บทที่ 660 ความลับของกล่องยา
ระหว่างทางกลับกู้เจียวขี่ม้าของสำนักบัณฑิตไป ราชาม้าวิ่งดี๊ด๊าอยู่ข้างหน้า
กู้เจียวควบม้าไปข้างรถม้า ถามกู้เหยี่ยนที่อยู่ในรถม้า “เจ้าเป็นคนเอากล่องยามารึ”
กู้เหยี่ยนมองกู้เจียวด้วยสีหน้าฉงน “ข้าไม่ได้เอามานี่ ข้าจะเอามันมาทำไม”
กู้เจียวพึมพำ “เอ๊ะ แล้วมันมาอยู่ในตะกร้าสะพายได้อย่างไร”
กู้เหยี่ยนเอ่ย “เสี่ยวซุ่นเอามาใส่กระมัง”
“ไม่ใช่ข้า” กู้เสี่ยวซุ่นที่อยู่อีกข้างเอ่ยขึ้น “เมื่อเช้าข้าหิ้วตะกร้าออกมาเลย ไม่ได้แตะของด้านในอะไรทั้งนั้น”
กู้เหยี่ยนครุ่นคิด ก่อนมองกู้เจียวพลางเอ่ย “เจ้าเป็นคนเอามาใส่เองแล้วดันลืมเองกระมัง”
กู้เจียวฉงน “ก็…อาจจะกระมัง”
กล่องยามันคงไม่ได้วิ่งเข้าไปเองได้หรอก
ตอนที่เพิ่งรู้ว่ายาในชุดปฐมพยาบาลไม่พอ นางเคยคิดว่าหากกล่องยาใบน้อยอยู่ก็คงดี ยามนี้มันอยู่จริงๆ นางจึงชักจะสงสัยในผีสางเทวดาขึ้นมาแล้ว
ช่างเถิด
ไม่คิดมันแล้ว
“ลิ่วหลัง”
มู่ชวนควบม้าเข้ามาหา
มู่ชิงเฉินอยู่อีกด้านของกู้เจียว ตอนมู่ชวนมาหา เขาไม่ได้หลีกหลบ
มู่ชวนค่อนข้างรีบ พี่สี่มีตาบ้างหรือไม่น่ะ ไม่เห็นหรือไรว่าข้ามีอะไรจะคุยกับลิ่วหลัง
พี่สี่ไม่ยอมหลบ มู่ชวนจึงทำอะไรไม่ได้ ใครให้เขาสู้พี่สี่ไม่ได้กันล่ะ
มู่ชวนจำต้องคุยกับกู้เจียวโดยมีมู่ชิงเฉินคั่น “ลิ่วหลัง เจ้ามีฝีมือการแพทย์จริงๆ นี่”
คราก่อนพวกเขาแข่งเสร็จ เจอท่านกั๋วกงล้มอยู่แถวๆ สำนักบัณฑิต ตอนนั้นกู้เสี่ยวซุ่นบอกว่า เซียวลิ่วหลังรู้วิชาการแพทย์ ถามเซียวลิ่วหลังว่าจะให้ช่วยดูท่านกั๋วกังหรือไม่
พวกเขาก็นึกว่าเซียวลิ่วหลังคงฝีมือระดับธรรมดาๆ ทว่าวันนี้เซียวลิ่วหลังรักษาผู้บาดเจ็บสาหัสหลายราย พวกเขาจึงตกใจกันมาก
มู่ชิงเฉินก็รอคำตอบของกู้เจียวเช่นกัน
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา ก่อนเอ่ย “เคยเรียนมานิดหน่อย”
“นั่นมันไม่นิดเลยนะ” มู่ชวนเลิกคิ้ว
มู่ชิงเฉินคล้ายมองออกว่ากู้เจียวไม่อยากคุยเรื่องนี้ เขาจึงเอ่ยกับมู่ชวน “มาเบียดอยู่ข้างๆ นี่ร้อนหรือไม่ ไหนว่าเจ้าไม่กลับสำนักบัณฑิตไม่ใช่รึ”
มู่ชวนเอ่ย “ข้ากลับสิ! เจ้ากลับข้าก็กลับ!”
