ภาค-5 ตอนที่ 56 ยกทัพตีด่านหูกวน (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เสียงกลไกกับสายหน้าไม้ดังขึ้นต่อเนื่อง ลูกศรดำทะมึนห้าถึงหกสิบดอกพุ่งเข้าใส่ทหารต้ายง แทบทุกดอกล้วนปักทะลุม้าศึก หรือร่างของทหารม้าต้ายง กำแพงเมืองอันคับแคบทำให้ทหารม้ามิอาจกระจายแถว เบื้องหลังกองทหารเป่ยฮั่นที่ถอยหลีกปรากฏหน้าไม้เสินปี้สามสิบกว่าตัว

หน้าไม้ชนิดนี้ใช้สำหรับป้องกันเมือง แต่ละตัวยาวสี่ฉื่อ ครั้งหนึ่งยิงลูกศรได้สองดอก แต่ต้องให้พลทหารสามนายร่วมมือกันใช้ เพราะหน้าไม้ชนิดนี้กำลังมากยิ่งนัก ทะลุผ่านเกราะเหล็กในระยะร้อยจั้งได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นสุดยอดศาสตราอันร้ายกาจที่สุดในการข่มขวัญศัตรู แต่เพราะมันเสียหายง่าย ดังนั้นหลิววั่นลี่จึงอดทนมิใช้มาตลอด หวังว่าในช่วงเวลาวิกฤตที่สุดจะนำมาใช้โดยที่ศัตรูไม่คาดคิดเพื่อกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยามนี้เป็นห้วงเวลาตัดสินความเป็นความตายแล้ว ดังนั้นหลิววั่นลี่จึงปล่อยให้ทหารม้าทัพต้ายงขึ้นมาบนกำแพงด่าน จากนั้นลอบสั่งให้พลทหารหน้าไม้มา

เวลานี้หน้าไม้ได้สำแดงพลังอันล้ำเลิศ หลังจากกระหน่ำยิงสามระลอก ทัพต้ายงก็บาดเจ็บหนักหนาสาหัส ทหารเป่ยฮั่นจึงฉวยโอกาสโอบล้อม ราดน้ำมันเดือดพล่านลงบนหอรบเคลื่อนที่ สกัดทหารเจิ้นโจวที่ตามขึ้นมาให้ล่าถอย ในที่สุดหอรบก็มอดไหม้มลายสิ้นท่ามกลางกองเพลิง ด้วยเหตุนี้กองทัพต้ายงหลายหมื่นนายใต้กำแพงเมืองจึงได้แต่เบิ่งตามองทหารม้าที่บุกขึ้นกำแพงด่านหูกวนถูกทหารเป่ยฮั่นล้อมเข่นฆ่าอย่างง่ายดาย ในอกเจ็บปวดแทบขาดใจโดยแท้

เสียงฆ่าฟันบนกำแพงด่านหูกวนค่อยๆ เบาลง ทันใดนั้นเสียงแหบพร่ากังวานเสียงหนึ่งก็พลันขับลำนำเหนือกำแพงด่าน “มือกำหอกกายห่มเกราะ รถศึกประจัญคมดาบฟาดฟัน ผืนธงบังตะวันอริราชดุจเมฆา ห่าศรพร่างพรมทแกล้วบุกฮึกหาญ ทัพพ่ายแหลกลาญรี้พลแตกทลาย อาชาซ้ายสิ้นใจอาชาขวาต้องศาสตรา สองล้อจมพสุธาสี่อาชาถูกจับล่าม กำไม้งามกระหน่ำตีกลองศึก สวรรค์พิโรธ…” เพิ่งร้องถึงตรงนี้ เสียงเพลงพลันขาดหาย กองทัพต้ายงใต้กำแพงเมืองต่างร่ำไห้

