บทที่ 704 การขอความช่วยเหลือจากแดนยมโลก (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 704 การขอความช่วยเหลือจากแดนยมโลก (1)

“วัว เจ้าเหลือมากเพียงใด?”

“นิดหน่อย ม้า เราจะไม่ลองไปที่สำนักตู้เซียนจริงๆ หรือ?”

บนยอดผานอกเมืองเฟิงตู บัดนี้ มีร่างสองร่างนอนคดเคี้ยวอยู่บนก้อนหิน

พวกเขาค่อยๆ หลับตาลงทีละน้อย แล้วปล่อยให้สายลมแห่งแดนยมโลกพัดแผงคออันอ่อนนุ่มของพวกเขา

หน้าม้าถอนหายใจอย่างอ่อนแรง

“เฮ้ เฮ้ เฮ้ เฮ้… จอมเวทไม่ได้บอกให้เราไปเดินเล่นรอบๆ สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินหรอกหรือ? นางยังบอกด้วยว่าเราไม่ควรสร้างปัญหาให้กับใต้เท้าเทพวารีตลอดเวลาโดยไร้เหตุผล

ฮี้~ ใต้เท้าเทพวารียุ่งมาก หากไม่มีเหตุผลเหมาะสม แล้วพวกเราจะไปหาเขาได้อย่างไร?”

หัววัวหยิบหม้อดินเผาด้านข้างขึ้นมามองดูข้างในอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นเขาก็ดม…

กลิ่นที่ทำให้มึนเมานั้นเบาบางมากเหลือเกินแล้ว

พวกเขาสองคนมีสัตว์วิญญาณแสนอร่อยจากโลกมนุษย์วางอยู่ตรงหน้าของพวกเขา แต่พวกเขาไม่คิดจะเริ่มก่อไฟ

“วัว เมื่อเผ่าเวทอย่างพวกเราได้ลิ้มรสชาติบางอย่างที่ดีกว่าแล้ว พวกเราก็ไม่อาจกล้ำกลืนยอมรับสิ่งที่มีคุณภาพน้อยกว่านั้นอีกต่อไป”

“ม้า เหตุใดพวกเราไม่ช่วยใต้เท้าเทพวารีตรวจสอบว่า พวกมนุษย์เวทกำลังเกียจคร้านหย่อนยานอยู่หรือไม่?”

“ข้าเกรงว่า พวกเราจะไม่พบแม้แต่เทพวารี”

หน้าม้าหวีแผงคอที่มืดครึ้มของเขา และกล่าวว่า “เหตุใดเราถึงไม่เห็นว่ามีผู้ฝึกบำเพ็ญคนใดจากสำนักตู้เซียนกำลังจะสิ้นอายุขัยเลย?

เราไปทำอะไรที่เป็นงานจริงจังก่อนหน้านี้อย่างเช่นการเกี่ยววิญญาณกันดีหรือไม่?

จากนั้นเราก็จะแวะไปเยี่ยมเยียนผู้ทำเครื่องปรุงเหล่านี้ ศิษย์ของสำนักตู้เซียน ปรมาจารย์หลี่ฉางโซ่ว!”

“เช่นนั้นก็รอไปก่อน เราอาจต้องรอสักสองสามร้อยปีก่อนที่เซียนจะตายด้วยวัยชรา!

ว่าแต่ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว…”

หัววัวลุกขึ้นนั่งมองท้องฟ้า จากนั้นเขาก็พึมพำเบาๆ ว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า หลายครั้งที่ศิษย์ของสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วผู้นี้ปรากฏตัว เขามักจะมีกลิ่นอายคล้ายใต้เท้าเทพวารีอยู่เสมอ?”

หน้าม้าวางศีรษะบนมือของเขา “กลิ่นอันใดกัน?”

