บทที่ 710 ตำนานลึกลับแห่งวังเซิ่งหมู่ของเทพีหนี่วา (4)
หนี่วาถามว่า “เจ้าเคยเข้าสู่สังสารวัฏหกวิถีมาก่อนหรือไม่?”
“ศิษย์เคยเข้าไปด้วยร่างจำแลงขอรับ” หลี่ฉางโซ่วอดจะตกตะลึงไม่ได้แล้วกล่าวว่า “องค์ราชินี ไม่รู้เรื่องนี้หรือขอรับ?”
“หากข้าอยากรู้ ข้าก็ย่อมจะรู้” หนี่วากล่าวอย่างสงบ
“แต่เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าจอมปราชญ์จะต้องเฝ้าดูทุกชีวิตในโลกนี้ด้วยเล่า?”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก
“นี่…”
“ใช่แล้ว ข้าเกือบลืมไป” หนี่วากล่าว ดวงตาดุจหงส์ของนางหรี่ลง และนางก็แกล้งแหย่เขา
“เจ้าช่างแปลกจริง หากเจ้าเป็นจอมปราชญ์ แล้วเจ้าคงจะตรวจสอบทุกสิ่งในโลกนี้อย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังถามถึงปัญหา แต่เจ้าก็ยังสนุกกับมัน
แน่นอนว่า เจ้าไม่อาจเป็นจอมปราชญ์ในโลกนี้ได้”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “องค์ราชินี ท่านใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นนี้ มันน่าตกใจเกินไป
องค์ราชินี โปรดบอกเรื่องของราชินีโฮ่วถู่ให้ศิษย์รู้ด้วยเถิดขอรับ”
“รีบเร่งอันใดกัน?” หนี่วากล่าวพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วหันกลับมาและเห็นว่ามุมที่เขาเคยนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานขนาดเล็กแล้ว
มีโต๊ะตัวเตี้ย เบาะนั่ง ฉากกั้น กระถางธูป… อุปกรณ์ทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมเอาไว้อย่างครบครันเลยทีเดียว
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ต้องวาดอีกเรื่อง
และเพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าก็จะชี้แนะเส้นทางที่ชัดเจนให้แก่เจ้าเพื่อให้เจ้าได้รับบุญในแดนยมโลกและช่วยให้เจ้าได้สร้างร่างทองแห่งบุญสำเร็จ เช่นนี้ เจ้าเห็นเป็นอย่างไร?”
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับให้อย่างสงบและหันกลับไปนั่งที่มุม จากนั้นเขาก็คลี่กระดาษออก จัดวางพู่กัน และหมึกอย่างชำนาญ แล้วหยิบชุดเครื่องมือวาดภาพ เช่น ไม้บรรทัด แม่แบบและเครื่องมือวาดภาพอื่นๆ ออกมา
จากนั้นเขาก็ยกพู่กันขึ้นและลงมือวาดไปชั่วระยะหนึ่งก่อนจะเริ่มสนทนา ถามและตอบคำถามอีกครั้ง และบัดนี้หลี่ฉางโซ่วก็พอมีความคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับบุญใหญ่ในแดนยมโลก
ไม่นานนักก็มีเสียงน้ำสาดกระเซ็น แล้วจอมปราชญ์หนี่วาก็ก้าวออกมาจากสระน้ำ ในขณะนั้น หางงูของนางกลายเป็นสองขา และชุดกระโปรงสั้นของนางก็กลายเป็นชุดสีทอง
แม้นางจะแต่งกายง่ายๆ สบายๆ ซึ่งทำให้ความสูงส่งสง่างามของจอมปราชญ์หมดไป แต่จอมปราชญ์หนี่วาก็มีรัศมีที่ไม่อาจพรรณนาได้ซึ่งเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมาตลอดเวลา
นางเดินไปที่ชั้นวางตำราที่สร้างขึ้นใหม่ด้านข้าง และวางผลงานที่นางเพิ่งได้รับมาใหม่ลงไปทีละเล่ม
นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถใช้พลังเซียนทำได้ง่ายๆ แต่ในขณะนั้นนางกำลังทำอย่างจริงจังเป็นพิเศษ
“องค์ราชินี ร่างที่ข้าเห็น…”
“นั่นคือ โฮ่วถู่ แต่เจ้าก็สามารถพูดได้ว่าไม่ใช่โฮ่วถู่เช่นกัน” เสียงของหนี่วาเต็มไปด้วยความเสียใจและสงสาร
“เจ้าควรรู้ว่า หากสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญา พวกเขาก็จะมีเจ็ดอารมณ์…”
หลี่ฉางโซ่วหยุดลงพู่กันไปชั่วขณะและคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ทันที
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า ราชินีโฮ่วถู่ได้รับผลกระทบจากสิ่งมีชีวิตที่กลับชาติมาเกิด?”