จิงฉือทิ้งไม้กลองก้าวพรวดลงจากแท่น เขาคว้าอาชาศึกของตน แม้แต่ชุดเกราะก็ไม่สวม ชักบังเหียนห้อตะบึงสู่กำแพงด่านหูกวน ดวงตาที่จับจ้องบนกำแพงด่านน้ำตาคลอ เวลานี้กองทัพเจิ้นโจวที่บุกตีกำแพงด่านอย่างคอตกหดหู่อยู่ค่อยๆ ถอยร่นออกมา ทันใดนั้นจิงฉือพลันแหงนหน้ามองฟ้าร้ องเพลงเสียงดังกึกก้อง “สวรรค์พิโรธทวยเทพกริ้วโกรธา เข่นฆ่าผลาญชีวาทิ้งซากศพเกลื่อนท้องนา คนมาศึกมิกลับคนจากบ้านมิหวน แผ่นดินเวิ้งว้างหนทางยาวไกล พกกระบี่สะพายคันศร แม้นหัวหลุดจากบ่ามิเสียใจ ห้าวหาญชายชัยแกล้วกล้าแท้นา จวบสิ้นชีวายืนหยัดมิให้ข่มเหง ถึงตัวตายเจตจำนงมิมลาย เหลือเพียงวิญญาณคงเป็นวีรบุรุษมิเสื่อมคลาย”

เริ่มแรกกองทัพต้ายงนิ่งอึ้งมองหน้ากัน แต่หลังจากนั้นก็มีแม่ทัพและเหล่าทหารร้องตามขึ้นมาด้วย จากหนึ่งเป็นสิบ สิบเป็นร้อย เสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกึกก้องไปถึงท้องนภา ความฮึกเหิมแฝงความเศร้าโศกปะทุขึ้นในกองทัพต้ายง เสียงเพลงดังขึ้นทุกที ขับขานรอบแล้วรอบเล่า จนกองทัพต้ายงไม่หลงเหลือความหดหู่ระทดท้อจากความพ่ายแพ้อีกต่อไป ความเชื่อมั่นอันร้อนแรงกับไอสังหารผนึกรวมกันกลายเป็นความฮึกเหิมที่มิมีปราการใดทลายมิได้

บทกวี ‘กั๋วซัง (พลีชีพเพื่อมาตุภูมิ)’ บทนี้เป็นเพลงปลุกใจเหล่าทหารที่ทุกคนต่างรู้จัก มิว่าทหารต้ายง หรือทหารเป่ยฮั่นล้วนคุ้นหูจนร้องได้ แม้มิรู้จักอักษรเขียนก็ยังจดจำได้ กองทัพต้ายงใต้กำแพงด่านมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่กองทัพเป่ยฮั่นใจฝ่อ เพียงพริบตาสีหน้าก็หม่นหมองดุจฝุ่นดิน ยามเห็นกองทัพต้ายงฮึกเหิมเช่นนี้แล้วจินตนาการถึงผลลัพธ์หลังพ่ายศึก พวกเขาล้วนอกสั่นขวัญแขวน

หลิววั่นลี่ยืนอยู่บนกำแพงด่าน ฝ่ามือตบลงบนกำแพง ในใจคิดว่าไอ้ตัวบัดซบจิงฉือ ดันมาใช้วิธีการนี้ปลุกขวัญกำลังใจทหารหลังบุกล้มเหลว ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ทอประกายเย็นยะเยือก เอ่ยเสียงเบาว่า “เอาศรมาให้ข้า”

องครักษ์คนสนิทนายหนึ่งส่งคันศรเหล็กของหลิววั่นลี่มาให้ หลิววั่นลี่เป็นยอดฝีมือแห่งการยิงธนู เขายิงธนูหนักห้าต้าน[1] เอาชีวิตคนในระยะห้าร้อยก้าวได้ดั่งหยิบของในกระเป๋า แต่เอวของเขาเคยบาดเจ็บหนัก พละกำลังมิอาจคงอยู่นานนัก ด้วยเหตุนี้จึงมิอาจเข้าสนามรบเองมานานแล้ว ยามนี้เขาเห็นจิงฉือก้าวเข้าสนามรบโดยไร้ชุดเกราะก็คิดจะสังหาร แต่เกรงว่าฝีมือยิงธนูของผู้อื่นจะมิดีเท่าจึงง้างศรด้วยตนเอง

จิงฉือร้องเพลงเสียงกึกก้องจบก็รู้สึกยังไม่สาแก่ใจ ยกมือชี้เหนือกำแพงด่านตวาดด่าเสียงดัง เพลิงโทสะหลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาอยากจะจับแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านหูกวนลงมาถลกหนังกินทั้งเป็น ในตอนนั้นเอง เงาเลือนรางที่ตาเปล่าแทบมองไม่เห็นสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาจิงฉือจากเหนือกำแพงด่านหูกวน