มู่ชิงเฉินไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มู่ชวนพล่ามกับกู้เจียวข้ามหัวเขาอีกสองสามคำ จากนั้นถนนออกประตูเมืองบีบแคบลง มู่ชวนจึงจำต้องคลาดกับพวกเขา
อันที่จริงในใจมู่ชิงเฉินก็สงสัยมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ เมื่อถึงสำนักบัณฑิตกำลังจะแยกทางกัน ในที่สุดเขาก็เรียกกู้เจียวไว้ “เจ้า…รู้จักเพื่อนร่วมหอพักของซูเสวี่ยรึ”
“ไม่รู้จัก” กู้เจียวปฏิเสธ “นางก็แค่ได้รู้เรื่องศาลาจากปากจิ้งคงกับเจ้าสำนักเสินตอนที่ไปรับจิ้งคง จึงได้มาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่”
“ปกติเจ้าไม่ได้พูดมากถึงเพียงนี้นะ” มู่ชิงเฉินสีหน้าซับซ้อนเอ่ยขึ้น
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างหนักแน่นมีเหตุผล “เช่นนั้นก็เพราะนางงดงามน่าดึงดูด ข้าจึงหวั่นไหวขึ้นมานิดหนึ่งละมั้ง”
ประโยคนี้ทำเอามู่ชิงเฉินสะอึกทีเดียว
ทุกครั้งที่คิดว่าสหายร่วมชั้นคนนี้หน้าหนาพอแล้ว เขาก็จะได้เห็นอีกฝ่ายหน้าด้านเพิ่มขึ้นอีกเป็นนิ้ว
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้ามีว่าที่คู่หมั้นแล้วนะ”
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ยโดยไม่แยแส “ใครๆ ก็ชอบของสวยๆ งามๆ กันทั้งนั้น คู่หมั้นข้าก็ไม่ได้ห้ามข้ามองคนสวยเสียหน่อย”
“ข้าว่าเจ้านี่มันช่าง…” มู่ชิงเฉินไม่อาจมีความเห็นที่ตรงกันกับกู้เจียวได้ในเรื่องนี้ จึงไสม้าเดินไปข้างหน้าแทน
กู้เจียวทอดมองแผ่นหลังเขาที่กำลังโกรธเกรี้ยว คิดในใจว่าผู้ชายสมัยโบราณมีสัมผัสที่หกแรงมากทีเดียว นางกับเซียวเหิงไม่ได้ทำอะไรกันเลยยังเกือบจะถูกเขาจับได้
ดูท่าต่อไปนี้คงต้องระวังให้มากกว่านี้แล้ว
หลังจากมาถึงสำนักบัณฑิต กู้เจียวก็จูงม้ากลับเพิงม้า ก่อนจะนั่งรถม้าของเจ้าสำนักเสินกลับมาบ้านด้วยกันกับกู้เสี่ยวซุ่น กู้เหยี่ยนและราชาม้า
“ว่าแล้วว่าพวกเจ้าต้องชนะ กับข้าวเสร็จแล้วนะ” อาจารย์แม่หนานยกกับข้าวมาวางด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์หลู่เป็นคนเข้าครัวเอง ตุ๋นขาหมูน้ำตาลกรวดที่เด็กๆ ชอบกิน ปลาตะเพียนตุ๋นน้ำแดง หน่อไม้เปรี้ยวรมควัน ตุ๋นน้ำแกงเมล็ดบัวที่อาจารย์แม่หนานชอบ แน่นอนว่ามีปลากุ้ยหมักที่ท่านอาวุโสเมิ่งบอกว่าอยากกินมานานด้วย
กลิ่นเหม็นของปลากุ้ยหมักตลบอบอวลไปทั้งบ้าน ราชาม้าที่อยู่หลังบ้านโดนรมควันเสียจนตาเหลือก แลบลิ้นสูดอากาศเอาเป็นเอาตาย สาบานว่าต่อไปนี้จะไม่เดินเล่นกับตาเฒ่าหน้าเหม็นนี่อีกแล้ว!
