บทที่ 833 สำนักซ่อนเร้นรวมตัว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 833 สำนักซ่อนเร้นรวมตัว

เมื่อกลับถึงอารามเต๋า หานเจวี๋ยใช้ความคิด

เขามองข้ามแรงกดดันที่หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์มีต่อคนอื่นๆ ไป แม้แต่ตัวเขายังกดดันมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย

‘เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จำเป็นต้องใช้ความลำบากทดสอบเหล่าอริยชนดูสักหน่อย’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ เป้าหมายหลักของเขายังคงเป็นการทะลวงระดับ

ต้องทะลวงระดับให้ได้ในเร็ววัน ถึงจะมีความมั่นใจในการต่อกรกับหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์

ส่วนเรื่องอริยะ จะหนีไปก็ไม่เป็นไร แต่งตั้งขึ้นใหม่ก็ได้

หานเจวี๋ยหลับตาลง หลอมปรับเปลี่ยนดวงดาวต่อไป

นับจากการทะลวงระดับครั้งก่อน ผ่านมาเจ็ดแสนปีแล้ว

สำหรับหานเจวี๋ยแล้วเวลาผ่านไปเร็วอย่างยิ่ง แต่สำหรับสรรพสิ่ง ผ่านพ้นไปหลายยุคสมัยแล้ว

แดนเซียนยิ่งมีผู้ทรงความสามารถหาญกล้าปรากฏขึ้นมากมาย มีบุตรแห่งสวรรค์ท่วมท้น

….

ณ หมื่นโลกาฉายชัด เหล่าศิษย์สืบทอดมารวมตัวกัน

เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาล้วนจะมารวมตัวกันหนึ่งครั้ง โดยมีไก่คุกรัตติกาลเป็นตัวตั้งตัวตี

ถึงแม้ไก่คุกรัตติกาลจะไม่ออกไปหาประสบการณ์ด้านนอกเลย แต่ก็มีสถานะสูงสุดในหมู่ศิษย์สืบทอด

ทุกคนรวมตัว กำลังพูดคุยเรื่องขุนพลศักดิ์สิทธิ์อยู่

“อริยะมหามรรคหมื่นคนอย่างนั้นหรือ เกินไปแล้วกระมัง มรรคาสวรรค์ของพวกเราจะต้านไหวได้อย่างไร”

“ใช่แล้ว ข่าวแพร่ออกไปแล้ว สิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์จำนวนมากล้วนคิดหาทางหลุดพ้นจากดวงชะตามรรคาสวรรค์แล้ว”

“นี่ถือเป็นเคราะห์ภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมรรคาสวรรค์เท่าที่เคยมีมาเลย”

“พวกเราจะทำอย่างไรดี”

“ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์ก็ไม่ได้พูดอะไร”

“วางใจเถอะ หากนายท่านหวาดกลัว คงบอกให้หนีนานแล้ว”

“ประเด็นคือหนีก็ไม่รอดน่ะสิ ได้ยินว่าเมื่อขุนพลศักดิ์สิทธิ์ผ่านไปที่ใด หากมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ผ่านการตรวจตราปรากฏตัวขึ้น ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาในทันใด!”

ทุกคนพากันพูดขึ้นมา

โจวฝานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร พอถึงเวลากลับมาที่อาณาเขตเต๋าเสียก็พอ อาณาเขตเต๋าของท่านอาจารย์น่าจะต้านขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้”

ฉู่ซื่อเหรินเอ่ยว่า “ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็มาที่โลกพุทธะของข้าได้”

หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงเอ่ย “จะว่าไป ระยะนี้ภายในมรรคาสวรรค์ก็แปลกไปยิ่งนัก ถึงขั้นที่มีคนจงใจปล่อยข่าวลือสื่อมาถึงตัวท่านเจ้าสำนักด้วย บอกว่าเป้าหมายของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่มรรคาสวรรค์ แต่เป็นเทพมารฟ้าบุพกาล”

ซูฉีเองก็ฮึดฮัดขึ้นมา “ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน อริยะบางกลุ่มไม่รู้กาลเทศะ นินทาว่าร้ายในระหว่างเทศนาธรรม”

เต้าจื้อจุนกะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “อริยะเหล่านี้บ้าไปแล้วหรือ คิดว่าตัวเองเป็นอมตะจริงๆ หรือไร”

ถึงแม้จอมอริยะเสวียนตูจะกำชับเหล่าอริยชนไว้ดีแล้ว ให้ปกปิดข่าวที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์พุ่งเป้ามาที่มรรคาสวรรค์เอาไว้ แต่เรื่องนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ อริยะบางส่วนอดใจไม่อยู่บอกเล่าต่อศิษย์ในสังกัดตน ในไม่ช้า ข่าวก็แพร่กระจายไปในหมู่เซียนทองต้าหลัว

