หลิววั่นลี่เจ็บปวดใจนัก เขาจะไม่รักบุตรชายได้เช่นไร หวนนึกถึงสมัยหนุ่มยามเขาเข้ากองทัพ เขาอยู่เคียงข้างภรรยาที่เพิ่งแต่งงานได้เพียงสามวันก็เข้าสู่สนามรบ แม้สวรรค์คุ้มครองจนมีชีวิตรอดกลับไปได้ แต่ช่วงเวลาหลายปีสามีภรรยาก็พบพานน้อยกว่าพรากจาก บิดามารดาที่อยู่บ้านล้วนมีภรรยาดูแล จนกระทั่งหกปีก่อนตนบาดเจ็บหนักกลับบ้านมาพักรักษาตัว ถึงมีไหวเอ๋อร์กำเนิดขึ้นมา ก่อนสิ้นใจบิดามารดาจึงมิมีสิ่งใดให้เสียดายอีก หลังจากนั้นตนก็ถูกส่งมาพิทักษ์ด่านหูกวน เวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สถานการณ์สงครามระหว่างต้ายงกับเป่ยฮั่นตึงเครียด ด่านหูกวนต้องพบเหตุการณ์น่าหวาดผวาอยู่บ่อยครั้ง เขาย่อมมิกล้ารับครอบครัวมาอยู่ด้วย
คิดไม่ถึงยามนี้ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวแต่กลับถูกกองทัพศัตรูโหมโจมตี ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของด่านหูกวนก็ง่อนแง่นอันตราย ทว่าหากส่งบุตรชายจากไป เกรงว่าจะส่งผลต่อการปกป้องด่าน ในที่สุดหลิววั่นลี่ก็หลบสายตาวิงวอนของภรรยา ตอบแผ่วเบาว่า “ฮูหยินวางใจเถิด วันนี้แม่ทัพเอกของกองทัพต้ายงถูกข้ายิงบาดเจ็บ พวกเราจะต้องรอจนกองหนุนมาถึงได้แน่” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาวอยู่ในใจ ตอนนี้ยังจะมีกองหนุนจากที่ใดอีกเล่า
หลิวฮูหยินหยดน้ำตาพรั่งพรู นางมิใช่หญิงสาวชนบทธรรมดาแต่เคยร่ำเรียนหนังสือมาก่อน พงศาวดารก็พอแตกฉานอยู่บ้าง อีกทั้งนางยังเคยดูแลตระกูลมานานปี ไฉนจะมิเข้าใจว่าคำพูดของสามีมิได้กล่าวออกมาจากใจจริง
ขณะที่หลิววั่นลี่กับฮูหยินโศกเศร้าใจจะขาด หญิงรับใช้ก็ผลุนผลันเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ท่านรองแม่ทัพขอพบเจ้าค่ะ”
หลิววั่นลี่ได้สติทันที เขาส่งบุตรชายให้ภรรยาแล้วบอกว่า “เจ้าเข้าไปก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะลองคิดดู”
หลิวฮูหยินยินดีอยู่ในใจ นางพยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นอุ้มหลิวไหวรีบร้อนเดินเข้าไปยังห้องโถงด้านหลัง ก่อนเดินจากไปไม่ลืมกำชับว่า “ท่านพี่อย่าลืมดื่มยา”
ส่งภรรยาของตนจากไปแล้ว จึงสั่งให้เชิญรองแม่ทัพเข้ามา หลิววั่นลี่ยกยาต้มที่เย็นลงจนเหลืออุณหภูมิอุ่นๆ ถ้วยนั้นขึ้นมาดื่มช้าๆ พลางครุ่นคิดว่ารองแม่ทัพมาครั้งนี้มีเรื่องอันใด เขามองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก ยามนี้ยังไม่พลบค่ำ ศึกวันนี้จบลงตั้งแต่ยามอู่ ตอนนี้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการป้องกันด่านน่าจะจัดแจงเรียบร้อยแล้ว รองแม่ทัพผู้นี้คุ้นเคยกับการป้องกันด่านดี จะจัดการเช่นไรไม่น่าต้องมาขอความเห็นของตน ตนเองแผลเก่ากำเริบ เขาเองก็ทราบ เหตุไฉนจึงมารบกวนตนเองในเวลานี้อีกเล่า