“ถูกต้อง” จอมปราชญ์หนี่วากล่าวอย่างอบอุ่น
“แม้กระทั่งข้าจะได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง[1]ก่อนที่วิญญาณของข้าจะเข้าสู่สังสารวัฏ และสูญเสียความทรงจำไป แต่ข้าก็ยังเก็บร่องรอยของอารมณ์ทั้งเจ็ดเอาไว้ได้เล็กน้อย
จิตวิญญาณของวิญญาณเข้าสู่แผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี ทว่ามันก็ไม่อาจมาพร้อมกับการกลับมาเกิดใหม่ของสิ่งมีชีวิตได้
ดังนั้นมันจะทิ้งร่องรอยของอารมณ์ทั้งเจ็ดเอาไว้ในแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี ไม่ว่ามันจะเป็น ความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความกลัว ความรัก ความเกลียดชัง หรือความใคร่
มันไม่ใช่ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี แต่เป็นเพราะแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี มีลักษณะการดำเนินงานเช่นนั้น
ในสมัยโบราณ เมื่อโฮ่วถู่ตัดสินใจที่จะกลายเป็นแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี นางก็ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว
ทว่าพวกเราเหล่าจอมปราชญ์และโฮ่วถู่เองก็ประเมินความซับซ้อนของอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตต่ำเกินไป
เมื่อเวลาผ่านไป เจตจำนงวิญญาณของโฮ่วถู่ก็แทบจะพังทลายลง และนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรวมตัวเองเข้ากับแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีอย่างสมบูรณ์และไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป”
จอมปราชญ์หนี่วาหยุดไปชั่วขณะและหันไปพิงชั้นวางตำรา แล้วนางก็เปิดตำราเล่มแรกที่หลี่ฉางโซ่วนำมา
จากนั้นนางก็กล่าวต่อว่า “แต่สังสารวัฏของสิ่งมีชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายเป็นตัวเอกของโลก”
และเนื่องจากอายุขัยของพวกเขามีจำกัด วิญญาณของพวกเขาจึงกลับชาติมาเกิดบ่อยครั้งขึ้น
ทว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็มีอารมณ์และความปรารถนามากที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์นับพัน เรื่องนี้จึงเพิ่มภาระให้กับโฮ่วถู่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่นางก็ไม่ได้ร้องเรียนกับเต๋าสวรรค์ นางอดทนกับมันอยู่เงียบๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง … ”
“อย่างไรขอรับ?”
“นางปิดผนึกตัวเอง ซึ่งในสถานที่ที่นางปิดผนึกตัวเองนั้น เปี่ยมไปด้วยความคิดแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด ที่หลั่งไหลออกมา
แล้วนางก็เดินออกมาจากวิถีหนึ่งแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นคนที่เจ้าเห็น นั่นก็คือ ความเศร้าของโฮ่วถู่”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ไม่อาจฟื้นคืนสติขึ้นมาได้เป็นเวลานาน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หรือว่า ร่างจำแลงนี้จะถูกกดขี่อยู่ภายใต้นรกขุมที่สิบแปด?”
“ถูกต้อง” จอมปราชญ์หนี่วากล่าว
“เท่าที่ข้ารู้ มีร่างจำแลงของสามในเจ็ดอารมณ์ได้ปรากฏขึ้น ความเศร้า ความเกลียดชัง และความใคร่ ความเศร้านั้นเป็นอย่างอ่อนที่สุด
ดังนั้นมันจึงถูกจองจำอยู่ภายใต้นรกขุมที่สิบแปด
ส่วนความเกลียดชังและความปรารถนานั้น พวกมันได้ถูกโฮ่วถู่พันธนาการเอาไว้กับแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี”
หลี่ฉางโซ่วอดจะถามไม่ได้ว่า “แล้วจะเกิดอันใดขึ้นหากร่างจำแลงของอารมณ์ทั้งเจ็ดปรากฏขึ้นขอรับ?”
“โฮ่วถู่น่าจะสูญเสียตัวตนและเปลี่ยนจากหนึ่งเป็นเจ็ด จากนั้น จิตตานุภาพของนางก็จะพังทลายลง”
ราชินีหนี่วาไปชั่วขณะแล้วกล่าวว่า “นางจะเปลี่ยนเป็นวิญญาณของเครื่องมือเวทแห่งเต๋าสวรรค์อย่างสมบูรณ์ ทว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเต๋าสวรรค์อย่างแน่นอน
หากเจ้าสามารถคิดหาวิธีที่จะช่วยให้โฮ่วถู่ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ เต๋าสวรรค์ก็ย่อมจะให้ผลบุญมหาศาลแก่เจ้าอย่างแน่นอน”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นและกล่าวว่า “ขนาดปรมาจารย์จอมปราชญ์ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วศิษย์จะทำอะไรได้ขอรับ?”
“ไม่หรอก เจ้าต่างจากพวกเรา” หนี่วายังคงพลิกตำราในมือของนางราวกับว่านางบังเอิญพูดถึงหลี่ฉางโซ่ว
“เจ้ามีความคิดแปลกๆ บางอย่าง ซึ่งบางที ในโลกบรรพกาลนี้ อาจมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่มีมัน
และอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง โฮ่วถู่จึงใช้ความเศร้าของนางเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ราชินีโฮ่วถู่และผู้อาวุโสที่โบยบินไปในเกลียวคลื่น…”
“ไม่เกี่ยว…เจ้าจะวาดหรือไม่?”
“วาด วาดขอรับ องค์ราชินี ให้ข้าจัดการอารมณ์ของข้าและหาแรงบันดาลใจบางอย่างก่อน”
หลี่ฉางโซ่วรับคำและลดศีรษะลงเพื่อเริ่มยุ่งกับงานทันที
………………………………………………………………..
[1] น้ำแกงลืมเลือน