จิงฉือเป็นถึงแม่ทัพผู้เก่งกล้าอันดับหนึ่งอันดับสองแห่งกองทัพต้ายง วิชาขี่ม้ายิงธนูน้อยคนนักจะขันแข่งด้วยได้ แม้ไม่ได้ยินเสียงสายเกาทัณฑ์และยังมองเห็นเงาลูกศรไม่ชัด แต่แทบจะในพริบตาเดียว เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นยามถูกผู้อื่นเล็งเป้า เขาขยับร่างกายตามสัญชาตญาณ สองมือว่างเปล่า มิมีเวลาทันคว้าแหลนอาชา ทำได้เพียงยื่นมือออกไปคว้า

ลูกศรขนขาวลอดผ่านซอกนิ้วมือของเขาราวกับบังเอิญแต่หาบังเอิญไม่แล้วจมลงบนแผ่นอก จิงฉือหงายหลังหน้ามองฟ้า คำรามอย่างเกรี้ยวกราดได้คำหนึ่ง ร่างกายดั่งขุนเขาลูกน้อยก็พลัดตกจากหลังม้า กองทัพต้ายงฝั่งซ้ายและขวาตะโกนโหวกเหวกแย่งกันเข้ามาพาจิงฉือถอยไปด้านหลัง ภายในกองทัพต้ายงมีเสียงสัญญาณถอยทัพดังขึ้นทันที จากนั้นกองทัพต้ายงหลายหมื่นคนก็ถอยกลับไปประหนึ่งน้ำหลาก

หลิววั่นลี่มองกองทัพต้ายงถอยจากไปไกลอย่างแทบไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง แม่ทัพและองครักษ์ข้างกายตะโกนโห่ร้องเสียงดังกระหึ่ม น้ำเสียงปีติยินดียิ่งนัก ทันใดนั้นหลิววั่นลี่พลันรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณบั้นเอว เขายกยิ้มขมขื่นอย่างห้ามไม่ได้ หวนนึกถึงอดีตยามเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญแห่งกองทัพเป่ยฮั่น ยามนี้กลับทำได้เพียงบัญชาการป้องกันเมือง มิอาจเป็นแนวหน้าบุกตีค่ายศัตรู

รองแม่ทัพถือดาบยาวเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา เขาปิติยินดีจนแทบเสียสติ “ท่านแม่ทัพยิงศรล้ำเลิศนัก จิงฉือผู้นั้นเป็นยอดแม่ทัพของกองทัพต้ายง ยิงเขาบาดเจ็บต่อหน้ากองทัพ ไม่เพียงกองทัพต้ายงจะอ่อนกำลังลงมาก แต่เมื่อกองทัพต้ายงสูญเสียแม่ทัพเอก ต่อให้ตีด่านหูกวนแตกก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้พวกเขาอาจถอยทัพก็เป็นได้”

หลิววั่นลี่ยิ้มเศร้า “หากเป็นเช่นนั้นคงดีที่สุด แต่หากข้าเป็นแม่ทัพของกองทัพศัตรู ตีด่านไม่สำเร็จ แม่ทัพเอกก็ถูกยิงบาดเจ็บ ต่อให้ราชสำนักไม่ลงโทษเพราะเรื่องนี้ก็คงอับอายจนยากทานทน พวกเขาต้องไม่สนความสูญเสีย พยายามดีต่านอย่างไม่คำนึงถึงชีวิต หวังจะสร้างความชอบไถ่ถอนความผิดเป็นแน่

เมื่อรู้ชัดว่าจิงฉือผู้นั้นรอดหรือตาย น่ากลัวว่ากองทัพต้ายงคงโหมบุกอีกหน ยามนี้ไพ่ตายของพวกเราถูกผู้อื่นล่วงรู้สิ้นแล้ว เกรงว่าต่อจากนี้ต้านได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง” เสียงที่เขาเอ่ยแผ่วเบายิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ต้องการทำลายความตื่นเต้นดีใจของแม่ทัพและพลทหารใต้บัญชา รองแม่ทัพได้ฟังก็หน้าถอดสี