รองแม่ทัพหนุ่มรีบร้อนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นหลิววั่นลี่ก็เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ทัพ ผู้น้อยมีแผนการประการหนึ่งอาจคลี่คลายวิกฤตของด่านหูกวนได้”
หลิววั่นลี่หวั่นไหว แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย แม้แต่มือที่ถือถ้วยยาอยู่ก็ไม่สั่นไหวสักนิด เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ลองว่ามาสิ สถานการณ์ตอนนี้อันตรายถึงเพียงนี้ แม้มีความหวังเพียงสักเศษเสี้ยวก็จะปล่อยไปง่ายๆ มิได้”
รองแม่ทัพกล่าวตอบอย่างตื่นเต้น “ระหว่างที่ผู้น้อยจัดวางการป้องกันได้ส่งทหารสอดแนมที่เก่งกาจที่สุดในด่านไปสำรวจสถานการณ์ในค่ายใหญ่ของกองทัพข้าศึก แม้กองทัพข้าศึกจะปิดบังอาการบาดเจ็บของจิงฉือไว้ แต่ขวัญกำลังใจทหารในค่ายก็คลอนแคลน หมอในค่ายทั้งหมดล้วนรอคำสั่งอยู่ในกระโจมแม่ทัพ แม่ทัพทุกคนล้วนเฝ้าอยู่ในกองทัพหลวง เห็นชัดว่าจิงฉือบาดเจ็บหนักยิ่งนัก ต่อให้มิตายก็ต้องสาหัส
ผู้น้อยคิดว่ายามนี้ขวัญกำลังใจของทหารต้ายงคงตกต่ำมาก อีกทั้งยังไม่ทันระวังพวกเรา หลายวันที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยออกจากด่านไปประจันหน้ากับศัตรู ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงดูแคลนพวกเรา ผู้น้อยคิดว่าหากคืนนี้พวกเราเลือกทหารชั้นยอดสองพันกว่านายฉวยโอกาสยามฟ้ามืดบุกค่ายของกองทัพศัตรู จุดไฟเผาค่าย เผาเสบียงของกองทัพข้าศึก เข่นฆ่าพวกเขาไม่ให้ทันตั้งตัว แล้วหากมีโอกาสก็สังหารแม่ทัพคนสำคัญอีกสักหลายคน
ถึงเวลาแม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายงมิอาจจัดการกองทัพได้ เสบียงที่ต้องขนส่งผ่านช่องเขาไป๋สิงก็ขนมาเพิ่มยากลำบาก พวกเขาย่อมจำเป็นต้องถอยทัพ ต่อให้ไม่ถอยก็ชะลอการบุกตีด่านได้ พวกเราจะได้ฉวยโอกาสนี้ส่งสารด่วนหาเมืองต่างๆ ให้พวกเขารวบรวมผู้กล้าเดินทางมาช่วยป้องกันด่านหูกวน ถึงยามนั้นต้องพิทักษ์ด่านหูกวนไว้ได้แน่”
ไม่ว่าอย่างไรหลิววั่นลี่ก็เคยทำศึกสงครามมานาน แรกเริ่มเขารู้สึกยินดี แต่จากนั้นก็เริ่มกังวลเล็กน้อย แม้จิงฉือแม่ทัพใหญ่ฝั่งกองทัพต้ายงจะบาดเจ็บ แต่แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเจิ้นโจวเป็นคนละเอียดลออ ไม่แน่ว่าเขาจะคิดไม่ถึงเรื่องการบุกจู่โจมค่าย แล้วอีกอย่างกองทัพต้ายงทหารแข็งแกร่งอาชากำยำ การบุกจู่โจมสวนกลับครั้งนี้ไม่แน่ว่าฝ่ายตนจะบรรลุเป้าหมายได้จริง
ตอนนั้นเอง เขาเลื่อนสายตาไปอีกทางหนึ่ง มองเห็นหญ้าแห้งต้นนั้นที่บุตรชายทิ้งไว้บนเตียง ทันใดนั้นหัวใจก็เจ็บแปลบ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อกองทัพต้ายงตั้งหลักได้แล้ว ด่านหูกวนต้องแตกเป็นแน่ หากตนตกลงตามแผนการนี้แล้วบีบให้กองทัพต้ายงถอยไปได้ ถ้าเช่นนั้นถึงเสี่ยงอันตรายก็คุ้มค่า ยิ่งไปกว่านั้น จากประสบการณ์ในสนามรบหลายปีของหลิววั่นลี่ แผนการนี้มีโอกาสสำเร็จถึงห้าส่วน ยามนี้มีโอกาสเพียงหนึ่ง หรือสองส่วนก็คุ้มที่จะลองแล้ว
