตอนที่ท่านแม่ของเขารู้เรื่องที่ท่านพ่อแอบคบชู้และมีซูเฮ่า ท่านแม่โกรธจนต้องพาข้าหนีออกจากตระกูลซู
ซูเฮ่าเป็นลูกนอกสมรส ส่วนมารดาของอีกฝ่ายเองก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขามีบ้านใหญ่อยู่แล้ว
กว่าทุกอย่างถูกเปิดเผยก็ตอนที่ซูเฮ่าก็เริ่มเดินได้แล้ว
ซูเฮ่าเกิดก่อนเขาเพียงวันเดียว
แม่ของเขามีภาวะคลอดบุตรยาก และใช้เวลาถึงสามวันกว่าที่มู่ชิงเฉินจะลืมตาดูโลก ทว่าสองวันก่อนหน้า บิดาของเขาเอาแต่ไปเฝ้าบ้านเล็กที่กำลังอยู่ในช่วงคลอดบุตรเช่นกัน
ด้วยความโกรธ แม่ของเขาต้องคอยย้ายที่อยู่เพื่อเลี่ยงการเจอกันกับท่านพ่อ
พอเขาอายุได้เก้าขวบ เขาและมารดาก็ได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่ออวิ๋นเสวี่ย
“ตอนที่ข้าเจอนางครั้งแรก นางอายุแค่หกขวบ” มู่ชิงเฉินเล่าเรื่องย้อนความหลัง
“เพื่อนวัยเด็กของเจ้ารึ” เรื่องที่เขาเล่ามาทำให้กู้เจียวนึกถึงตุ๊กตาที่เจอวันก่อน นางเห็นไม่ชัด แต่ก็พอจะเห็นความน่าเกลียดอยู่บ้าง
มู่ชิงเฉินพยักหน้า “ข้าพักอยู่ที่หมู่บ้านนั้นเป็นเวลาสองปี นางเป็นคนจากหมู่บ้านข้างๆ นางชอบเล่นตีคลี และมักจะขี่ม้าแคระที่มีขนสีแดงราวกับลูกพุทราลงไปด้านล่างภูเขาเพื่อหาเพื่อนเล่นตีคลีด้วยกัน”
“ภายหลังนางไม่อยู่แล้ว แล้วข้าก็ไม่ได้เล่นตีคลีอีกเลยนับแต่นั้นมา”
เป็นครั้งที่สองที่กู้เจียวได้ยินเขาใช้คำว่าไม่อยู่แล้วกับเด็กคนนั้น จึงอดสงสัยไม่ได้
“ไม่อยู่บนโลกนี้แล้วอย่างนั้นรึ” กู้เจียวถาม
มู่ชิงเฉินเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แววตาของเขาแฝงไปด้วยความเศร้า “อืม ตอนนางอายุได้แปดขวบ ก่อนจากกัน นางบอกกับข้าให้ดูแลพ่อของนางให้ดี แล้วนางจะกลับมา”
เอ่ยจบ มู่ชิงเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ตอนนั้นข้าก็เชื่อที่นางพูดจริงๆ โง่ชะมัดเลย”
“ข้ามารู้ในภายหลังว่าคนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ แต่ว่าผ่านมาเก้าปีแล้ว ข้าก็ยังคงรอวันที่นางจะปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีกครั้ง”