บทที่ 711 ความเศร้าใหญ่หลวง (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 711 ความเศร้าใหญ่หลวง (1)

“ร่างจำแลงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด?”

หลังจากออกมาจากวังเซ่งหมู่แล้ว ในระหว่างทางกลับไปยังดินแดนเทวะทั้งห้า ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ฟังการบรรยายเรื่องราวจากหลี่ฉางโซ่ว แล้วถอนหายใจ

“กลายเป็นแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีเพื่อสิ่งมีชีวิต แต่ยังคงต้องแบกรับเสี้ยวความคิดที่เหลืออยู่ที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ ความจริงแล้ว ราชินีโฮ่วถู่…

ศิษย์น้อง หากเจ้ามีวิธีจัดการแก้ไขเรื่องนี้ ก็โปรดช่วยราชินีโฮ่วถู่ด้วยเถิด เจ้ามักมีความคิดมากมายเสมอ

หากเจ้าสามารถช่วยราชินีโฮ่วถู่จัดการบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้ มันก็จะเป็นบุญใหญ่หลวงเช่นกัน”

“ศิษย์พี่…”

หลี่ฉางโซ่วเอ่ยอันใดไม่ออกไปพักหนึ่ง

เขาเพียงต้องการทำบางอย่างเพื่อแดนยมโลก และสิ่งมีชีวิต ซึ่งหากปรมาจารย์เต๋าสวรรค์ไม่ได้ให้บุญใดๆ แก่เขา เขาก็จะไม่เข้าไปช่วย?

แน่นอนว่าความกระตือรือร้นของเขาจะได้รับผลกระทบในทางร้ายให้ลดลงในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าเกรงว่าจะทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้

ตามที่พระมารดาศักดิ์สิทธิ์[1] ได้กล่าวไว้ มีความเกลียดชังในร่างจำแลงของราชินีโฮ่วถู่ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในเวลานี้

ระดับฐานพลังของข้ายังตื้นเขินนัก ข้ากลัวว่า ข้าจะถูกร่างจำแลงนี้สังหารเสียก่อนที่จะได้เข้าใกล้ด้วยซ้ำขอรับ”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูครุ่นคิดอยู่สักพักและกล่าวว่า “ที่เจ้าว่าก็มีเหตุผล”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที ด้วยมีปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่คอยปกป้องเขา แม้จะเข้าสู่แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี เขาก็ย่อมจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย

เป็นไปไม่ได้ที่ปรมาจารย์จอมปราชญ์ของเขาเองจะยอมปล่อยให้พวกเขาทั้งสองคนติดอยู่ด้วยกันในสังสารวัฏหกวิถี

ทว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ได้พลิกมือซ้ายของเขา แล้วเจดีย์เสวียนหวงและแผนภาพไท่จี๋ก็ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน พวกมันหมุนวนไปเบาๆ ในฝ่ามือของเขา แล้วถูกส่งไปยังหลี่ฉางโซ่ว…

“ทำให้เต็มที่!”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ตบไหล่ของหลี่ฉางโซ่วและกล่าวว่า “ในฐานะศิษย์พี่ของเจ้า จะแบ่งบุญของเจ้าได้อย่างไร?

ท่านอาจารย์และข้าจะคอยสนับสนุนช่วยเหลือเจ้าอยู่ข้างหลังเสมอ เจ้าลงมือทำไปเถิด!”

“ขอบคุณศิษย์พี่ขอรับ!”

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกประทับใจอย่างสุดจะพรรณนาได้ เขาถือสมบัติป้องกันสองชิ้นเอาไว้ในมือ และโค้งคำนับให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อย่างสุดซึ้ง

จากนั้น เขาก็พึมพำเบาๆ ว่า “หากเป็นเช่นนั้น แม้ช่วงเวลาจะสั้นลง แต่ข้าก็ยังคงสามารถขอให้สหายเต๋าข่งเชวี่ยนตอบแทนบุญคุณที่เขาติดค้างข้าไว้ได้

อืม เช่นนั้นแล้ว ข้าจะเป็นหนี้ติดค้างบุญคุณสหายเต๋าข่งเชวี่ยนอีกครั้ง

แต่เพียงแค่นี้ก็ตอบแทนได้ไม่ยาก เขาต้องการไปดูที่วังดุสิต ไม่รู้ว่าเหล่าจื้อจะยอมอนุญาตหรือไม่…”

ในขณะนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู ซึ่งยกมือซ้ายและกำลังจะทะลุผ่านจักรวาลเพื่อจากไปก็หยุดไปชั่วขณะ

หลี่ฉางโซ่วมองไปยังสมบัติทั้งสองชิ้นที่อยู่ต่อหน้าเขา และในใจของเขาก็แทบจะล้นปรี่ไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย

“แค่กๆ ข้าคิดเรื่องนี้เพื่อศิษย์น้องของข้าเอาไว้แล้ว” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูหันกลับมากล่าวพลางเผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน

“การปล่อยให้ฉางโซ่วเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเองคนเดียวนั้น ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสถานการณ์ในสังสารวัฏหกวิถีนั้นเป็นอย่างไร”

ขณะที่เขากล่าว มือใหญ่ก็เอื้อมออกไปดึงแผนภาพไท่จี๋กลับมาเงียบๆ

“ขอบคุณศิษย์พี่! ฮิฮิ”

“เจ้าเด็กน้อยนี่มันร้ายกาจจริงๆ” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กัดฟันก่นด่า

“หากเป็นเรื่องผู้บำเพ็ญเหวินจิงในตอนนั้น ก็ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะยุยงให้นางกบฏ แต่ตอนนี้… เหอะ!

