บทที่ 661 ลูกสาว

กู้เจียวมีโรคแปลกๆ พอท่องกลอนก็จะเริ่มง่วง

ตอนแรกยังสามารถกัดฟันยืนหยัดได้ แต่พอช่วงท้ายกลับง่วงจนสัปหงกเป็นไก่จิกข้าวเปลือก ตัวนางเองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรลงไป

แม้แต่กระเป๋าใบน้อยนั่นก็เป็นเสี่ยวจิ่วที่คาบไปเอง

เซียวเหิงอ่านจนจบก็ทั้งโกรธทั้งขำ

เขาอุตส่าห์นึกว่ากลอนพวกนี้เป็นคำพูดจากใจของนางเอง ยามนี้ดูท่า คงจะไปคัดลอกมาจากที่ไหนสักแห่งแน่

แล้วพอมาดูตัวหนังสือโย้เย้ ในกระดาษข้อความสองสามใบสุดท้าย เกรงว่าจะคัดจนง่วง ไม่รู้เลยกระมังว่าตัวเองคัดไปถึงไหนแล้ว

เซียวเหิงหงุดหงิดจนเข็ดฟัน “ข้าอุตส่าห์ดีใจ ต่อไปนี้จะไม่หลงกลเจ้าแล้ว จอมโกหก!”

นางคงจะหลับไปแล้ว เซียวเหิงจึงไม่ได้ตอบจดหมายอีก

เสี่ยวจิ่วเห็นว่าไม่มีงานของตัวเองแล้ว จึงบินกลับไปบนกิ่งไม้

เซียวเหิงยังคงนอนไม่ค่อยหลับ

ไม่ใช่เพราะกลอนรักหรอก เขาไม่ใจแคบถึงขั้นถือสาแม้แต่เรื่องนี้

แต่เพราะข่าวพวกนั้นที่สืบเจอเมื่อตอนกลางวันต่างหาก ที่ทำให้เขาต้องทบทวนความคิดอย่างเงียบๆ

หลังจากที่กู้เจียวบอกเขาว่าคนที่อยู่เบื้องหลังหนานกงลี่คือราชวงศ์ เขาก็ไปหาบัณฑิตสองสามคนที่โรงน้ำชาที่คึกคักที่สุดในเมืองเซิ่งตูมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจปูมหลังของราชวงศ์คร่าวๆ

ไม่ได้สอบถามอะไรมากมาย ทว่าเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลหนานกงนั้นพอจะรู้อยู่

ตระกูลหนานกงกับจวนองค์รัชทายาทสนิทชิดเชื้อกัน นี่เป็นความลับที่คนต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจตั้งแต่แรกแล้วในเมืองเซิ่งตูนี้

รัชทายาทแคว้นเจาประทับที่ตำหนักบูรพา แต่รัชทายาทแคว้นเยี่ยนกลับออกจากวังมาสร้างจวนอยู่เอง

รัชทายาทแคว้นเยี่ยนเป็นโอรสองค์ที่สองของกษัตริย์แห่งแคว้น พระมารดาแท้ๆ คือหันกุ้ยเฟย

ท่านชายที่เตรียมอัฒจันทร์ให้เขาวันนั้นก็คือโอรสองค์โตสายตรงขององค์รัชทายาทอย่างหมิงจวิ้นอ๋อง

หมิงจวิ้นอ๋องเป็นลูกพี่ลูกน้องกันกับหันเช่อ นักตีคลีของสำนักบัณฑิตผิงหยางในวันนี้

แม้ว่ายามนี้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าจวนรัชทายาทบงการตระกูลหนานกงอยู่ แต่จวนรัชทายาทก็น่าสงสัยมากที่สุดอยู่ดี

เช่นนั้นปัญหาก็มาแล้ว ในจวนรัชทายาทมีคนจ้องจะกำจัดเขาอยู่ แล้วเหตุใดจึงต้องกำจัดเขาด้วย

..