หลิววั่นลี่วางถ้วยยาลง แล้วเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “เจ้าไปรวบรวมทหารหาญผู้กล้าพลีชีพในกองทัพหนึ่งพันห้าร้อยนาย มากกว่านี้ไม่ได้ คืนนี้ข้าจะนำกำลังพลลอบโจมตีด้วยตนเอง”
รองแม่ทัพรีบกล่าวว่า “ใต้เท้า อาการบาดเจ็บเก่าของท่านเพิ่งกำเริบ จะนำทัพบุกค่ายได้เช่นไร ให้ผู้น้อยนำทัพไปเถิด”
หลิววั่นลี่กำลังจะค้าน ทว่าความเจ็บปวดอันคุ้นเคยก็แล่นปราดมาจากเอว เขาขมวดคิ้วอย่างห้ามตนเองไม่ทัน ได้แต่พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ฝากเจ้าแล้ว กองทัพเราจะรอดหรือตาย ขึ้นอยู่กับศึกคืนนี้”
รองแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นค้อมกายคารวะแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ หากมีสิ่งใดผิดพลาด ผู้น้อยยินดีสละชีวิต ไม่หนีเอาตัวรอดเด็ดขาด”
หลิววั่นลี่บังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ คิดจะออกปากห้าม แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ ในใจก็คิดว่าต่อให้ไม่สำเร็จก็เพียงตายเร็วขึ้นไม่กี่วันเท่านั้น ยามนี้มิอาจลังเลอีกแล้ว เขาเอื้อมมือมาประคองรองแม่ทัพ มองดูชายหนุ่มผู้ติดตามตนเองทำศึกมาหลายปี ดวงตาฉายแววเจ็บปวดและโศกเศร้า ต่อให้ลอบโจมตีค่ายสำเร็จ ทางเลือกที่เหมือนเอาไข่กระแทกหินเช่นนี้ก็ย่อมทำให้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย แต่ตนไม่มีทางเลือกแล้ว จึงได้แต่เบิ่งตามองเรื่องนี้เกิดขึ้น
เขาไม่เคยเคียดแค้นสวรรค์ที่ไร้เมตตาเท่ายามนี้มาก่อน ฉับพลันเขาก็เข้าใจความรู้สึกที่ว่ายอมเกิดเป็นสุนัขยามสงบสุข มิขอเกิดเป็นมนุษย์ยามกลียุค ทันใดนั้นหลิววั่นลี่ก็เกิดความคิดอันมิภักดีประการหนึ่ง หากใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งได้ ต่อให้เป่ยฮั่นล่มสลายก็คงมิเป็นอันใดหรอกรกะมัง
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา หลิววั่นลี่ก็หลบสายตาของรองแม่ทัพด้วยสัญชาตญาณ ในใจคิดกับตนเองว่ามิว่าอย่างไรตนก็เคยได้รับพระกรุณาจากเจ้าแคว้น ต่อให้ต้องพลีชีพถวายก็เป็นสิ่งสมควร หากการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งของต้ายงมิอาจขัดขวางได้จริง ถ้าเช่นนั้นก็ให้ตนกลายเป็นเครื่องสังเวยใต้กีบเท้าอาชาเหล็กของต้ายงเถิด
