ตอนที่ 1647 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (5) / ตอนที่ 1648 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (6)
ตอนที่ 1647 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (5)

ตั้งแต่ต้นจนจบ กู่อิ่งเดินตามอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ เขามองกู่ซินเยียนที่ได้รับความรักจากกู่อี้ รอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าของเขาเลย

การกลับมาของกู่ซินเยียนทำให้กู่อี้อารมณ์ดีอย่างมาก เพื่อศิษย์ทุกคนที่เดินทางมาไกลและฉลองให้กับการกลับมาของกู่ซินเยียน งานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่จึงถูกจัดขึ้นในตำหนักมารโลหิตโดยเชิญทุกคนให้ร่วมเฉลิมฉลองด้วยกัน

กู่ซินเยียนนั่งอยู่ข้างกู่อี้ มีรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของนาง แต่แค่มองก็รู้สึกได้ว่าเป็นการฝืนยิ้ม

“เยียนเอ๋อร์ มีอะไรในใจหรือเปล่า ทำไมกลับมาคราวนี้เจ้าดูไม่มีความสุขเลย” กู่อี้มองกู่ซินเยียนด้วยแววตากังวล บุตรีคนนี้เขาทะนุถนอมเลี้ยงดูมากับมือตั้งแต่เด็ก ไม่เคยปล่อยให้นางต้องทนทุกข์ทรมานใดๆ เมื่อเขาเห็นว่าตอนนี้กู่ซินเยียนดูเหม่อลอย เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้

กู่ซินเยียนสะดุ้งเล็กน้อยและรีบส่ายหน้าทันที

“ไม่มีอะไร ข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น” กู่ซินเยียนยิ้มเพื่อจะได้ผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่เปิดเผยว่านางรู้สึกลำบากใจและขัดแย้งในใจมากแค่ไหนในช่วงนี้

ทุกค่ำคืน คนคนเดิมมักจะปรากฏตัวขึ้นในความฝันของนางเสมอ เหมือนจะไม่ใกล้ไม่ไกล ดูราวกับว่านางจะเอื้อมไปสัมผัสได้ แต่ทุกครั้งที่นางยื่นมือออกไป คนผู้นั้นก็จะยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน…ก็ไม่สามารถเอื้อมถึง

“ลำบากเจ้าแล้ว ดีแล้วที่กลับมา” กู่อี้กล่าวอย่างอ่อนโยน

กู่ซินเยียนยิ้มและไม่พูดอะไร เมื่อกู่ซินเยียนละสายตากลับมา นางก็เห็นกู่อิ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งกำลังจ้องมองนางพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

รอยยิ้มนั้นทำให้กู่ซินเยียนเย็นวาบไปทั้งตัว

นางกับกู่อิ่งเป็นพี่น้องบิดาเดียวกันแต่คนละมารดา มารดาของกู่อิ่งแต่งงานกับกู่อี้ก่อนมารดาของกู่ซินเยียน ตอนที่กู่ซินเยียนยังเล็ก นางได้เห็นมารดาของกู่อิ่ง มารดาของกู่อิ่งเป็นสตรีที่สวยมาก กู่ซินเยียนยังจำได้จนถึงตอนนี้วันที่นางเดินเข้าไปในสนามเล็กๆ และเห็นสตรีนางนั้นกำลังเล่นกู่ฉินอยู่ใต้ต้นดอกท้อ

นั่นเป็นสตรีที่สวยที่สุดที่กู่ซินเยียนเคยเห็นมาในชีวิต

มารดาของกู่อิ่ง

ท่านหญิงน้อยแห่งวังหลิงซวี หนึ่งในเก้าวัง

และเป็นคนที่สวยที่สุดในเก้าวังและสิบสองตำหนัก

เคยมีข่าวลือว่าท่านหญิงน้อยแห่งวังหลิงซวีคือคนที่สวยที่สุดในสามโลกชั้นกลาง บุรุษผู้มีพรสวรรค์สูงและหน้าตาดีนับไม่ถ้วนพยายามทุกวิถีทางเพียงเพื่อจะได้รอยยิ้มจากนาง กู่อี้เป็นหนึ่งในคนที่ตามตื้อนางในเวลานั้น ไม่รู้ว่าทำไมท่านหญิงน้อยแห่งวังหลิงซวีถึงเลือกแต่งงานกับกู่อี้ แต่คู่ที่เคยถูกมองว่าเป็นคู่สวรรค์สร้างและได้รับพรจากผู้คนมากมายก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในตอนสุดท้าย

