บทที่ 867 เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ
ซูอันมองไปที่ปี่หลิงหลงก่อน จากนั้นก็เบือนสายตาไปที่พระสนมไป่ ทั้งสองเป็นหญิงงามที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง
แม้ว่าองค์หญิงรัชทายาทจะมีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่นางก็ก้าวร้าวเกินไป ในทางตรงกันข้ามพระสนมไป่กลับดูอ่อนโยนและสง่างามมากกว่า อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะสร้างความประทับใจที่ดีให้กับคู่สนทนามากกว่า
แต่ไม่ว่าในกรณีใด ทั้งสองดูเหมือนจะเกลียดชังกัน เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างพวกนาง
รัชทายาทมีความสุขราวกับลูกสุนัขได้ดื่มนมแม่ทันที “สนมไป่ เจ้ามาแล้ว!”
พระสนมไป่ย่อกายอย่างสง่างาม การเคลื่อนไหวของนางไหลลื่นราวกับสายน้ำที่ไหลริน “องค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องเรียกบ่าวผู้น้อยเป็นทางการเช่นนี้ เรียกข้าว่าโหรวเซวี่ยก็ได้”
ชื่อของนางคือไป่โหรวเซวี่ย
เดี๋ยวก่อน ‘บ่าวผู้น้อย’?
ซูอันตระหนักได้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นพระสนมที่ฉู่ชูเหยียนเคยเล่าให้เขาฟังว่าจักรพรรดิได้มอบนางให้กับรัชทายาท ซึ่งหลังจากนั้นนางก็ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
ไม่น่าแปลกใจที่นางเรียกองค์หญิงรัชทายาทว่า ‘น้องหลิงหลง’ ก่อนหน้านี้ และถึงแม้ว่าปี่หลิงหลงจะไม่มีความสุขอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องควบคุมตัวเองและรักษาหน้ากากแห่งความสุภาพเอาไว้
ไป่โหรวเซวี่ยนี้ดูมีอายุมากกว่าปี่หลิงหลงเล็กน้อย องค์หญิงรัชทายาทยังดูเหมือนหญิงสาวแรกรุ่น แต่พระสนมคนนี้มีบุคลิกเหมือนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทั่ว ๆ ไป
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าอกของนางโดยไม่รู้ตัว ฉู่ชูเหยียนบอกว่านางคลอดลูกแล้ว…นางยังคงให้นมลูกอยู่หรือเปล่า?
ใบหน้าของไป่โหรวเซวี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับสังเกตเห็นการจ้องมองของซูอัน อย่างไรก็ตามนางไม่ได้เอ่ยอะไรและหันไปทางองค์หญิงรัชทายาทแทน “ข้าได้ยินเสียงของน้องหลิงหลง ดังนั้นข้าจึงมาดูว่าใครกันที่ทำให้เจ้าโกรธ?”
ปี่หลิงหลงรู้สึกรำคาญ เจ้ากำลังเสียดสีว่าข้าทำเสียงดัง?
“ข้าแค่อยากจะสอนบทเรียนให้ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้” นางพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พระสนมไป่ระคายหู”
อีกฝ่ายเรียกนางว่าน้องเพราะแก่กว่า แต่ด้วยสถานะพิเศษของนาง คำพูดเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้นับว่าเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม นางไม่เต็มใจที่จะเรียกอีกฝ่ายว่าพี่สาวอย่างแน่นอน นางคือองค์หญิงรัชทายาท ทำไมนางถึงต้องเรียกพระสนมว่า ‘พี่สาว’?
“โอ้? เขาคือคนที่เจ้าเรียกว่า ‘คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง’ อย่างนั้นเหรอ?” ไป่โหรวเซวี่ยมองซูอันอย่างอยากรู้อยากเห็น
ซูอันรู้สึกเหมือนถูกจับได้ว่ากำลังแสดงละครฉากใหญ่
เขามองไปที่จ้าวรุ่ยจื่อ โชคของเจ้าอ้วนในเรื่องผู้หญิงไม่ได้แย่นัก หญิงทั้งสองนี้มีความงดงามอย่างยิ่ง
ในขณะนี้จ้าวรุ่ยจื่อกำลังยิ้มเหมือนคนปัญญาอ่อน
ไป่โหรวเซวี่ยเอ่ยกับซูอันอีกครั้ง “ดูจากการแต่งกายของเจ้า เจ้าไม่ใช่คนในวัง เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
ปี่หลิงหลงเริ่มตื่นตระหนก ที่นางพูดเป็นความจริง!
นี่เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด แต่ท่าทางที่อวดดีของชายคนนี้ได้ทำให้นางขุ่นเคืองและทำให้ปัญญาที่เฉียบแหลมตามปกติของนางถูกบดบังจนไม่ทันสังเกต
ซูอันตอบว่า “จูเซี่ยฉือซินพาข้าเข้าวัง หลังจากนั้นหลี่กงกงก็พาข้ามารอในที่ที่ไม่ไกลจากตรงนี้พะย่ะค่ะ”
ไป่โหรวเซวี่ยนึกขึ้นได้ในทันที นี่คือคนที่ครอบครองวิชาอมตะที่ใคร ๆ ต่างก็ปรารถนา!
ปี่หลิงหลงมองเขาด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดนางก็จำได้ว่าทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นเคยนัก
ปี่หลิงหลงพ่นลมหายใจและพูดกับจ้าวรุ่ยจื่อว่า “องค์รัชทายาทกลับกันเถอะ ท่านยังร่ำเรียนไม่จบในช่วงเช้า”
จ้าวรุ่ยจื่อเริ่มตื่นตระหนก “แต่ข้าต้องการเล่นกับซูอันมากกว่านี้! มีหลายอย่างที่ข้าอยาก…”
ไป่หลิงหลงเพียงแค่เหล่ตามอง ทำให้เขากลัวมากจนกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป
ไป่โหรวเซวี่ยเม้มปากและพูดว่า “น้องหลิงหลง ทำไมเจ้าถึงรีบร้อนที่จะจากไป?”