อย่าเที่ยวสุ่มสี่สุ่มห้าจัดการเรื่องนี้ให้ข้า เหตุใดข้าถึงต้องการมีใครสักคนติดตามไปกับข้าเมื่อข้าสบายใจ? มันเป็นเรื่องยาก ที่จะผูกด้ายแดงจนสุด”

หลี่ฉางโซ่วนำเจดีย์เสวียนหวงออกไปพลางยิ้มและหรี่ตาลง จากนั้นเขาก็กระโดดไปที่ด้านข้างของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และประสานมือคารวะพลางกล่าว

“ศิษย์พี่ ไยพวกเราไม่ไปดูที่เกาะเต๋าทองกันก่อนเล่าขอรับ? ที่นั่นมีของหายากบางอย่างอยู่ด้วย

และในเวลาเดียวกัน ก็ค่อยให้ข้าคิดดูก่อนว่า ข้าจะช่วยราชินีโฮ่วถู่ได้อย่างไรขอรับ”

“ที่นั่นมีของหายากอันใดนักหรือ? หรือว่ามีใครบางคนกลายเป็นคู่บำเพ็ญเต๋า?”

“ตรงกันข้ามเลยขอรับ”

“โอ้?”

ดวงตาของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เปล่งประกาย จากนั้นเมฆสีขาวก็ก่อตัวขึ้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา แล้วพาหลี่ฉางโซ่วไปยังดินแดนเทวะทั้งห้า

หลี่ฉางโซ่วหลับตาและเพ่งสมาธิจดจ่อ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาของราชินีโฮ่วถู่

นี่อาจถือได้ว่าเป็นปัญหายุ่งยากและลำบากซับซ้อนที่สุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา นับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญในโลกบรรพกาล

การคำนวณและการวางแผนการของเขาไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง และเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำอย่างไร

ตามที่ราชินีหนี่วาบอกเล่าถึงสถานการณ์ของราชินีโฮ่วถู่ นางได้อดทนแบกรับความคิดของอารมณ์ทั้งเจ็ดที่มีต่อสิ่งมีชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนจนทำให้ตัวนางเองใกล้จะล่มสลายและทำให้เกิดเจ็ดร่างจำแลง และร่างจำแลงเหล่านั้นก็ล้วนก่อกำเนิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ทั้งเจ็ดของราชินีโฮ่วถู่เอง…

จากความเข้าใจของหลี่ฉางโซ่ว มันเป็น “บุคลิก” ที่สมบูรณ์ของราชินีโฮ่วถู่ที่นางแบ่งมันออกเป็นเจ็ดบุคลิกตามอารมณ์ทั้งเจ็ด

ใช่แล้ว นี่คือ บุคลิกที่แตกแยกออกมา

หลี่ฉางโซ่วได้เห็นตัวอย่างของผู้ฝึกบำเพ็ญที่มีบุคลิกแตกแยกในตำราโบราณมาแล้วมากมาย

จิตมารภายในของผู้ฝึกบำเพ็ญหลายคนมีบุคลิกบิดเบี้ยวไป เป็นเพราะพวกเขาเก็บกดและหลีกเลี่ยงอารมณ์บางอย่างตลอดเวลาจนส่งผลให้เป็นดังนั้น

บุคลิกที่แตกแยกเช่นนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวิถีทางจำแลงร่างตามความนิยมหลักของโลกบรรพกาล

วิถีทางแบบแรกอย่างราชินีโฮ่วถู่นั้นไม่อาจควบคุมได้ในขณะที่วิธีการแบบระยะหลังตามความนิยมหลักนั้น ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้ฝึกบำเพ็ญเป็นหลัก

ร่างจำแลงจากอารมณ์ทั้งเจ็ดสามร่างแรกนั้น คือ ความเศร้า ความปรารถนา[2] และความชั่วร้าย[3] ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายจริงๆ

วิญญาณของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ที่มาถึงแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีนั้น ล้วนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าจากความตาย

ความปรารถนาเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันสามารถถือเป็นแรงผลักดันพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต และมันก็มักจะเกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายอีกด้วย…

หากเขาปล่อยอารมณ์ทั้งเจ็ดออกไป แล้วเขาจะสามารถทำให้ราชินีโฮ่วถู่หลุดพ้นจากความเจ็บปวดนั้นได้หรือไม่?

………………………………………………………………..

[1] หมายถึงเทพีหนี่วา

[2] ถือเป็นความใคร่เช่นกัน

[3] ถือเป็นความเกลียดชังเช่นกัน