บทที่ 653 เจียวเจียวออกโรง (1)
อากาศช่วงนี้แปรปรวนเหลือเกิน กู้เจียวยังไม่ทันได้ออกจากสำนักบัณฑิต ฟ้าฝนก็เทลงมาเสียแล้ว
มู่ชิงเฉินยืนหลบฝนเป็นเพื่อนอยู่พักใหญ่ โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่เอ่ยคำใด
กู้เจียวไม่ใช่คนช่างพูด มู่ชิงเฉินก็เช่นกัน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด มู่ชิงเฉินถึงได้วางใจที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้อีกฝ่ายฟัง
อาจเพราะเมื่อครู่นี้ได้ฟังเรื่องเศร้ากันไปแล้ว เลยไม่ได้เอ่ยอะไรอีกจนกระทั่งกู้เจียวเดินออกไป
กว่าจะกลับมาที่เรือนก็มืดแล้ว กลิ่นหอมของอาหารโชยมาจากเตา
อาจารย์แม่หนานลงมือเข้าครัวทำขนมเปี๊ยะต้นหอมด้วยตัวเองจนหอมฟุ้งไปทั่วเรือน
กู้เสี่ยวซุ่นที่กลับมาก่อนก็ได้เล่าเรื่องการแข่งขันวันนี้ให้คนที่เรือนฟังเรียบร้อย บรรยากาศของวันซ้อมกับวันจริงนั้นต่างกันลิบลับ จนกู้เสี่ยวซุ่นไม่สามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วนทั้งหมด
“สรุปก็คือพี่สาวของข้าเก่งที่สุดๆ ไปเลย!”
ทุกคนพากันดีใจยกใหญ่ อาจารย์แม่หนานเองก็เตรียมอาหารไว้มากมายบนโต๊ะ ทุกคนไม่มีใครกล้ากินก่อน ล้วนแต่รอให้กู้เจียวกลับมากินกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ทันทีที่กู้เจียวเข้าไปข้างใน ก็เห็นสมาชิกทุกคนนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ กู้เจียวมองดูทุกคน แล้วมองไปที่อาหารบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยกับทุกคน “ครั้งหน้าข้าจะกลับมาให้เร็วกว่านี้”
อาจารย์แม่หนานหัวเราะ “ไม่เห็นเป็นไรเลย ฝนตกไม่ใช่รึ แล้วนี่เจ้าไม่โดนฝนมานะ”
กู้เจียวส่ายศีรษะ “ไม่โดน ข้ารอฝนซาที่สำนักบัณฑิต”
“รีบไปล้างมือแล้วมากินข้าวกัน” อาจารย์แม่หนานเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“น้ำมาแล้ว น้ำมาแล้ว!” กู้เสี่ยวซุ่นรีบเดินเข้ามาพร้อมกับอ่างใส่น้ำใบหนึ่ง
หลังล้างมือเสร็จ กู้เจียวก็เอ่ยขึ้น “ข้าขอไปดูอาการของอาเหยี่ยนก่อน”
“ได้สิ” อาจารย์แม่หนานยิ้มตอบ
กู้เหยี่ยนเหนื่อยล้าหลังจากดูการแข่งมาทั้งวัน ดังนั้นเขาจึงหลับไปหลังจากกลับมาถึงที่เรือน กู้เจียวแตะหน้าผากของเขาและวัดชีพจร หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจึงเดินกลับไปหาทุกคน
“ข้าดองหัวไชเท้าไว้ด้วย ถ้าวันไหนเข้าเมืองก็เอาไปให้ลิ่วหลังกับจิ้งคงด้วยนะ ข้าใช้น้ำมันพืช จิ้งคงทานได้”
“ขอบคุณอาจารย์แม่หนาน” กู้เจียวเอ่ย