เซิ่งตูในค่ำคืนนี้คึกคักเป็นพิเศษ พอตกค่ำก็ไร้ซึ่งความหนาวเย็น

จวนกั๋วกงที่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันเริ่มจะเงียบสงบลง

มู่หรูซินนั่งอยู่ในห้องด้วยความหงุดหงิด

“เอาน้ำแข็งมาเพิ่มอีกหน่อย” นางขมวดคิ้วบอก

“แม่นาง เป็นอะไรไปเจ้าคะ” สาวใช้ถามอย่างฉงน ภายในห้องมีน้ำแข็งอยู่สองกะละมังแล้วแท้ๆ หากวางเพิ่มอีกได้จับไข้แน่

“ข้าอารมณ์ไม่ดี!” มู่หรูซินเอ่ยอย่างหงุดหงิด

พอนึกถึงเรื่องที่เกิดในสำนักบัณฑิตขึ้นมา นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังนั่นขัดขวางนางไปเสียทุกอย่าง

นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เขาเล็งเห็นแล้วว่านี่เป็นโอกาสทองที่จะผูกมิตรกับเจ้าสำนักทั้งสาม จึงจงใจแย่งผู้บาดเจ็บสาหัสไป เหลือไว้แค่คนรับใช้ที่เจ็บเล็กน้อยให้ข้า”

ประโยคนี้สาวใช้ไม่รู้ว่าควรต่อบทสนทนาเช่นไรดี

“ช่างเถิด นอนดีกว่า” มู่หรูซินวางพัดลง ก่อนลุกไปขึ้นเตียง

สาวใช้เดินตามมาปลดมุ้งลงให้นาง ก่อนเอ่ยปลอบ “แม่นางเจ้าคะ เขาเป็นแค่บัณฑิตจากแคว้นล่างคนหนึ่ง อีกไม่นานท่านก็จะกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของท่านกั๋วกงแล้ว ถึงตอนนั้นก็ลองดูสิเจ้าคะว่าเขาจะมาแย่งอะไรท่านได้อีก”

เอ่ยถึงเรื่องนี้ มู่หรูซินก็ทอดถอนใจ “เจ้าว่าพวกเราปล่อยข่าวออกไปตั้งนานแล้ว ทั่วทั้งจวนก็รู้กันหมดแล้ว เหตุใดใต้เท้ารองกับฮูหยินรองยังไม่มีการเคลื่อนไหวอีก หรือว่าข้าเข้าใจความหมายของฮูหยินรองผิดไป”

สาวใช้เอ่ย “จะเป็นได้อย่างไรเจ้าคะ ฮูหยินรองถามคุณหนูเช่นนั้น ก็หมายความว่ากำลังหยั่งเชิงความคิดของคุณหนู! ข้าว่าใกล้แล้วแน่ๆ !”

มู่หรูซินเอนกายลงนอน เอ่ยด้วยความใฝ่ฝัน “ข้าไม่มีพ่อแม่ อาจารย์เป็นคนเลี้ยงดูข้ามา หากข้าได้กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านกั๋วกงจริง จะกตัญญูรู้คุณกับเขาให้มากๆ ! ชดเชย..ความเสียใจที่เขาสูญเสียบุตรสาวไป!”

ณ จวนของท่านกั๋วกง

เดิมทีท่านกั๋วกงนอนหลับไปแล้ว แต่เพราะเหลียนเชี่ยวสะเพร่าเลินเล่อ ไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่เตียง

เหลียนเฉียวจำต้องประคองท่านกั๋วกงขึ้นมาบนรถเข็น หาผ้าปูที่นอนมาเปลี่ยนใหม่

ท่านกั๋วกงลืมตาขึ้น สองมือจับที่พักแขนของรถเข็นไว้

ฝั่งขวาเป็นตู้บนหัวเตียง

บนตู้มีชาดที่เหลียนเฉียวเพิ่งจะซื้อมาจากข้างนอกกะว่าจะเอากลับห้องวางไว้อยู่พอดี

เมื่อครู่นี้เพราะนางเล่นชาดนี่แหละ ถึงไม่ทันระวังจึงทำน้ำที่จะเช็ดมือให้ท่านกั๋วกงหกทั้งกะละมัง