ภายในตำหนักมารโลหิต ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงบุคคลนั้น กู่ซินเยียนที่ยังเด็กมากเคยเห็นคนผู้นั้นครั้งหนึ่งตอนเดินไปเจอเข้ากับนางโดยไม่รู้ตัว และเห็นว่านางสวยมากจริงๆ

แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากกู่อี้แต่งงานกับท่านหญิงน้อยแห่งวังหลิงซวีแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความรักใคร่หลงใหลอย่างตอนที่ตามตื้อนางอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นความเย็นชาและห่างเหิน

แม้แต่การเกิดมาของกู่อิ่งก็ไม่สามารถช่วยกอบกู้อะไรได้ ในวันที่กู่อิ่งเกิด กู่อี้ก็รับมารดาของกู่ซินเยียนเข้าสู่ตำหนักมารโลหิตในฐานะเจ้าสาว ทั่วทั้งตำหนักมารโลหิตมีแต่ความยินดี แต่ไม่มีสักคนที่นึกถึงท่านหญิงน้อยผู้กำลังคลอดบุตรด้วยความเจ็บปวด

กู่ซินเยียนจำตอนที่ท่านหญิงน้อยเสียชีวิตไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่าการตายของนางเงียบมาก กู่ซินเยียนมารู้ข่าวนางก็ตายไปหลายปีแล้ว

ไม่ใช่ว่ากู่ซินเยียนไม่รู้ว่ากู่อี้ปฏิบัติกับนางและกู่อิ่งแตกต่างกันอย่างมาก

ทั้งคู่เป็นลูกของเขา แต่ความใจร้ายของเขาที่มีต่อกู่อิ่งก็ทำให้กู่ซินเยียนรู้สึกหวาดหวั่น

ตอนที่ 1648 ความกังวลที่ซ่อนอยู่ของตำหนักมารโลหิต (6)

ความรักใคร่โปรดปรานที่บิดาแสดงต่อนาง ใช่ว่ากู่ซินเยียนจะไม่รู้ นางเคยพูดถึงเรื่องนี้แต่กู่อี้ก็เปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนาง

ไม่ใช่ว่าตอนเด็กๆ กู่ซินเยียนจะไม่อยากสนิทสนมกับกู่อิ่ง กู่อี้มีลูกแค่สองคน และกู่อิ่งก็เกิดมาหน้าตาดีมากตั้งแต่เด็ก ทำให้กู่ซินเยียนที่เป็นเด็กน้อยอยากเข้าใกล้เขา

ตอนแรกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ได้ห่างเหินกันขนาดนี้ ตอนนั้นกู่ซินเยียนมักจะเดินเตาะแตะด้วยขาสั้นๆ ทั้งสองข้างตามหลังกู่อิ่ง ร้องเรียกพี่ๆๆๆ ไม่หยุด แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กู่อิ่งเริ่มทำตัวเหินห่างจากนาง ถึงขั้นใช้วิธีการที่น่ากลัวและนองโลหิตอย่างมากเพื่อทำให้นางเกิดความกลัว เขาไม่ต้องการให้นางเข้าใกล้แม้แต่ก้าวเดียว

ทั้งสองคนค่อยๆ เหินห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ ความโหดร้ายของกู่อิ่งทำให้กู่ซินเยียนหวาดกลัวมาก

เสียงเครื่องสายบรรเลงอย่างไพเราะและนางรำร่ายรำอยู่ในตำหนักมารโลหิต เหล่าผู้เยาว์ที่เพิ่งเดินทางกลับมาพากันดูด้วยความปลาบปลื้มยินดี

ไม่มีใครสังเกตเห็นคุณชายกู่อิ่ง คนที่ควรจะอยู่ด้านข้างของกู่อี้ แต่กลับถูกห้ามและไปนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งแทน