หลังทานอาหารเสร็จ กู้เจียวก็ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเตรียมตัวเข้านอน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อย่าว่าแต่กู้เหยี่ยนคนเดียวที่เหนื่อยเลย วันนี้นางเองก็ล้าเช่นกัน พอหมอนถึงหัวก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราในทันที
คืนนี้ กู้เจียวฝันอีกแล้ว
สถานที่คราวนี้ไม่ใช่จวนขนาดใหญ่ ไม่ใช่ถนนพลุ่งพล่าน แต่เป็นบริเวณหลังเขาลูกหนึ่ง
กู้เจียวเจอกับท่านกั๋วกงในร่างชายหนุ่มอีกครั้ง
แม้จะเห็นแค่เงา แต่กู้เจียวกลับจำได้ในทันทีว่าเป็นเขา
ท่านกั๋วกงไม่ได้มาคนเดียว แต่กำลังจูงมือเด็กหญิงตัวเล็กๆ อยู่
เด็กหญิงคนนั้นกำลังจูงม้าแคระที่มีขนสีพุทราแดง
เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นสุสานที่หลุมศพไม่มีชื่อสลักบนป้ายหลุมซ้อนกันอยู่หลายสิบหลุม
บรรยากาศเริ่มอึมครึม ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา เสียงหวูดของลมดังขึ้นทั้งสี่ทิศ
“อินอิน ทำความเคารพท่านตาและท่านลุงทั้งหลายสิ ตอนที่เจ้าลืมตาดูโลก ทุกคนในที่นี้ต่างก็เคยอุ้มเจ้า แถมท่านลุงใหญ่เป็นคนตั้งชื่อให้เจ้าด้วยนะ พวกเขาเอ็นดูเจ้ามากเชียวล่ะ” ท่านกั๋วกงเอ่ยกับเด็กหญิง
“เหตุใดถึงไม่สลักชื่อไว้หรือท่านพ่อ” เด็กหญิงถามขึ้นพร้อมกับมองไปที่ป้ายไร้ชื่อ
กั๋วกงให้คำตอบ “เพราะว่าเขียนไม่ได้น่ะสิ”
เด็กหญิงยังคงสงสัย “เพราะอะไรกัน พวกเขาทำชื่อหล่นหายรึ”
ท่านกั๋วกงถอนหายใจ ก่อนจะตอบ “นั่นสินะ ชื่อของพวกเขาหล่นหายไป อินอินช่วยพ่อตามหาชื่อของท่านตาและพวกท่านลุงกลับมาให้พ่อได้หรือไม่”
เด็กหญิงตอบกลับ “ได้เลย ถ้าเจอแล้ว ข้าจะมาสลักชื่อให้พวกเขาเอง!”
ท่านกั๋วกงในวัยหนุ่มมองออกไปยังที่ที่แสนไกล “ดีมากลูก มาสลักชื่อของพวกเขาให้ได้นะ ทุกคนจะได้รู้ว่าร่างที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินนี้คือบรรพบุรุษของเซวียนหยวน ผู้พิทักษ์แผ่นดินแคว้นเยี่ยน”
…
กู้เจียวตื่นขึ้นกลางดึก และเป็นอีกครั้งที่ลืมภาพฝัน แต่คราวนี้กู้เจียวพอจะจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง ทั้งท่านกั๋วกง และหลุมศพไร้ชื่อราวสิบกว่าหลุม
กู้เจียวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงได้ฝันเช่นนี้
ทุกอย่างแปลกไปหมด ทั้งหลุมศพ ทั้งท่านกั๋วกง กลางวันเพิ่งเจอเขาอยู่หมาดๆ พอตกกลางคืนกลับฝันถึงเขาอีกครั้ง
คงไม่ใช่เพราะนางเห็นว่าท่านหน้าตาดีเลยเก็บมาฝันอยู่บ่อยๆ หรอกนะ
กู้เจียวขยี้ตาตัวเองพลางพูดพึมพำ “นี่เรากำลัง…นอกใจสามีอยู่รึเปล่า”
…
ณ จวนกั๋วกง ไฟทุกห้องถูกจุดสว่างไสว เหล่าบ่าวไพร่ต่างกำลังง่วนกับการทำงาน
ฮูหยินรองเองก็เช่นกัน
“ยาที่แม่นางมู่ให้ตุ๋นล่ะ เสร็จแล้วหรือยัง”
“แล้วข้าวต้มของใต้เท้ารองล่ะ”
“เอากระดาษเงินมาให้ข้า เดี๋ยวข้าเอาไปเผาเอง!”