นางตกใจแทบแย่ ฝาของชาดยังไม่ทันจะได้ปิด

มือขวาท่านกั๋วกงอยู่ห่างกับชาดแค่ราวๆ สองนิ้ว ขยับนิดเดียวก็ถึงแล้ว

ทว่าสำหรับท่านกั๋วกงที่แม้แต่กะพริบตายังควบคุมเองไม่ได้ การขยับนิ้วอย่างแม่นยำจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก

ท่านกั๋วกงจ้องชาดตลับนั้นเขม็ง ฝืนออกแรงที่มีอยู่เพียงน้อยนิด ถึงสามารถแตะชาดนั้นให้ขยับได้

นิ้วเขาจิ้มลงไปที่ชาดปาดหนึ่ง ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดเขียนตัวอักษรโย้เย้ด้วยฝ่ามืออันสั่นเครือ

..

วันรุ่งขึ้น กู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนที่สำนักบัณฑิตเทียนฉง

พอเข้ามาในสำนักบัณฑิต กู้เจียวก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ หลายคู่มองมายังนาง

“ลิ่วหลัง!”

บัณฑิตคนหนึ่งยิ้มแย้มทักทายนาง

นางไม่รู้จัก

“ลิ่วหลัง!”

บัณฑิตอีกคนรอยยิ้มเต็มใบหน้าทักทายนางอีก

นางไม่รู้จักอยู่ดี

เกิดอะไรขึ้น

ไม่เจอคืนเดียว ทุกคนก็มีไมตรีถึงเพียงนี้เชียวรึ

“ลิ่วหลัง!”

ไม่รู้ว่าโดนบัณฑิตที่ไม่รู้จักทักทายไปเท่าใดในที่สุดก็มีคนที่นางรู้จักเสียที

โจวถง

“เสี่ยวซุ่น” โจวถงหยุดฝีเท้าลงตรงหน้ากู้เจียวกับกู้เสี่ยวซุ่น รอยยิ้มเต็มใบหน้าทักทายให้กู้เสี่ยวซุ่นด้วยเช่นกัน

กู้เจียว “วันนี้มีเรื่องอะไรกำลังจะเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ เหตุใดทุกคนจึงเป็นแบบนั้น”

โจวถง “แบบไหนรึ”

“ลิ่วหลัง!” บัณฑิตแปลกหน้าน่าจะคนที่สิบเจ็ดทักทายกู้เจียว

กู้เจียวใช้สายตาเอ่ย “ก็แบบเมื่อครู่อย่างไรเล่า”

โจวถงมองแผ่นหลังบัณฑิตคนนั้นเดินจากไปไกล ก่อนแย้มยิ้มอย่างกระจ่างแจ้ง “เจ้าหมายถึงเรื่องที่ทุกคนก็ต่างรู้จักเจ้านี่เอง มันน่าแปลกใจตรงไหนกันเล่า เจ้าลืมแล้วรึเมื่อวานพวกเจ้าชนะการแข่งขันนะ”

กู้เจียวเอ่ย “มันก็ไม่น่าจะรู้จักข้ากันหมดนะ”

ไม่ใช่ว่าไปดูการแข่งขันกันทุกคนเสียหน่อย

โจวถงหัวเราะคิกคัก คว้าข้อมือนางโดยมีแขนเสื้อคั่น “เจ้าตามข้ามาเดี๋ยวก็รู้!”

กู้เสี่ยวซุ่นแยกเขี้ยว เฮ้ ปล่อยมือพี่สาวข้านะ!

โจวถงพากู้เจียวมาตรงหน้ากระดานข่าวของสำนักบัณฑิต ตรงนั้นมีบัณฑิตของสำนักบัณฑิตรุมล้อมอยู่แต่แรกแล้ว

“ลิ่วหลังมาแล้ว!”