หัววัวบีบคางและพึมพำ “ข้าก็ไม่อธิบายไม่ถูก ม่อ… แต่ดูเหมือนว่า เขาจะไม่ใช่มนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสองคนก็ออกจะดูคล้ายกันเล็กน้อย”

“ไม่ใช่มนุษย์หรือ?” หน้าม้างงงวย

“แล้วมันจะเป็นกลิ่นอันใดได้อีกเล่า? เต๋าของศิษย์สำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วนั้นคล้ายกับเต๋าของใต้เท้าเทพวารี แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ต่างกันอย่างแน่นอน

แม้พวกเราจะเป็นเผ่าเวท แต่เราก็ต้องฉลาดและมีความสามารถ เราไม่อาจอาศัยเพียงสัญชาตญาณเผ่าเวทของเราเท่านั้นได้ ฮี้”

หัววัวเกาเขาของเขาและพยักหน้าเห็นด้วย

“สัญชาตญาณของข้าไว้ใจไม่ได้จริงๆ…

ฟ่อ…”

“ไยเจ้าถึงดูดอากาศเย็น?”

หน้าม้ายืดขายาวของเขาและกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “แดนยมโลกกำลังจะถูกเจ้าทำให้ร้อนขึ้นแล้ว!”

“ม้า ดูนั่นสิ พวกที่บินมาจากฟากฟ้าตรงนั้น นั่นคือ หลี่ฉางโซ่วจากสำนักตู้เซียนใช่หรือไม่? ปรมาจารย์! ม่อ~”

“หือ? เป็นปรมาจารย์ผู้นั้นจริงๆ!

เร็วเข้า พี่น้อง เตรียมพร้อมรับเทพวารี! มีโอกาสสำหรับเครื่องปรุงรสของเราแล้ว!”

ดังนั้น ชั่วครู่ต่อมา…

หลี่ฉางโซ่วได้นำโหย่วฉินเสวียนหย่าไปที่ชายแดนด้านตะวันออกของเมืองเฟิงตู เขาอดจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผากไม่ได้ และไม่อยากจะก้าวออกไปข้างหน้า

ในขณะนั้นโหย่วฉินเสวียนหย่าเอียงศีรษะอย่างสงสัยใคร่รู้โนเวลพีดีเอฟ

แม้นางจะเคยเห็นผู้ฝึกบำเพ็ญมามากมายในระหว่างทาง และหลี่ฉางโซ่วก็ได้บอกนางเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าทูตเกี่ยววิญญาณแห่งแดนยมโลกนั้น “น่ารัก” ยิ่งนัก

แต่ในสถานการณ์นี้…

เวลานี้ ทูตเกี่ยววิญญาณแห่งแดนยมโลกหลายร้อยคนได้แบ่งออกเป็นสองเส้นทาง และต่างก็ชูธงของพวกเขาขึ้นสูง

มีสตรีสองสามคนที่ดูอ่อนโยนปานสายน้ำ โปรยกลีบบุปผาสีขาวนวลอยู่ข้างๆ และยังได้ยินเสียงฆ้องและกลองดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุด

หัววัวและหน้าม้ายืนตัวตรงอยู่ทั้งสองด้าน ดวงตากลมโตของพวกเขาซึ่งอยู่ใต้หมวกคลุมศีรษะเปล่งแสงประหลาดออกมา!

เมื่อหลี่ฉางโซ่วขี่เมฆออกไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาก็บินออกไปไกลเกินกว่าสิบจั้ง

และพร้อมด้วยเสียงกระหึ่มดังสองครั้ง หัววัวและหน้าม้าก็เคลื่อนไหวแวบวาบอย่างรวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาสองสามภาพเอาไว้ และไปปรากฏกายขึ้นต่อหน้าหลี่ฉางโซ่ว และโหย่วฉินเสวียนหย่า

ความเร็วนี้รวดเร็วยิ่งจนโหย่วฉินเสวียนหย่าซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนเสิ่นต้องตะลึงงันจนไม่อาจมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ได้ทันเลย…