ท่านกั๋วกงป่วยไข้ก็ยังไม่ลด งานท้ายเรือนจึงวุ่นวายเล็กน้อย แม้ว่าจะมีมู่หรูซินมาช่วยดูอาการให้ก็จริง กระนั้น ฮูหยินรองยังคงแอบหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เอากระดาษเงินกระดาษทองไปเผาให้กับบรรพบุรุษและขอให้พวกเขาช่วยคุ้มครองพี่ใหญ่ให้แคล้วคลาดปลอดภัย
ขณะเดียวกัน ใต้เท้ารองจิ่งก็อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเข้าไปหาพี่ใหญ่ก็ไม่กล้า แต่จะทิ้งไว้แบบนี้ก็ไม่ได้
ที่พี่ใหญ่เป็นแบบนี้จะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเขา
เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างทางกลับ ใต้เท้ารองจิ่งได้เจอกับขบวนนางโลมเดินอยู่บนถนน เขาจึง… ยืนมองอยู่พักใหญ่ ส่งผลให้พวกเขาเจอกับพายุฝนและกลับมาถึงจวนล่าช้ากว่าที่ควร
ด้วยความที่ใต้เท้ารองจิ่งมีร่างกายที่แข็งแรง จึงทนต่อหวัดได้ แต่พี่ใหญ่นี่สิ
“ความผิดของท่านทั้งนั้น!” ฮูหยินรองถลึงตาใส่สามีของตัวเอง
“ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง เรื่องนี้ข้าผิดเองจริงๆ ” ใต้เท้ารองรับผิดแต่โดยดี
เขาคาดไม่ถึงว่าฝนจะตกหนักแบบนี้ หากรู้เร็วกว่านี้ คงไม่หยุดดูขบวนนางโลมแต่แรก!
“ข้าวต้มทำเสร็จแล้ว ไปกินก่อนเถอะแล้วค่อยมาเฝ้าพี่ใหญ่” ฮูหยินรองโกรธเขาก็จริง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกัน
ใต้เท้ารองจิ่งถอนหายใจ “ข้ากินไม่ลง ข้าจะอยู่ที่นี่ รอพี่ใหญ่หายดีก่อนข้าถึงจะไป”
ฮูหยินรองโต้กลับ “ไปเถอะ ท่านช่วยอะไรแม่นางมู่แทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
ใต้เท้ารองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “เช่นนั้น… ข้าไปขอขมาบรรพบุรุษดีกว่า”
เอ่ยจบก็เดินออกไป
ฮูหยินรองมองตามสามีของตัวเองที่เดินออกไปพร้อมกับส่ายหัวอย่างเหลืออด
ณ ห้องพักของกั๋วกง มู่หรูซินกำลังทำการรักษาท่านกั๋วกงอยู่
นางไม่ชอบให้คนนอกมาเฝ้าดูตอนที่กำลังรักษาคนไข้ ในห้องนี้นอกจากนางแล้ว ยังมีสาวใช้คนสนิทอีกคนที่มาจากแคว้นเฉินเหมือนกัน
สาวใช้มีความรู้เรื่องยาอยู่บ้าง นอกจากงานรับใช้ทั่วไปแล้ว สาวใช้คนนี้ก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยได้อีกด้วย
“หยิบเข็มหัวแบนมาที” มู่หรูซินยื่นมือให้สาวใช้
แล้วสาวใช้ก็ยื่นเข็มใหม่เอี่ยมให้กับนายหญิง
เมื่อเห็นว่าไข้ยังไม่ลดลง มู่หรูซินจึงตัดสินใจใช้เข็มสะกิดลงไปที่จุดต้าฉุยซึ่งอยู่บริเวณท้ายทอย จนมีเลือดซึมออกมา
เสร็จแล้วก็ทำความสะอาดรอยแผล แล้วให้กั๋วกงนอนราบ
“เจ้าไปเร่งยาที”
“เมื่อครู่ข้าไปตามให้แล้ว พวกเขาบอกว่าใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
มู่หรูซินไม่ได้เอ่ยอะไร
เรียกให้นางออกมาทำงานกลางดึกแบบนี้ยิ่งรู้สึกง่วงกว่าเดิม
ขณะที่นางกำลังจะดื่มชาเพื่อให้ตื่นตัว ก็บังเอิญได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
มู่หรูซินขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปทางกั๋วกงที่นอนอยู่
แล้วค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ ราวกับกำลังดักฟัง
“แม่นาง เป็นเสียงของท่านกั๋วกงหรือเจ้าคะ”
“ชู่ว”
มู่หรูซินยกนิ้วชี้แนบปากเพื่อบอกให้บ่าวเงียบเสียงลง
หลังจากตั้งใจฟังอยู่พักใหญ่ ก็หันไปเอ่ยกับสาวใช้ “เหมือนเขากำลังพูดว่า อินอิน”
มู่หรูซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวัดชีพจรให้เขาอีกรอบรวมถึงวัดอุณหภูมิร่างกายของเขา
ทันทีที่วางนิ้วลงบนข้อมือของเขา จู่ๆ ร่างกายของกั๋วกงก็เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการคว้ามือของมู่หรูซินไว้
“แม่นาง!” สาวใช้ร้องเสียงหลง
“อินอิน…อินอิน…” กั๋วกงเอ่ยชื่อนั้นออกมาอีกครั้ง
“ยาต้มเสร็จแล้ว…” ขณะเดียวกัน ฮูหยินรองเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถือยาต้มไว้ในมือ พอเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็พลันหยุดฝีเท้าลงและนิ่งไปทันที
“ฮูหยินรอง” มู่หรูซินเอ่ยทักทายฮูหยินรองก่อนจะรีบชักมือกลับ
ที่จริงแล้วหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ากั๋วกงเป็นฝ่ายปล่อยมือก่อน
เขารู้ตัวแล้วว่าเขาจับมือผิดคน
แต่ฮูหยินรองคงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยแบบนี้
“อาการของกั๋วกง…เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ฮูหยินรองเอ่ยถามขึ้นหลังจากยืนอึ้งอยู่พักหนึ่ง
“ข้าทำการฝังเข็มให้ท่านกั๋วกงแล้ว ต้องรอดูอาการอีกที” มู่หรูซินตอบ
“เอ่อ” ฮูหยินรองเม้มปากพร้อมกับจ้องไปที่มือของกั๋วกง
มู่หรูซินเห็นดังนั้นจึงอธิบาย “เมื่อครู่นี้ ข้าวัดชีพจรให้ท่านกั๋วกง”
จากนั้นสาวใช้ก็อธิบายต่อ “ท่านกั๋วกงคว้ามือของแม่นางไว้เจ้าค่ะ! แล้วเอาแต่เอ่ยชื่ออินอิน! อินอินคือใครหรือเจ้าคะ หรือท่านกั๋วกงกำลังเข้าใจผิดคิดว่า…”
“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” มู่หรูซินหันไปดุบ่าว
สาวใช้จึงยอมเงียบลง
ฮูหยินรองหันไปมองกั๋วกงอีกครั้งแล้วหันกลับมามองที่มู่หรูซินราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เมื่อครู่นี้ ท่านกั๋วกง เรียกเจ้าว่า…อินอิน”
มู่หรูซินขมวดคิ้วแน่น และพยักหน้าให้
ในห้องนี้นอกจากกั๋วกงแล้วก็มีแค่นางกับสาวใช้แค่สองคน ท่านกั๋วกงคว้ามือของนางและเรียกนางแบบนั้นจริงๆ