เขานั่งอยู่ในที่ที่แสงตะเกียงส่องไม่ถึง อยู่ในความมืดสลัว ราวกับว่าตัวเขาไม่เข้ากับทุกอย่างที่นั่น

เขาจิบสุราอย่างเงียบๆ มุมปากยกยิ้มอย่างดุร้ายขณะมองดูดนตรีและการร่ายรำในงานฉลอง

“ข้าได้ยินว่าตอนที่พวกเจ้าเดินทางกลับมา ได้เกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นหรือ” กู่อี้หันไปถามกู่ซินเยียนพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า

กู่ซินเยียนชะงักไปเล็กน้อย นางถามว่า “ท่านพ่อพูดถึงเรื่องระหว่างตำหนักจิงหงและตำหนักมังกรสวรรค์หรือเจ้าคะ”

กู่อี้พยักหน้า

ในสิบสองตำหนัก ตำหนักมังกรสวรรค์เป็นรองแค่ตำหนักมารโลหิตและตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งมาก ขณะที่ตำหนักจิงหงอ่อนแอกว่าพวกเขาเล็กน้อย เดิมทีทั้งสองตำหนักนี้ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน แต่หลังลงมาจากภูเขาฝูเหยาก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น

เพิ่งออกมาจากภูเขาฝูเหยา เส้นทางของตำหนักต่างๆ จึงยังเป็นเส้นทางเดียวกันเสียส่วนใหญ่ พวกเขาจะใช้เวลาพักสั้นๆ หลังจากเดินทางมาทั้งวัน แต่ละตำหนักจึงอยู่ห่างกันไม่มากนัก

แต่ในขณะที่ตำหนักต่างๆ กำลังหยุดพักอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องที่จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กก็ไม่เชิงขึ้น

ศิษย์จากตำหนักจิงหงคนหนึ่งไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากความหื่นหรืออะไรกันแน่ ถึงได้กล้าไปเอาเปรียบเฟยเยียนแห่งตำหนักมังกรสวรรค์ ทำให้เกิดเรื่องโกลาหลใหญ่โตขึ้น

เฟยเยียนเป็นหนึ่งในชื่ออันดับต้นๆ ในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งล่าสุด และได้รับความสนใจจากคนจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็น ‘เด็กสาว’ แต่นางก็มีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าเด็กหนุ่มคนอื่นๆ และนางยังเป็นขุมกำลังรุ่นใหม่ที่ตำหนักมังกรสวรรค์อยากฟูมฟักดูแล เป็นคนที่มีค่าอย่างมาก

แต่นอกเหนือจากการมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมากแล้ว เฟยเยียนยังมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามมาก ความงามของนางดึงดูดความสนใจจากบรรดาหนุ่มๆ ได้ไม่น้อย แต่คนส่วนใหญ่มีสติสัมปชัญญะมากพอที่จะไม่กล้าไปหาเรื่องตำหนักมังกรสวรรค์ ได้แต่เก็บซ่อนความคิดของตัวเองไว้

แต่ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักจิงหงเกิดความกล้าบ้าบิ่นขึ้นมา รอจนกระทั่งตกกลางคืนเขาก็หลอกเฟยเยียนให้เข้าไปในป่าทึบและพยายามจะทำเรื่องชั่วกับนาง สุดท้ายศิษย์คนนั้นก็โดนภูติวิญญาณของเฟยเยียนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เสียงเอะอะโวยวายทำให้ผู้คนจากตำหนักต่างๆ ตื่นขึ้นมา

เหตุการณ์นั้นทำให้คนจากตำหนักมังกรสวรรค์และตำหนักจิงหงมีปากเสียงทะเลาะกันทันที ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนจากตำหนักอื่นอยู่ที่นั่นด้วย คนของสองตำหนักนี้คงตะลุมบอนกันไปแล้ว

กู่อี้ฟังกู่ซินเยียนเล่าจนจบ แล้วเขาก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา

“ข้าว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างนั้นใช่หรือไม่ เฟยเยียนมีพลังที่แข็งแกร่ง ผู้เยาว์จากตำหนักจิงหงทั้งกลุ่มยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะไปหาเรื่องนางแบบโง่ๆ อย่างนั้น ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเจตนาของตำหนักมังกรสวรรค์”