วันนี้กู้เหยี่ยนได้รับอนุญาตให้มากินหนังขาหมูแวววาวหนึ่งชิ้น เขาพออกพอใจเป็นพิเศษ
“เอาไชเท้าดองมาให้ลิ่วหลังกับจิ้งคงหรือยัง” อาจารย์แม่หนานถาม
“ข้าให้จิ้งคงแล้ว” กู้เสี่ยวซุ่นบอก
อาจารย์แม่หนานพยักหน้า “คิดถึงจิ้งคงกับลิ่วหลังแปลกๆ ”
กู้เหยี่ยนไม่ได้เถียงออกไปอย่างหาได้ยากนัก
ตอนที่จิ้งคงอยู่ เขาก็เอาแต่ไม่ชอบที่จิ้งคงเสียงดัง พอจิ้งคงไม่อยู่ เขาก็รู้สึกว่าที่บ้านไม่คึกครื้นเอาเสียเลย
“เหอะ เจ้าเณรน้อยหน้าเหม็น”
…
ม่านราตรีคล้อยต่ำ
ณ ห้องหนึ่งหอพักหลิงหลงของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน เสี่ยวจิ้งคงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ตัวเอง ตรงหน้ามีอาหารที่พี่เสี่ยวซุ่นเอามาให้เขาในวันนี้วางอยู่
เขาเลือกกินมาก หากเป็นอาหารง่ายๆ ก็ต้องใช้ภาชนะที่ประณีตมากๆ
และเพราะมัวแต่จัดจากให้เขาอยู่จึงเสียเวลาไป พวกเขาเพิ่งจะได้กินมื้อเย็นกันก็ค่ำแล้ว
“กินได้หรือยัง” เซียวเหิงถามขึ้นเสียงนิ่ง
“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะน้อยไปมา หยิบตะเกียบจิ๋วหลิวของตัวเองขึ้นมาอย่างพออกพอใจ คีบไชเท้าดองที่อาจารย์แม่หนานดองเองกับมือขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ไชเท้าดองถูกทำเป็นรูปทรงดอกไม้ดอกน้อย ดูๆ แล้วน่าเอร็ดอร่อยนัก
เขาแทบอดรนทนไม่ไหวคีบมันเข้าปาก
เพิ่งจะเคี้ยวไปได้คำเดียว แต่รสชาติกลับไม่อร่อยจนเขาหงายท้อง กลิ้งหลุนๆ ตกลงจากเก้าอี้ตัวเอง!
ไอ้หยา!
เหตุใดถึงรสชาติแย่พอกันกับที่พี่เขยตัวแสบทำเลยเล่า!
เค็มชะมัดยาดเลย!
เพราะกินอาหารเค็มไป เสี่ยวจิ้งคงจึงกระดกน้ำสองแก้วใหญ่ตามอึกๆ ยามขึ้นเตียงนอนจึงท้องกลมป่อง
เขาปีนขึ้นเตียงอย่างยากลำบากสุดจะเปรียบ นอนลงไปบนผ้าปู นอนแน่นิ่งเป็นปลาเค็มน้อยไร้วิญญาณตัวหนึ่ง
เพียงไม่นาน ปลาเค็มน้อยก็กรนคร่อกๆ ขึ้นมา
อากาศร้อนแล้ว แมลงจึงเยอะ เซียวเหิงเดินไปเหน็บม่านมุ้งให้
เขานอนไม่ค่อยหลับ
เสี่ยวจิ่วยืนโยงอยู่บนกิ่งไม้นอกหน้าต่าง
เขาครุ่นคิด ก่อนจะเรียกเสี่ยวจิ่วให้มาหา
…
ณ ลานบ้าน ทั้งครอบครัวกินมื้อเย็นกันเสร็จก็แยกย้ายไปอาบน้ำอาบท่าแล้วกลับเข้าห้อง
กู้เจียวไปวัดชีพจรตรวจอาการฟังหัวใจให้กู้เหยี่ยนตามปกติ
กู้เหยี่ยนหลับไปแล้ว กู้เจียวจึงหยิบจับอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ทำเขาตื่น
หลังจากกลับมาที่ห้อง กู้เจียวก็กะว่าจะนอน ทันใดนั้น เงาร่างเล็กก็ตกลงบนกรอบนอกหน้าต่าง
“กรู้ว”
เสี่ยวจิ่วร้องเรียก
กู้เจียวเดินไปหา ดันบานหน้าต่างออกเบาๆ
เสี่ยวจิ่วกระพือปีกบินขึ้น รอให้บานหน้าต่างเปิดแล้วจะได้บินเข้าไป ร่อนลงบนริมหน้าต่าง
ขาขวาของเสี่ยวจิ่วมีกระเป๋าใบน้อยมัดไว้
กู้เจียวปลดกระเป๋าใบน้อยออกมา หลังเปิดดูพบว่าด้านในเป็นตั๋วเงินพับทบๆ กัน กระดาษข้อความแผ่นหนึ่งและผ้าคาดผมแบบใหม่
ผ้าคาดผมเป็นผ้าไหมน้ำแข็งสีฟ้า ลูบแล้วให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มมาก คุณภาพสูง เข้ากันกับเครื่องแบบสีน้ำเงินและสีขาวของสำนักบัณฑิตเทียนฉงเลย
ตั๋วเงินมีทั้งหมดหนึ่งพันตำลึง
ในกระดาษข้อความเขียนไว้สั้นๆ ง่ายๆ ว่า ใช้จ่ายที่บ้าน
กู้เจียวเท้าคางด้วยมือเดียว มืออีกข้างเล่นผ้าคาดผมสีฟ้าไปมา มองตัวหนังสือใช้จ่ายที่บ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
สรุปก็คือ นี่คือจดหมายรัก!