“น่าขันเสียจริง หากไม่มีเจ้าสำนักของพวกเรา มรรคาสวรรค์คงล่มไปนานแล้ว อะไรกัน ตอนนี้ลืมกำพืดกันแล้วหรือ” เจียงอี้เอ่ยอย่างดูแคลน

ไก่คุกรัตติกาลมองไปที่หลี่เต้าคง เอ่ยถาม “ผู้พิทักษ์หลัก เหตุใดเจ้าถึงเงียบล่ะ ระยะนี้กลุ่มอิทธิพลมิ่งเป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่เต้าคงส่ายหน้ากล่าวว่า “ประคองชีวิตรอดไปวันๆ หลบซ่อนตัวไปทั่ว เพียงแต่การปรากฏตัวขึ้นของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ก็บรรเทาแรงกดดันให้มิ่งได้จริงๆ”

หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยเสนอ “ทุกคน ไม่สู้กลับมากันให้หมดเถอะ ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ระดมกำลังทั้งหมดของสำนักซ่อนเร้น เมื่อถึงเวลาจะได้รับมือขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยกัน”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ศิษย์คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

โจวฝานและฉู่ซื่อเหรินก็พยักหน้ารับเช่นกัน หากปล่อยให้กองกำลังของพวกเขาเผชิญหน้ากับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ตามลำพัง ต้องตายแน่นอน

พวกเขาต่างเป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์เช่นกัน!

พวกเขาเชื่อว่าหานเจวี๋ยไม่มีทางพูดโกหก ขุนพลศักดิ์สิทธิ์พุ่งเป้ามาที่เทพมารฟ้าบุพกาลและสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์

….

ณ โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ ตั้งอยู่ท่ามกลางแสงอัสดง แผ่นดินเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ แสงสว่างสาดส่องไปทั่วห้วงอวกาศผืนนี้

หยางเช่อเหาะมา เข้าสู่โลกอริยะไตรวิสุทธิ์ เหินมุ่งสู่แผ่นดินที่อยู่ชั้นบนสุด เข้าสู่โลกอันสดใสแห่งหนึ่ง

เมื่อเหาะไปเรื่อยๆ เขามาถึงหน้าตำหนักใหญ่หลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว หน้าตำหนักมีเทวรูปใหญ่มหึมาตั้งอยู่สองตน มีชีวิตชีวาสมจริง สองตาทอประกาย

หยางเช่อคุกเข่าลงหน้าประตู เอ่ยว่า “เรียนผู้อาวุโสไตรวิสุทธิ์ ผู้เยาว์หยางเช่อขออนุญาตเข้าพบ”

ประตูใหญ่เปิดออก หยางเช่อเข้าไปในตำหนัก สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นอยู่บ้าง

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ในอาณาเขตเต๋าของฉิวซีไหล เขากำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ

เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าฉิวซีไหล เป็นมายาเลื่อนลอย คือโพธิสัตว์เจียอิ๋น

ฉิวซีไหลลืมตาขึ้น ขมวดคิ้ว

โพธิสัตว์เจียอิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจหยุดยั้งได้ เจ้ายินดีจะหวนคืนสำนักพุทธตะวันตกหรือไม่”

ฉิวซีไหลเงียบงัน

โพธิสัตว์เจียอิ๋นกล่าวว่า “ขุนพลศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนล้วนเป็นตัวตนไร้พ่ายระดับอริยะมหามรรค หมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เจ้าน่าจะรู้ดีว่ามีความหมายอย่างไร นี่คืออำนาจสูงสุดแห่งฟ้าบุพกาล มุ่งกำจัดเทพมารและมรรคาสวรรค์ เป็นกองกำลังขนาดใหญ่ที่ต่อต้านไม่ได้ หากเจ้าอยู่ในมรรคาสวรรค์ จะมีเพียงความตายเท่านั้น

“ในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์มีบางส่วนที่เริ่มหาทางรอดแล้ว เหตุผลที่ข้ามาหาเจ้า เพียงเพราะคำนึงถึงสายสัมพันธ์แต่เก่าก่อน”

ฉิวซีไหลเอ่ยถาม “พวกท่านก็มาจากมรรคาสวรรค์ มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ตกเป็นเป้าหมายของขุนพลศักดิ์สิทธิ์”