เมื่อนางได้สติคืนกลับมาแล้ว นางก็หันศีรษะไปทางด้านข้างและเห็นยมฑูตเกี่ยววิญญาณสองคนจากแดนยมโลกที่มีข่าวลือว่าอยู่ในโลกบรรพกาลเช่นกัน

บัดนี้ พวกเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าศิษย์พี่ฉางโซ่ว

ทูตเกี่ยววิญญาณที่มีศีรษะเหมือนม้ากำลังหวีแผงคอที่เรียบของเขาด้วยหวีหินในขณะที่ทูตเกี่ยววิญญาณอีกคนกำลังกอดอก

พวกเขาทั้งสองคนเผยฟันขาวออกมาพร้อมๆ กัน และเริ่ม…

เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

แกร๊ง!

ทันใดนั้นฝักกระบี่เกล็ดอัคคีก็ถูกเปิดออกมาได้ไม่กี่ชุ่น ทว่าหลี่ฉางโซ่วได้ผลักมันให้ถอยกลับไป

หัววัวถามว่า “สหายน้อยฉางโซ่ว เหตุใดเจ้าจึงมีเวลาว่างมาที่แดนยมโลกได้เล่า? ม่อ~”

“ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากพวกท่านสองคนสักหน่อย”

หลี่ฉางโซ่วหรี่ตาพลางแย้มยิ้ม แล้วหยิบถุงเก็บสมบัติสองใบออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้กับเผ่าเวททั้งสองอย่างนอบน้อมเล็กน้อย

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มและกล่าวว่า “โปรดรับมันเอาไว้ด้วยเถิด”

ทันใดนั้นพวกเขาก็ตื่นเต้นและมือไม้สั่น!

หัววัวและหน้าม้าแทบจะร้องออกมา พวกเขาค่อยๆ คว้าถุงเก็บสมบัติและเปิดออกดู จากนั้นพวกเขาก็ประทับใจอย่างยิ่งในทันที

“ท่านปรมาจารย์! ไม่สิ สหายเต๋า แดนยมโลกต้องการผู้มีพรสวรรค์เช่นเจ้าจริงๆ ม่อ~”

“ไม่ว่าจะให้พวกเราช่วยอะไร พวกเราจะช่วยแน่นอน! ฮี้!”

“พวกท่านทั้งสอง มันเป็นเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่ขอให้ช่วยทำ”

หลี่ฉางโซ่วหยิบไข่มุกกักวิญญาณทั้งสองออกมา

“โปรดช่วยดูสักหน่อยเถิด”

หัววัวและหน้าม้าจริงจังทันที พวกเขาวางเครื่องปรุงรสและขมวดคิ้ว

“กรรมร้าย? ช่างเป็นกรรมร้ายที่แรงกล้านัก และช่างเป็นวิญญาณที่อ่อนแอยิ่ง…”

หัววัวพึมพำ “นี่คือจ้าวผู้ปกครองเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งดินแดนเทวะทักษิณใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและถามว่า “มีวิธีหรือไม่?”

“เรื่องนี้ พวกเราทำอะไรไม่ได้” หน้าม้ากล่าวอย่างจริงจังว่า “กรรมร้ายนี้ไม่อาจละทิ้งได้ง่ายๆ และไม่อาจหักล้างด้วยบุญได้

พวกเราทำได้เพียงแค่โยนมันลงไปในนรกขุมที่สิบแปดเท่านั้น และดับกรรมร้ายนั้นด้วยความทุกข์ทรมานก่อนที่มันจะสามารถเข้าสู่สังสารวัฏ กลับชาติไปเกิดใหม่ต่อไปได้

ไม่เช่นนั้น พวกเราก็ทำได้เพียงแค่ทำลายวิญญาณของเขาให้แตกสลายโดยตรงเท่านั้น และปล่อยให้วิญญาณแท้ของเขากลับชาติมาเกิด ซึ่งจะเป็นการตัดการเชื่อมต่อของเขากับชีวิตในชาติก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง”