บทที่ 868 พลังที่ไม่อาจหยั่งถึง
ที่ทางเข้า ‘ห้องหนังสือส่วนพระองค์’ ขันทีตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ฝ่าบาท ข้าพระองค์พาเขามาแล้วพะย่ะค่ะ!” เขากล่าว
เสียงที่ทรงอำนาจดังขึ้นจากภายใน “ให้เขาเข้ามา!”
ขันทีตัวเล็กผลักประตูเปิดและผายมือให้ซูอันเข้าไป
แม้ว่าเขาจะคิดวางแผนมาแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริงซูอันยังค่อนข้างประหม่าและหัวใจเต้นแรง แม้แต่ร่างกายก็สั่นเทาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเขาขี้ขลาด แต่ร่างกายตอบสนองตามสัญชาตญาณต่อความรู้สึกอันตราย เขากำลังเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังที่สุดในโลก หากแผนของเขาล้มเหลว ความตายอาจเป็นสิ่งเดียวที่รออยู่!
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่เขาเคยใช้เวลาหลายสิบปีในฐานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซาง เขาก็เริ่มสงบใจได้บ้างก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินเข้าไป
ขันทีตัวเล็กปิดประตูตามหลังเสียงดังหนักแน่น
ซูอันรู้สึกหายใจไม่ออกทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง ราวกับว่าการหายใจง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องยากกว่าปกติมาก
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้ว่านี่คือแรงกดดันที่เกิดขึ้นต่อหน้าผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง แม้จะดูดซับการบ่มเพาะของแม่ชียุงและพัฒนาจนแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก แต่ขณะนี้เขาก็ยังคงรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
เขาไม่เคยเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลเช่นนี้มาก่อน ผู้เฒ่ามี่ ขันทีเว่ยต้าน มังกรยักษ์ แม่ชียุง คู่ต่อสู้เหล่านี้หรือคนอื่น ๆ ที่เขาเคยเผชิญหน้าทั้งหมด ไม่มีแรงกดดันที่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่ตัวเองกำลังประสบอยู่ตอนนี้ คนเดียวที่สามารถเทียบเคียงได้อยู่บ้างคือ หมี่ลี่ เมื่อตอนที่เขาพบนางครั้งแรก แต่ย้อนกลับไปในตอนนั้นเขายังมีเส้นใยสุขสันต์ ดังนั้นจึงไม่กังวลมากนัก
ตอนนี้เขาตัวสั่นจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ ทุกเซลล์ในร่างกายดูเหมือนจะกรีดร้องว่าการต่อต้านทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์และควรยอมรับชะตากรรมโดยไม่ต้องดิ้นรนใด ๆ
แต่เมื่อนึกถึงครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับเศษเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของฉินซีหวง ซึ่งเขาต้องเผชิญในมิติลับหยกจรัสหรือจักรพรรดิอู่เกิงแห่งราชวงศ์ซาง ทั้งหมดนั้นเขาก็ผ่านมาได้อย่างราบรื่น ดังนั้นครั้งนี้เขาจะยอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไร?
ความคิดเหล่านี้ช่วยให้เขาเปลี่ยนมุมมองและความกดดันก็ลดลงอีกครั้งทันที
มีเสียงแปลกใจดังขึ้นอยู่ไม่ไกล “หืม? เจ้าเป็นคนที่ค่อนข้างน่าสนใจ”
ซูอันมองตามทิศที่มาของเสียง เขาเห็นชายร่างสูงกำยำสวมชุดมังกรยืนอยู่ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ชายคนนั้นมองมาที่เขา ใบหน้าของอีกฝ่ายเรียบนิ่งราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก…
ชัดเจนว่านี่คือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวผู้ยิ่งใหญ่ เสื้อผ้าลายมังกรเช่นนี้สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย แต่แรงกดดันที่ปล่อยออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเลียนแบบได้อย่างแน่นอน!
ซูอันรู้ว่าจักรพรรดิมีนามว่า ‘จ้าวฮั่น’ เรื่องนี้ต้องขอบคุณฉู่ชูเหยียน
ซูอันต้องการดูว่าผู้บ่มเพาะหมายเลขหนึ่งเป็นคำเรียกที่เกินจริงหรือไม่? เมื่อพวกเขาสบตากัน สิ่งเดียวที่เขาเห็นคือดวงตาที่แหลมคมและทะลุทะลวงของจักรพรรดิ ซึ่งไม่เหมือนกับจักรพรรดิอีกสองพระองค์ที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านี้…
แต่ทว่าชายหนุ่มพอเข้าใจในเหตุผลที่เขาไม่ได้รู้สึกกดดันเท่าไรเมื่อตอนที่พบจักรพรรดิทั้งสององค์ก่อน จักรพรรดิองค์แรกที่เขาพบนั้นเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณ ส่วนจักรพรรดิอู่เกิง เขาเพิ่งพบอีกฝ่ายหลังจากที่เขาผ่านการทดสอบแล้ว ดังนั้นอีกฝ่ายจึงปฏิบัติต่อเขาโดยไม่ได้กดดัน
อย่างไรก็ตาม คนตรงหน้าตัวเองแตกต่างออกไป ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนจะแทงทะลุเข้ามาในจิตวิญญาณของเขา ทะลวงการป้องกันทั้งหมดโดยตรงในทันที และมองเห็นความลับทั้งหมดของเขา
ซูอันรู้ว่านี่เป็นเพียงการคิดไปเอง แต่เขายังคงไม่สามารถหยุดคิดได้
เมื่อจ้องมองไปที่เสื้อคลุมมังกรและมือที่ถือพู่กันอยู่ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิกำลังเขียนอะไรบางอย่าง เหตุใดบุคคลสำคัญเหล่านี้จึงชอบโอ้อวดการคัดลายมือกันหมด?
จักรพรรดิพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความองอาจและความเหนือกว่า “เจ้าแตกต่างจากคนอื่นอย่างแท้จริง คนอื่นจะสั่นกลัวไม่อาจควบคุมจิตใจตัวเองได้ทันทีที่พบเห็นข้าครั้งแรก แต่เจ้ากลับยังสามารถปล่อยจิตใจให้ล่องลอยคิดจินตนาการไปไกลได้”
ซูอันตกตะลึง เขารู้ความคิดของข้า?
จักรพรรดิองค์นี้สามารถอ่านใจได้ด้วยหรือ?
แม้จะคิดเช่นนี้เขาก็ยังคงตอบว่า “กระหม่อมจะพูดอย่างไรดี…คนเช่นกระหม่อมที่ไต่เต้าจากจุดที่ต่ำสุดมายืนอยู่ ณ จุดนี้ คนที่ชีวิตหาค่าอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุดย่อมถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ พะย่ะค่ะ!”
“แม้ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าแสดงท่าทีเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากล้าประพฤติตัวตามสบายต่อหน้ารัชทายาทเช่นกัน” จักรพรรดิลดพู่กันลง ถ้ามีใครยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขาจะสังเกตเห็นว่าเขาเขียนคำว่า ‘อมตะ’ ตามด้วยจุดสามจุด เห็นได้ชัดว่าเขาเต็มไปด้วยความลังเลใจและไม่แน่ใจในขณะที่เขียน
แน่นอนว่าในฐานะจักรพรรดิ เขาไม่เคยแสดงตัวตนด้านนี้ให้ใครเห็น
ซูอันรู้สึกประหลาดใจกับคำกล่าวของจักรพรรดิ “ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนั้นแล้วหรือพะย่ะค่ะ?”
เวลาผ่านไปเพียงชั่วขณะตั้งแต่ข้าแยกกับรัชทายาท แต่ข่าวกลับถึงหูองค์จักรพรรดิแล้ว เป็นไปได้อย่างไร?
ราวกับคาดเดาความคิดของเขาได้ จักรพรรดิเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “แน่นอนว่าข้ารู้ มันไม่ง่ายหรอกที่จะปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นในวังนี้จากหูตาของข้า”
ซูอันยังคงเงียบ เขาไม่รู้ว่าทำไมจักรพรรดิถึงบอกเรื่องทั้งหมดนี้ และตัวเองยังคงครุ่นคิดว่าจะให้จักรพรรดิผู้นี้สวมหมวกแห่งการให้อภัยได้อย่างไร?
แผนแรกคือใช้จ้าววายุพุ่งไปวางหมวกบนหัวของเขา หากทำสำเร็จเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมดก็จะจบสิ้นไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้พบกับจักรพรรดิตัวจริงเสียงจริง แผนนี้จึงหมดหนทางที่จะเป็นไปได้!
แม้อีกฝ่ายจะยืนอยู่ไม่ไกล แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าระยะห่างแท้จริงมันไม่ต่างจากเหวที่ไม่มีที่สิ้นสุด เขาไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ
จากการบ่มเพาะของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่มีโอกาสเข้าใกล้จักรพรรดิ เว้นแต่อีกฝ่ายจะอนุญาต
จักรพรรดิจ้องมองเขาเป็นเวลานาน “ถ้าเราเคยพบกันมาก่อน ข้าอาจจะชื่นชมความสงบและความมั่นคงของจิตใจเจ้า อันที่จริงข้าอาจจะพยายามดึงเจ้าเข้ามาอยู่ใต้บัญชาข้า แต่ตอนนี้…คนอย่างเจ้าคือคนประเภทที่ไม่มีวันยอมจำนน และในอนาคต รัชทายาทยิ่งไม่สามารถทำให้เจ้าคุกเข่าได้แน่นอน ในฐานะจักรพรรดิ ข้าไม่สามารถปล่อยให้ตัวอันตรายเช่นเจ้ามีชีวิตอยู่ได้ และเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหากข้าจะสั่งประหารชีวิตเจ้าในตอนนี้เพื่อขจัดภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตต่อรัชทายาทของข้า”
ซูอันไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
เฮ้ย! นี่เจ้าอย่าเล่นทางลัดตัดจบเอาง่าย ๆ แบบนี้สิโว้ย! ยังไม่ทันได้คุยกันเท่าไรเลย แต่เจ้าจะประหารข้าแล้วเนี่ยนะ? แล้วแบบนี้ข้าควรจะตอบอย่างไร!?
เหล่าทหารพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซูอันต้องการหลบเลี่ยง แต่เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึกภายใต้สายตาของจักรพรรดิ