ไม่รู้ว่าเสียงใครดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน พวกบัณฑิตที่เดิมที่รุมล้อมอยู่ก็พลันแหวกทางให้กู้เจียว ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เจอแบบนี้.. กู้เจียวค่อนข้างทำตัวไม่ถูก

โจวถงกลับไม่ได้สุภาพอย่างพวกเขา เขาลากกู้เจียวมาด้านหน้าสุดอย่างเปรมปรีดิ์ แล้วชี้กระดานข่าวพลางเอ่ย “เจ้าดูสิ!”

กู้เจียวจ้องมองไป

ฝั่งซ้ายของกระดานข่าวติดสถานการณ์การแข่งขันเมื่อวานนี้และคำชมเชยที่ยอดเยี่ยมให้พวกเขา ฝั่งขวาแขวนภาพเหมือนเดี่ยวๆ ของพวกเขาไว้ แต่มีเพียงกู้เจียวที่ขี่อยู่บนหลังม้า

นางมือหนึ่งดึงบังเหียน มือหนึ่งถือไม้ตีคลี

ส่วนใหญ่เป็นแผ่นหลัง นางหันหน้ามาเผยเพียงซีกหน้าด้านข้าง

ที่บังเอิญก็คือเผยใบหน้าฝั่งขวาที่ไม่มีปานพอดี ชายที่สวมอาภรณ์พลิ้วไหว ผ้าคาดผมผ่านดวงหน้านางไป ท่วงท่าองอาจทรงพลัง แม้ว่าจะอยู่ข้างๆ มู่ชิงเฉินผู้หล่อเหลาเหนือภพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

กู้เจียวมองเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีสดบนหลังม้าคนนั้น แทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นตัวเอง

นี่คือนางในสายตาคนอื่นอย่างนั้นรึ

โจวถงเอ่ย “พวกเราร่วมแรงกันวาดเอง วาดกันทั้งคืนเชียวนะ”

กู้เจียวจึงได้สังเกตเห็นว่าใต้ตาโจวถงดำคล้ำไปทั้งแถบ ก่อนจะเห็นพวกจงติ่งที่กำลังติดภาพกันอยู่ แต่ละคนล้วนขอบตาดำปี๋กันหมดเลย

นี่เป็นประสบการณ์ที่กู้เจียวไม่เคยพบเจอในชาติก่อน

ชาติก่อนนางมักจะสอบได้ที่หนึ่งประจำแท้ๆ รับรางวัลในการแข่งขันเสียจนมืออ่อน แต่ยังไม่มีใครเข้าใกล้ได้สักคน

หรืออีกนัยคือนางก็ไม่อยากเข้าใกล้เช่นกัน

ฐานะของนางถูกกำหนดมาไม่ให้นางมีเพื่อนสักคน

สายตากู้เจียวกวาดมองไปยังโจวถง จงติ่งและทุกคนที่ไปดูการแข่งขันเมื่อวานนี้ ทุกคนก็มองมาที่นางเช่นกัน แววตาเจือความคาดหวังและกังวลอยู่จางๆ

“พอใช้ได้เลย” กู้เจียวเอ่ย

ทุกคนแย้มยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

พวกเขาเป็นบัณฑิตสายบุ๋น พิณ หมากรุก การเขียนพู่กันและการวาดภาพล้วนไม่แย่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จะต้องรอให้กู้เจียวยอมรับในภาพวาดของพวกเขาให้ได้ พวกเขาถึงจะเหมือนประสบความสำเร็จขนานใหญ่

“ไม่ไปเรียนกันรึ” กู้เจียวถามนิ่งๆ

โจวถงแย้มยิ้ม “ระ..เรียน!”