ครั้งนี้ถึงตาโพธิสัตว์เจียอิ๋นเงียบบ้างแล้ว

ฉิวซีไหลก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน อดทนรอคอย

โพธิสัตว์เจียอิ๋นเอ่ยขึ้นเนิบๆ ว่า “แดนเทพหวนปัจฉิมตัดขาดดวงชะตามรรคาสวรรค์มานานแล้ว พวกเราย่อมไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงจงรักปักใจกับมรรคาสวรรค์และหานเจวี๋ยขนาดนี้ หากคิดดีแล้ว ติดต่อมาหาข้าได้ทุกเมื่อ艾琳小說

“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว”

พอกล่าวจบ โพธิสัตว์เจียอิ๋นก็กลายเป็นหมอกควันสลายไป

สีหน้าฉิวซีไหลเรียบเฉย ทว่าเยาะหยันอยู่ในใจ

ตอนนี้เขาจงรักภักดีต่อหานเจวี๋ย จะหวั่นไหวได้อย่างไร

“ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเป็นอริยะหน้าไหนที่คิดจะจากไป…”

แววตาฉิวซีไหลวูบไหว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างผลงานกับหานเจวี๋ย

เรื่องบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องให้หานเจวี๋ยมากังวลเลย

เขาลุกขึ้นทันที มุ่งหน้าไปหาอริยะคนอื่นๆ

….

ณ ศาลาริมทะเลสาบ

“อะไรนะ พวกเจ้าต้องการกลับมรรคาสวรรค์! บ้าไปแล้วหรือ!”

เหล่าตานถลึงตาร้องด่าด้วยความโมโห แสดงสีหน้าคับแค้นที่ไม่อาจเปลี่ยนเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้

เต้าจื้อจุนเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “มรรคาสวรรค์มีภัย ศิษย์สำนักซ่อนเร้นย่อมต้องกลับไป!”

จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้พยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้จะจากมรรคาสวรรค์มานาน แต่พวกเขาไม่มีทางหลงลืมฐานะตน

เหล่าตานฝืนข่มความโมโหไว้ เอ่ยไปว่า “ขุนพลศักดิ์สิทธิ์หมื่นคน ต้องการทำลายล้างมรรคาสวรรค์ ต้องการกวาดล้างเทพมารฟ้าบุพกาล พวกเจ้ากลับไปก็ตายแน่ พวกเจ้าพิสูจน์เสรีสำเร็จแล้ว นับว่าเป็นผู้ทรงพลังระดับหนึ่งจริงๆ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรค่าพอให้เหลือบแลเลย แม้แต่ร่างต้นกำเนิดของผู้เฒ่าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์เลยด้วยซ้ำ!”

เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวนและเจียงอี้เงียบไป แต่แววตายังคงแน่วแน่

พวกเขาไม่หวั่นเกรงความตาย!

ผ่านไปพักใหญ่

“ข้าอยากเห็นนักว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะแกร่งเพียงใด!” เจียงอี้แค่นเสียง

สีหน้าเหล่าตานหมองคล้ำลง

จ้าวเซวียนหยวนโวยวาย “ตาเฒ่า คงไม่ใช่ว่าเจ้าไม่คิดปล่อยพวกเรากลับไปกระมัง”

เหล่าตานแค่นเสียงกล่าวไปว่า “ไปไหนก็ไปกัน! ผู้เฒ่าจะไปกับพวกเจ้าเอง ผู้เฒ่าก็อยากเห็นเช่นกันว่าเจ้าสำนักซ่อนเร้นเป็นตัวตนเช่นไรกันแน่ ถึงทำให้พวกเจ้าจงรักภักดีได้ขนาดนี้”

ทั้งสามหัวเราะแหะๆ บรรยากาศสุขสันต์ขึ้นมาทันที

จ้าวเซวียนหยวนเริ่มโอ้อวดถึงหานเจวี๋ย

ในเวลาเดียวกันนี้ เจดีย์มรรคายิ่งใหญ่และโลกพุทธะก็มุ่งหน้าไปยังมรรคาสวรรค์เช่นกัน

โจวฝานและฉู่ซื่อเหรินต่างพากองกำลังของตนเดินทางไปอย่างยิ่งใหญ่

หานเจวี๋ยไม่ทราบความเคลื่อนไหวของเหล่าศิษย์ เขายังอยู่ระหว่างปิดด่านฝึกบำเพ็ญ

ผ่านไปอีกห้าหมื่นปี

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สีหน้าคาดหวังตั้งตารอ

พลังเวทของเขายกระดับขึ้นอีกแล้ว!

เขาเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคน

ถึงแม้เขาจะยังไม่ทะลวงระดับ แต่จากการหลอมปรับเปลี่ยนดวงดาวในหลายปีมานี้ พลังเวทของเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ยามที่เขาสำแดงร่างจำลองเสรีสุญญตาออกมา ร่างจำลองเทพมารกว่าพันร่างล้วนแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

………………………………………………………………