กู้เจียวหยักยกมุมปาก ดึงลิ้นชักเปิด หยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง
กลอนรักนางก็เขียนเป็นนะ!
เซียวเหิงนั่งรออย่างเงียบๆ อยู่ในห้อง อันที่จริงเขาไม่แน่ใจว่านางจะนอนหรือยัง
แต่ตอนเจอกู้เจียว เขาไม่มีทางลังเลมากมายถึงเพียงนี้หรอก
โชคดีที่รออยู่ไม่นาน เสี่ยวจิ่วก็บินกลับมา
ปากเสี่ยวจิ่วคาบกระเป๋าใบน้อยนั่นเอาไว้
เขาเปิดกระเป๋าน้อยออก ล้วงนกกระดาษออกมาจากด้านในตัวหนึ่ง
นกกระดาษตัวนี้ถูกพับจากกระดาษข้อความพิมพ์ลายเฉพาะของนาง
จวบจนวันนี้เขายังเหลือเชื่อทุกครั้งยามที่ได้รับกระดาษพับจากนาง คิดไม่ถึงว่านางจะเอากระดาษพวกนั้นมาที่เซิ่งตูแคว้นเยี่ยนด้วย
ในกระเป๋าใบน้อยยังมีอย่างอื่นอีก
เขาหยิบออกมาดู เป็นกระดาษข้อความพิมพ์ลายหลายแผ่น
แผ่นแรก “แม้นขุนเขาพังภินท์ นภาและโลการวมเป็นหนึ่ง ก็ขอสูญสิ้นไปพร้อมกันกับท่าน”
เซียวเหิงอ่านแล้วหน้าแดงก่ำอยู่พักหนึ่ง สตรีนางนี้กำลังสารภาพความในใจกับเขาอยู่รึ เจ้าอย่าทำโจ่งแจ้งเพียงนี้จะได้หรือไม่
แผ่นที่สอง “แต่เดิมไม่เคยคะนึงหา เพิ่งรู้สึกคะนึงหา ก็ต้องทุกข์ระทมเพราะคะนึงหา”
แก้มของเซียวเหิงร้อนฉ่า ที่แท้นางก็คิดคะนึงถึงตนเพียงนี้
แผ่นที่สาม “พร่ำความคะนึงใต้ต้นคะนึง โศกนักที่คะนึงหาท่านแต่ท่านไม่รู้”
ดวงใจเซียวเหิงคล้ายถูกบางอย่างเติมเต็ม พลุ่งพล่านและอุ่นวาบไปทั้งใจ
เมื่อก่อนดูไม่ออกเลยว่าสตรีนางนี้จะมีพรสวรรค์ด้านกวีเพียงนี้
ไหนจะความรู้สึกที่นางมีต่อตนอีก นึกไม่ถึงว่าจะลึกล้ำถึงเพียงนี้
กู้เจียวเขียนมาหลายแผ่น แต่ละแผ่นเซียวเหิงอ่านแล้วหน้าแดงหูแดงไปหมด ดวงใจคล้ายมีกวางน้อยมาวิ่งวุ่นกันโกลาหล
เพียงแต่ว่าจะแผ่นไหน กวีรักในกระดาษก็ชักจะแปลกๆ
“ความนิรันดร์ยังมีที่สิ้นสุด ความแค้นอันต่อเนื่องนั้นยังไม่มีที่สิ้นสุด”
เซียวเหิงมุมปากกระตุก
“รักนี้ได้กลายเป็นความทรงจำเสียแล้ว เพียงแต่ยามนั้นยังไม่กระจ่าง”
เซียวเหิงสีหน้าชะงักค้าง
“คืนชามน้ำตาไร้อาลัยแก่ท่าน โศกศัลย์ที่ไม่อาจได้พานพบก่อนจะออกบวช!”
ส่วนของท้ายจดหมาย ยังวาดคนตัวน้อยตีอกชกตัวมาอีกด้วย
เซียวเหิง “…!!”