หลิววั่นลี่ฝืนร่างกายจัดกำลังทหารป้องกันจนเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปยังจวน ภรรยาของเขาเตรียมยาต้มกับน้ำร้อนไว้ด้วยความกังวลอยู่ก่อนแล้ว นางพยุงเขานอนลงบนเตียง จากนั้นทายาบีบนวดให้เขา ผ่านไปพักใหญ่ความเจ็บปวดที่แผลเก่านำมาให้ก็ค่อยๆ ทุเลาลง จนหลิ่ววั่นลี่สะลึมสะลือหลับไป

มิรู้ว่ายามใด หลิววั่นลี่พลันรู้สึกว่ารูจมูกคันยุบยิบ จามออกมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้พร้อมกับที่สติแจ่มชัดขึ้นมา เขาลืมตาขึ้นก็เห็นหลิวไหว บุตรชายสุดรักอายุห้าขวบของตนถือหญ้าแห้งกิ่งหนึ่งแหย่เข้ามาในรูจมูกของตน หลิววั่นลี่หัวเราะอย่างเบิกบานใจอย่างห้ามมิได้ เขาเอื้อมมือไปกอดบุตรชายแล้วกล่าวว่า “เจ้าตัวน้อยจอมซุกซน วิ่งมากวนพ่อนอนได้เช่นไร”

หลิวไหวเบิกตาโตทันใด ตอบเสียงอ้อแอ้ว่า “หลายวันนี้ท่านพ่อมิสนใจไหวเอ๋อร์” สีหน้าไม่พอใจ

หลิววั่นลี่ปวดใจ ในใจรู้สึกผิดเล็กน้อย ลอบเสียใจว่าหนึ่งปีก่อนเขามิสมควรใจอ่อนยอมให้ภรรยาพาบุตรชายจากจิ้นหยางมายังที่แห่งนี้ ยามนั้นคิดว่าด่านหูกวนมั่นคงดุจเขาไท่ซาน ผู้ใดจะคิดว่าจะเกิดวิกฤตเช่นวันนี้ ยามนี้กองทัพศัตรูยาตราทัพประชิด ด่านจะแตกเมื่อใดขึ้นอยู่กับเวลา แต่ตนเองเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการด่าน หากลอบส่งภรรยากับบุตรจากไป เกรงว่าทหารและชาวบ้านในด่านคงสูญเสียความกล้าที่จะต่อต้านจนหมดสิ้น แต่หากมิส่งคนหนีไป เมื่อด่านแตกคงตกตายด้วยกันหมด กองทัพต้ายงสูญเสียไพร่พลมากมายมาหลายวันติด พวกเขาคงฆ่าล้างเมืองเป็นการแก้แค้น ภรรยากับบุตรรักของตนคงล้วนต้องตายอนาถอยู่ที่นี่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิววั่นลี่ก็ตัวสั่นสะท้านเบาๆ กอดบุตรรักไว้แน่นมิเอ่ยคำใด

เวลานี้เอง หลิวฮูหยินยกยาต้มเดินเข้ามาเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลิววั่นลี่ เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ไยจะมิเข้าใจความคิดของเขา นางวางถ้วยยาลงแล้วเดินมาคุกเข่าหน้าเตียง “ท่านพี่ เดิมทีข้ามิสมควรพูดมาก แต่ยามนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านพี่ก็คงต้องเตรียมตัวบ้าง ข้ากับท่านพี่แต่งงานกันมาสิบสองปี ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ข้ายินดีเดินสู่ความตายเคียงข้างท่านพี่ แต่ไหวเอ๋อร์ยังเล็ก ทั้งยังเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลิว หากเขาเป็นอันใดไป ยามข้าไปถึงปรโลกคงมิมีหน้าพบบรรพบุรุษ ขอท่านพี่ให้คนส่งไหวเอ๋อร์กลับไปยังชนบท มอบให้พี่ใหญ่ของข้าดูแลเถิด พี่ชายของข้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ถ้าหากว่า ถ้าหากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นก็จะไม่พัวพันมาถึงไหวเอ๋อร์”

[1] ต้าน หน่วยน้ำหนักของจีนโบราณ