บทที่ 834 ในประวัติการณ์!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 834 ในประวัติการณ์!

หลังจากใช้แบบจำลองการทดสอบหลายสิบรอบ หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ยิ้มออกมา

ตอนนี้ต่อกรกับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคนได้สบายๆ ยิ่ง เพียงแต่ยังไม่ถึงจุดที่สามารถสังหารในเสี้ยววินาทีได้

หากต้องการสังหารอริยะเทพอวี๋เจี้ยนให้ได้ในเสี้ยววินาที พลังเวทของเขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้

จากนั้น หานเจวี๋ยบิดขี้เกียจคราหนึ่ง เริ่มตรวจดูจดหมาย

ดูเหมือนช่วงนี้ฟ้าบุพกาลจะคึกคักขึ้นมาอีกแล้ว มีสหายไม่น้อยเลยที่เผชิญกับการโจมตี เพียงแต่ยังคงไม่ปรากฏแจ้งเตือนเกี่ยวกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์

หลังจากตรวจจดหมายเสร็จ หานเจวี๋ยถามในใจ ‘อีกนานแค่ไหนกว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงมรรคาสวรรค์’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ประมาณสองล้านปี]

ไม่นับว่านาน แต่ก็ไม่นับว่าเร็วเช่นกัน

หานเจวี๋ยคิดไปคิดมา ตัดสินใจจะประกาศเรื่องนี้ต่อศิษย์ในสำนัก ป้องกันไม่ให้พวกเขาบังเอิญพบขุนพลศักดิ์สิทธิ์ล่วงหน้าแล้วถูกกำจัดทิ้ง

เขาทอดสายตามองออกไปในฟ้าบุพกาล พบว่าเหล่าศิษย์ในสังกัดล้วนกำลังมุ่งหน้ามายังมรรคาสวรรค์ ถึงขั้นที่โลกพุทธะและเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ยกกันมาทั้งโลกเลยทีเดียว เป็นฉากที่น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง

เขานับนิ้วทำนายดู ทำนายพบว่าเหล่าศิษย์หารือกันมาดีแล้ว

เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ พึมพำกับตัวเอง “ทำให้ข้าเบาใจได้ยิ่งนัก”

ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความน่าพรั่นพรึงของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ด้วย แม้แต่เหล่าศิษย์ที่ชมชอบท่องไปทั่วล้วนทยอยกลับมาแล้ว

พอนึกมาถึงตรงนี้ หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา อยากลองดูว่าจะสามารถสาปแช่งขุนพลศักดิ์สิทธิ์เพื่อถ่วงเวลาได้หรือไม่

ทว่า พลังคำสาปแช่งของเขาส่งไปไม่ถึงขุนพลศักดิ์สิทธิ์เลย

ราวกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในฟ้าบุพกาล แม้ว่าหานเจวี๋ยจะย้อนนึกถึงรูปลักษณ์ของพวกเขาขึ้นมาในหัวแล้ว ก็ยังไม่เป็นผลอยู่ดี

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘หากตัวข้าในตอนนี้ปะทะกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จะมีโอกาสชนะหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่มี]

เด็ดขาดขนาดนี้เชียวหรือ

หานเจวี๋ยหัวใจเต้นแรง

ไม่ได้การแล้ว!

ต้องรีบทำเวลา พิสูจน์ยอดมหามรรคให้ได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นคงไม่มีทางเอาชนะขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้

ยังมีเวลาอีกสองล้านปี เว้นแต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันขึ้น เขาน่าจะทะลวงระดับได้สำเร็จก่อนเกิดการต่อสู้ขึ้น

กลัวก็แต่ความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น!

หานเจวี๋ยสอดส่องมรรคาสวรรค์เล็กน้อย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีความวุ่นวายใหญ่โต เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

“เทพมารฟ้าบุพกาลทั้งหมดจงมายังอาณาเขตปฐมภพ!”

ทันใดนั้นเสียงของเทพมารปฐมภพแว่วขึ้นในหัวของหานเจวี๋ย เขามองข้ามไปทันที

เชิญพวกเจ้าไปสู้ก่อนเลย!

….

ภายในอาณาเขตปฐมภพ

เทพมารปฐมภพกวาดตามองเทพมารฟ้าบุพกาลที่อยู่ในโถงตำหนัก ก่อนขมวดคิ้วขึ้นมา

ขาดเทพมารไปหลายตนเลย หานเจวี๋ยก็ไม่มาเช่นกัน

สำหรับหานเจวี๋ย เทพมารปฐมภพให้ค่ายิ่งนักเสมอมา สำหรับเรื่องหานทั่วกับบรรพชนมารก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าหานเจวี๋ยกำลังโกหกอยู่

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็มาเช่นกัน สีหน้าของเทพมารฟ้าบุพกาลทุกตนล้วนตึงเครียดอย่างยิ่ง!

เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าจากนี้ต้องเผชิญกับอะไร!

เทพมารปฐมภพเอ่ยเสียงขรึม “ทุกท่าน เรื่องที่ผานกู่กระทำเพื่อพวกเรา ทุกท่านน่าจะทราบดีแล้ว พวกเราไร้ซึ่งทางหนี มีแต่ต้องสู้เท่านั้น! ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้หายไปไหน เพียงไปปิดด่านมาเท่านั้น ข้าทราบเป้าหมายที่แท้จริงของขุนพลศักดิ์สิทธิ์แต่แรกแล้ว ดังนั้นจึงไปปิดด่านบำเพ็ญ!

“ขุนพลศักดิ์สิทธิ์มิได้ค้นหาเทพมารอนธการ แต่มาเพื่อกำจัดเทพมารฟ้าบุพกาล หากพวกเราล้วนถูกกวาดล้างจนสิ้น เมื่อเทพมารอนธการสำแดงคุณสมบัติออกมา จะถูกพบตัวได้ง่ายยิ่ง อีกทั้งเมื่อขาดดวงชะตาของพวกเราไป เทพมารอนธการไม่มีทางเติบใหญ่ขึ้นได้

“อ้างอิงจากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ในครั้งอดีต เทพมารอนธการเป็นเช่นเดียวกับผานกู่ในกาลก่อน ปีนป่ายเหยียบย่ำดวงชะตาของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อให้ฟ้าบุพกาลปั่นป่วนเช่นไร แผนการของเหล่าดวงจิตมหามรรคก็คือต้องการทำให้เทพมารอนธการไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ด้วยการสังเวยพวกเรา! ทุกท่านยอมรับได้หรือ”

เสียงของเขาทุ้มต่ำอย่างยิ่ง เจือด้วยเพลิงโทสะท่วมฟ้า

เมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้ เทพมารอนธการทั้งหมดต่างเปิดปากขึ้นมา ล้วนไม่ยินยอม

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนกล่าวว่า “ข้าก็ไม่คิดเช่นกันว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะพุ่งเป้ามาที่พวกเรา อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพวกเราด้วย ต่อให้ไร้ซึ่งเทพมารอนธการ พวกเราก็คุกคามอำนาจและตำแหน่งของดวงจิตมหามรรคอยู่ดี”

“สังหารเสียเถอะ! แทนที่จะปล่อยให้ถูกกำจัดทิ้งทีละตน ไม่สู้มาร่วมมือกันดีกว่า!”

ในฐานะเทพมารอนธการที่ท้าทายผานกู่แล้วรอดชีวิตมาได้ ยามนี้เสียงของอริยะเทพอวี๋เจี้ยนมีน้ำหนักยิ่งนัก

เทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งเอ่ยถาม “แต่อาศัยแค่พวกเรา จะต้านทานขุนพลศักดิ์สิทธิ์ได้จริงหรือ ข้าไม่ได้จะบอกว่าไม่สู้ แต่ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ พวกเราสามารถเตรียมตัวไว้ให้มากหน่อยได้”

ฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่ ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ยังคงลาดตระเวนอยู่ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล มิได้มุ่งตรงมาหาเทพมารฟ้าบุพกาล

เทพมารปฐมภพกล่าวว่า “ผานกู่ยังฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ อีกอย่าง เขาเรียกรวมตัวสิบสองบรรพชนจอมเวทแล้ว ให้มาเป็นกำลังเสริม ถึงแม้บรรพชนจอมเวทจะไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นกำลังส่วนหนึ่งให้ได้”

ผานกู่ฟื้นคืนชีพ!

เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลพลันตัวสั่นขึ้นมา!

พลังของผานกู่ไร้ซึ่งข้อกังขาจริงๆ ก่อนหน้านี้เคยต่อสู้กับเทพมารฟ้าบุพกาลหลายสิบตนด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว!

เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลพากันเสนอแผนการออกมา รวบรวมกองกำลังทั้งหมดที่สามารถเรียกระดมมาได้ เตรียมประกาศศึกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์!

ยิ่งคุยพวกเขาก็ยิ่งตื่นตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงขั้นที่คิดจะชักจูงบรรพชนมารมาเข้าพวก!

เทพมารปฐมภพหัวเราะดังลั่น “เยี่ยมมาก ให้เหล่าดวงจิตได้เห็นดีกันว่าฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้เป็นของผู้ใดกันแน่!”

อาจจะเป็นเพราะศึกนี้มิใช่แค่ศึกตัดสินความเป็นความตาย แต่เป็นศึกที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์ของฟ้าบุพกาลด้วย!

เหล่าเทพมารใช่ว่าจะไร้ซึ่งความหวัง ถึงอย่างไรในกลุ่มก็มีเทพมารบางส่วนที่ตบะบรรลุถึงยอดมหามรรค หนึ่งตนเพียงพอจะต่อกรกับอริยะมหามรรคสิบคนได้

….

มรรคาสวรรค์

ณ กลุ่มตำหนักวังเทพ ในตำหนักใหญ่ที่เงียบสงัดหลังหนึ่ง พลันเกิดการสั่นสะเทือน ประตูใหญ่เปิดออกเสียงดังสนั่น

ฉินหลิงค่อยๆ เดินออกมา มังกรทองตัวหนึ่งเลื้อยพันอยู่บนร่าง มีเงามายาของง้าวศึกเล่มใหญ่แฝงอยู่รางๆ

เขาเงยหน้ามองท้องนภา แสงทองพุ่งทะลุลงมา เจาะทะลวงเมฆา

“สำนักพุทธ สมควรชดใช้หนี้โลหิตได้แล้ว!”

ฉินหลิงยิ้มเหี้ยมเกรียม

เวลานี้เอง บุตรแห่งสวรรค์ของวังเทพโผล่ออกมาคนแล้วคนเล่า ถึงแม้วังเทพจะเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ แต่มีครึ่งอริยะไม่มาก ทุกครั้งที่มีปรากฏขึ้นมาสักคนล้วนคู่ควรได้รับการแสดงความยินดีจากสมาชิกวังเทพตั้งแต่บนจรดล่าง

จั้งกูซิงก็มาด้วย อริยะย่อมมาด้วยร่างจริงไม่ได้ เป็นร่างจำลองเท่านั้น

ฉินหลิงประสานมือคำนับจั้งกูซิง

จั้งกูซิงมาถึงตรงหน้าเขา ถามเสียงขรึม “เหตุใดถึงไม่ยอมระงับปราณกระบี่”

ฉินหลิงตอบว่า “ข้ากำลังประกาศสงครามขอรับ!”艾琳小說

“เจ้า…ยังยึดติดไม่ตื่นรู้อีกหรือ”

“อริยะท่าน โปรดอนุญาตต่อความยึดติดดื้อรั้นของข้าด้วย!”

เมื่อจั้งกูซิงได้ยิน ก็โมโหจนตัวสั่นไปหมด ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความชื่นชม

ในที่สุดก็มาแล้ว!

จบมหาเคราะห์ให้เร็วขึ้นหน่อยก็ดี มรรคาสวรรค์ต้องการรวมใจให้เป็นหนึ่ง เตรียมพร้อมรับมือภัยใหญ่ที่ใกล้เข้ามา

ในเวลาเดียวกันนี้ ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

ภายในอาณาเขตเต๋าของฟางเหลียง เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้ จี้เซียนเสินและซูฉีล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่

“เขาก็คือฉินหลิงหรือ เหตุใดจึงก่อความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้”

เจียงอี้ถามด้วยความสงสัย พลังของฉินหลิงแผ่มาถึงชั้นฟ้าที่สามสิบสามแล้ว สำหรับอริยะแล้ว นับว่าเป็นอันตรายคุกคาม

ฟางเหลียงก็มิได้ปิดบัง บอกเล่าแผนการมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต

จ้าวเซวียนหยวนร้องจุ๊ๆ อุทานว่า “พวกเจ้าช่างเล่นสนุกเป็นเสียจริง!”

เต้าจื้อจุนหวนนึกถึงมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งก่อน กล่าวด้วยความสะท้อนใจ “ไม่ว่ามรรคาสวรรค์จะพัฒนาไปเช่นไร สุดท้ายอริยะก็ยังเล่นเกมอยู่ เพียงแต่พวกเราโชคดีที่หนีรอดจากกระดานหมากแล้ว ฉินหลิงก็มีสำนักซ่อนเร้นคอยดูแลเช่นกัน”

ซูฉีพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

ในมหาเคราะห์ครั้งก่อน เขาถูกปั่นหัวจนน่าอนาถที่สุด จนกระทั่งปัจจุบันนี้พอนึกถึงขึ้นมา ล้วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

เจียงอี้กล่าวว่า “ใช่แล้ว เจ้าสำนักสั่งการว่าอย่างไรบ้าง ยามนี้พวกเราก็เข้าสู่มรรคาสวรรค์ไม่ได้แล้วเช่นกัน”

ฟางเหลียงกล่าวว่า “ไม่มีเลย แต่นี่ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดแล้ว”

คนที่เหลือรู้สึกว่ามีเหตุผล อดพยักหน้าตามไม่ได้

หากว่าหานเจวี๋ยหวาดกลัว ต้องให้พวกเขาเตรียมการหลบหนีแน่

เมื่อไม่พูด เช่นนั้นก็แปลว่าจะสู้!

………………………………………………………………