กู้เจียวหันหลังเดินออกไปอย่างเท่ๆ

เดินไปไม่กี่ก้าวก็เอ่ยขึ้นคล้ายไม่ได้ตั้งใจ “วาดเพิ่มอีกสักสองสามภาพสิ ผนังที่บ้านมันว่างๆ ”

สำนักบัณฑิตเทียนฉงไม่ได้มีเกียรติมีศรีเช่นนี้มานานแล้ว อย่าเห็นว่าพวกเขาถูกขนานนามว่าสำนักบัณฑิตของราชวงศ์เชียว ความจริงแล้วนั่นเป็นเกียรติยศเมื่อหลายปีก่อนแล้ว

ครั้งล่าสุดที่สำนักบัณฑิตของพวกเขามีคนสอบจอหงวนได้ก็เมื่อสิบเจ็ดมาแล้ว หลังจากนั้นอย่าว่าแต่จอหงวนเลย แม้แต่ลำดับที่สองหรือที่สามอย่างปั่งเหยี่ยนกับทั่นฮวาก็ยังไม่มี

บุ๋นไม่สู้ บู๊ก็ไม่ได้ พานให้คนหัวเราะเยาะ

ยามนี้ชนะการแข่งขันตีคลีติดต่อกันถึงสองนัด เอาชนะสำนักบัณฑิตตัวเต็งทั้งสองแห่งได้ จึงสามารถเชิดหน้าชูตาได้ไม่น้อย

เจ้าสำนักเสินก็ดีใจอยู่ไม่น้อย เรียกกู้เจียวกับพวกมู่ชิงเฉินไปชมที่ห้องทำงานเขายกใหญ่ “..การแข่งขันสองนัดนี้เล่นได้ไม่เลวเลย เล่นได้ในระดับมาตรฐานของสำนักบัณฑิตเรา แต่ก็อย่าได้ลำพองไป ตั้งใจฝึกซ้อมให้ดี มุ่งมั่นคว้าเกียรติยศมาให้สำนักบัณฑิตในนัดต่อไปให้ได้!”

พวกมู่ชิงเฉินสี่คนประสานมือคำนับ

กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “แค่นี้น่ะหรือ”

เจ้าสำนักเสินชะงัก

กู้เจียวเอ่ย “ไม่มีของที่จับต้องได้หน่อยหรือ อย่างเช่น..รางวัล”

เจ้าสำนักเฉิน “…”

“อะแฮ่ม!” เจ้าสำนักเสินกระแอมขึ้นเบาๆ ไม่กระโตกกระตาก ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หมู่นี้สำนักบัณฑิตค่าใช้จ่ายค่อนข้างตึงมือ พวกเจ้าชนะในคราต่อไป จะให้ทีเดียวไปเลย!”

กู้เจียวจับประเด็นสำคัญไว้ได้ “แล้วถ้าแพ้ก็จะไม่ให้หรือ”

เจ้าสำนักเสิน “อะแฮ่ม! เด็กคนนี้นี่ คำก็เงินสองคำก็เงิน ผู้ที่อ่านคัมภีร์แห่งปราชญ์จะเหม็นเศษเงินไปทั่วร่างได้อย่างไร”

กู้เจียวถาม “แล้วสรุปจะให้หรือไม่ให้ล่ะ”

เจ้าสำนักเฉิน “…”

เขาบอกว่าไม่ให้ยังทันหรือไม่

ระหว่างทางกลับห้องหมิงซิน มู่ชิงเฉินก็ถามกู้เจียว “เจ้าขัดสนหรือ”

กู้เจียวยักคิ้ว “ถือว่าใช่กระมัง เจ้ามีวิธีหาเงินหรือไม่”

มู่ชิงเฉินเอ่ย “ให้เจ้ายืมได้นะ เจ้าจะเอาเท่าใดล่ะ”

“เช่นนั้นไม่ต้องดีกว่า” กู้เจียวโบกมือ ยามนี้นางไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย นางก็แค่อยากกันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้น

เดือนหน้ากู้เหยี่ยนต้องผ่าตัดแล้ว อาจจะต้องใช้เงินเยอะทีเดียว

กู้เจียวเอ่ยอย่างจริงจัง “หากเจ้ามีลู่ทางหาเงินก็เรียกข้าได้เลย จะตอบแทนเจ้าอย่างดี ให้เจ้าเป็นนายหน้าคนกลางหักค่าส่วนต่าง!”

มู่ชิงเฉิน “…”