ค่ำคืนนี้แสงจันทร์สลัว รองแม่ทัพแห่งด่านหูกวนพานายทหารหาญผู้กล้าแลกชีวิตที่คัดเลือกมาเป็นอย่างดีออกจากด่าน เขาเฝ้ามองค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายงที่ถูกขุนเขาโอบล้อมอยู่ใต้แสงจันทร์จากไกลๆ ด้านหลังเขาคือทหารม้าห้าร้อยนายกับพลทหารเดินเท้าหนึ่งพันนาย เหล่าทหารคาบแท่งไม้ อาชาศึกรัดสายบังเหียนที่ปากและผูกผ้าหุ้มกีบเท้า แม้มีคนมากมายแต่กลับไม่มีเสียงแม้สักนิด รองแม่ทัพโบกมือ พลทหารร้อยกว่าคนยกมือตอบเขา จากนั้นแฝงกายไปในความมืด
ทหารร้อยกว่าคนนี้ล้วนสวมชุดอำพรางกายสีดำ บนแผ่นหลังสะพายดาบเล่มหนึ่ง พวกเขาล้วนพกวัสดุที่เป็นเชื้อไฟไว้กับตัว เตรียมตัวจะเผาค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง ขอเพียงแสงเปลวเพลิงสว่างขึ้น รองแม่ทัพก็จะพาไพร่พลบุกเข้าไปในค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง เข่นฆ่าพวกเขาให้สับสนอลหม่าน
ค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายงที่อยู่ไกลๆ เงียบสงัด นอกจากพลทหารที่รับผิดชอบเฝ้าเวรยามกลางคืน แทบจะไม่เห็นเงาของผู้ใด ราวกับว่ากองทัพต้ายงทั้งกองทัพกำลังหลับใหล เหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อกลางวันของวันนี้คงทำให้จิตใจของพวกเขาเหนื่อยล้ายิ่งนักกระมัง
ในใจรองแม่ทัพเองก็ลุ้นระทึก ศึกนี้เขานำพลทหารฝีมือเยี่ยมของด่านหูกวนออกมาทั้งหมด หากลอบโจมตีค่ายล้มเหลว ถ้าเช่นนั้นก็คงมิอาจพลิกสถานการณ์ได้อีกแล้ว
ไม่นานในค่ายของกองทัพต้ายงก็มีแสงไฟสว่างขึ้นรอบด้าน เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมา ท่ามกลางแสงเปลวเพลิงสว่างไสวเห็นเงาคนวิ่งพล่านไปทั่วทุกสารทิศ ในใจรองแม่ทัพยินดียิ่ง เขาชูแหลนอาชาในมือ ตะโกนลั่นว่า “บุก!” หลังจากนั้นจึงชักม้านำหน้าไปเพียงลำพัง ทะยานเข้าไปหาค่ายใหญ่ของกองทัพต้ายง
เขาตะลุยไปตามเส้นทางที่ทหารสอดแนมผู้ลักลอบเข้ามาวางเพลิงในค่ายใหญ่กรุยทางไว้ พุ่งเข้ามาด้านหลังค่ายของกองทัพต้ายงเป็นคนแรก สองฝั่งล้วนมีแต่เปลวเพลิงร้อนระอุ เขาร่ายรำแหลนอาชาไปด้านซ้ายและขวา กวาดกระโจมที่ลุกติดไฟจนล้มคว่ำแล้วโยนพวกมันเข้าไปหากระโจมที่ยังไม่ติดไฟ ทหารม้าห้าร้อยนายบุกตามหลังเขาเข้ามากลางค่ายทัพของต้ายงอย่างราบรื่น พลทหารเดินเท้าที่เหลือกระจายตัวออกไปสังหารคนวางเพลิงทั่วทุกทิศ
รองแม่ทัพสาแก่ใจนัก ตลอดทางที่ควบอาชาผ่าน นอกจากกกวาดทหารต้ายงที่ขวางทางให้ล้มคว่ำก็มิยินดีชักช้าเสียเวลาแม้สักนิด ใจจดใจจ่ออยากพุ่งไปถึงกลางค่าย หวังจะสังหารยอดแม่ทัพแห่งกองทัพต้ายงให้ได้สักสองสามคน ปลายหางตามองเห็นค่ายทหารของต้ายงกลายเป็นทะเลเพลิง
เขาหัวเราะลั่นแทงทหารต้ายงคนหนึ่งด้านหน้าที่พยายามขัดขวางสุดชีวิตแล้วตะโกนเสียงดัง “ฆ่า ฆ่าให้เลือดนองเป็นสายน้ำ!”
เหล่าพลทหารฮึกเหิมเป็นกำลัง พวกเขาต่างตะโกนคำว่าฆ่าเสียงดังสนั่น จากนั้นตะลุยเข้าไปยังใจกลางกองทัพต้ายง มุ่งไปหากระโจมหลังใหญ่ที่ปักธงแม่ทัพคำว่า ‘จิง’ กระโจมนั้น