“ข้าต้องพาองค์รัชทายาทกลับไปเรียน” ปี่หลิงหลงตอบอย่างเฉยเมย “ข้าไม่สามารถละเลยเรื่องของเขาได้”
ฮึ่ม! ซูอันผู้นี้ถูกเรียกตัวไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ แต่นางเพิ่งสั่งให้เฆี่ยนเขาจนตาย!
หากเรื่องนี้รู้ถึงพระเนตรพระกรรณ นางไม่อยากจะคิดว่าองค์จักรพรรดิจะมองนางอย่างไรบ้าง นางรู้ว่าทำอะไรกับซูอันไม่ได้แล้ว ทำไมนางถึงจะโง่เขลาอยู่ที่นี่ต่อไป?
นางเหลือบมองนางกำนัลของนาง นางกำนัลหรงโม่สั่งขันทีให้พารัชทายาทออกไปอย่างรวดเร็ว จ้าวรุ่ยจื่อหันศีรษะมามองด้านหลังอย่างไม่แน่ใจว่าจะเหลือบมองพระสนมไป่ผู้อ่อนโยนเป็นครั้งสุดท้ายหรือเพราะยังไม่ต้องการจะลาจากซูอัน
เมื่อพวกเขาจากไป ซูอันโค้งกายประสานมือคารวะ “พระสนมไป่ ขอบพระทัยที่ช่วยข้าไว้”
ไป่โหรวเซวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของนาง นางไม่ตอบอะไร เพียงแต่หันหลังเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
ซูอันรู้สึกหดหู่ ผู้หญิงทุกคนในวังหลังนี้ล้วนหยิ่งผยองกันไปหมดเลยงั้นหรือ?
ในตอนแรกองค์หญิงรัชทายาทผู้งดงามนั้นก็ไม่ยอมพูดกับเขาและใช้นางกำนัลของนางเป็นกระบอกเสียง นางเพิ่งเปิดปากพูดหลังจากที่ซูอันทำให้นางรำคาญมากพอจนสูญเสียการควบคุมตัวเอง
ตอนนี้ ปรากฏว่าพระสนมไป่ผู้งดงามก็เย่อหยิ่งจนไม่เต็มใจที่จะพูดกับเขาแม้แต่คำเดียวเช่นกัน…
มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับเป็นนักโทษคดีข่มขืน!
แน่นอน ซูอันรู้ว่าแม้แต่ผู้หญิงในตระกูลธรรมดาจะไม่มีวันคุยกับผู้ชายแปลกหน้าโดยไม่มีเหตุผล นับประสาอะไรกับสตรีในวังเหล่านี้ พวกนางแปะป้ายผู้ชายทั่วไปว่า ‘คนนอก’ ช่วงเวลาแห่งความประมาทเพียงครู่เดียวอาจนำไปสู่ข่าวลือว่าพวกนางแอบพบปะกับชายอื่นในทางชู้สาว ซึ่งเป็นหายนะถึงชีวิตของพวกนาง
ชาวเมืองจันทร์กระจ่างไม่เคร่งครัดกับเรื่องนี้นักเพราะเป็นเมืองการค้า แต่เมืองอื่นเข้มงวดกับเรื่องแบบนี้มาก
ยิ่งคิดซูอันก็ยิ่งเริ่มเข้าใจมากขึ้น รัชทายาทนั้นบกพร่องทางสติปัญญาอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงยิ่งไม่แปลกที่ผู้หญิงของพระองค์จะต้องใส่ใจกับข้อจำกัดเหล่านี้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย
ความคิดนี้ทำให้เขาถอนหายใจ แม้ว่ารัชทายาทองค์นี้จะบกพร่องทางสติปัญญา แต่พระองค์ก็โชคดีมากทีเดียว
ทันใดนั้นก็มีขันทีตัวเล็กคนหนึ่งวิ่งมาหาซูอัน “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ทุกคนตามหาเจ้าจนวุ่นวายไปหมด! รีบตามข้ามา! ฝ่าบาทเรียกเจ้าให้เข้าเฝ้าแล้ว!”
ซูอันขมวดคิ้วและสงสัยในทันที “ขันทีหลี่อยู่ที่ไหน?”
ขันทีตัวเล็กตอบโดยไม่รู้ตัวว่า “ขันทีหลี่ดูเหมือนจะทำอะไรพลาดและองค์จักรพรรดิ…”
กลางประโยค ขันทีตัวเล็กก็ตัดบทอย่างห้วน ๆ “อย่าถามเยอะ! รีบเดิน!”
ซูอันรู้สึกขบขันในขณะที่เดินตามขันทีตัวเล็กไปยังห้องที่เงียบสงบ เมื่อเห็นคำว่า ‘ห้องหนังสือส่วนพระองค์’ บนป้ายโลหะที่ห้อยอยู่เหนือทางเข้า เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าจะดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังระแวงว่าขันทีตัวเล็กคนนี้กำลังนำเขาไปสู่กับดักหรือเปล่า? ดูเหมือนว่าความสงสัยของเขาจะไม่สมเหตุสมผล
ที่นี่คือวังชั้นในซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ หากเกิดปัญหาขึ้นที่นี่ จักรพรรดิคงไร้ความสามารถเกินไป