วิชาธนูของฟางเฉิงอวี่ได้รับคำชื่นชมจากเฉิงกั๋วกง จนกระทั่งบนโต๊ะอาหารก็ยังชมไม่ขาดปาก
“ช้าไปนานปีปานนั้น หากฝึกตั้งแต่เล็กคงดีกว่านี้อีก” เขาเอ่ย คิดนิดหนึ่งก็เปรียบเทียบ “เทียบฮั่นชิงได้เลย”
เพราะหยางจิ่งพาคนของกองทหารชิงซานส่วนหนึ่งไปอารักขาน้าเซียว ทิ้งจ้าวฮั่นชิงอยู่ในกองทหารช่วยเซี่ยหย่ง เวลานี้จึงยังไม่เคยพบฟางเฉิงอวี่
แต่ชื่อนี้ไม่แปลกหูฟางเฉิงอวี่ และเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจเพราะถูกเปรียบกับสตรีคนหนึ่ง
“ข้าใช้ได้หรือ?” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้ข้าจะขยันฝึกขึ้นอีก”
พูดพลางก็มองไปทางคุณหนูจวินอีกหน
“จิ่วหลิง ท่านกั๋วกงบอกว่าข้าร้ายกาจเหมือนฮั่นชิงได้”
เหมือนเด็กที่อวดเมื่อได้รับคำชมคนหนึ่ง
คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า
“ได้แน่นอน” นางเอ่ย “พวกเจ้าล้วนร้ายกาจกว่าข้า”
บนโต๊ะอาหารรื่นเริงคุยเล่นสุขสันต์ มีเพียงจูจั้นที่ประหนึ่งกันตนเองไว้ข้างนอก ก้มศีรษะกินไม่หยุด
“จั้นเอ๋อร์”
ริมหูเสียงเรียกดังขึ้นติดกันหลายที จูจั้นจึงรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น
“อะไรหรือ?” เขามองเฉิงกั๋วกงอย่างงุนงงอยู่บ้าง เห็นชัดว่าไม่ได้ยินคำที่พูด
“หลังกินข้าวพ่อเจ้าให้เจ้าพาเฉิงอวี่ไปหาอาจารย์ยิงธนูสักคน” นายหญิงอวี้เอ่ยแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร? คืนวานไม่ได้ให้เจ้ากินข้าวรึ?”
จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง มองฟางเฉิงอวี่ทีหนึ่งแล้วเค้นรอยยิ้มบาง
“ได้ ข้าพาเจ้าไป” เขาเอ่ยบอก
เขาตอบตรงๆ เช่นนี้ นายหญิงอวี้กลับคิดไม่ถึงอยู่บ้าง
เมื่อวานยังไม่สนใจไยดีฟางเฉิงอวี่อยู่เลย คิดว่าเขาคงจะหาข้ออ้างปฏิเสธเสียอีก มองจูจั้นตอบเสร็จพลันก้มศีรษะพุ้ยข้าวต่อทันที ไม่พูดจาไม่มองคนบนโต๊ะเพิ่มสักหน ว่าง่ายจนนางยังจำไม่ได้แล้วว่านี่คือบุตรชายของตนเอง
เมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แม้ไม่ยุ่งเรื่องของบุตรชาย แต่นายหญิงอวี้ก็รู้ว่าด้านนั้นทะเลาะกันเพราะสาวใช้คนหนึ่ง
หากเป็นบุตรชายสองคนหรือบุตรสาวกับบุตรชาย นางหิ้วมาสั่งสอนสักหน่อยตีสักยกก็ได้แล้ว แต่เรื่องของบุตรชายกับลูกสะใภ้ นางเองก็ไม่สะดวกยุ่ง
บุตรชายลูกสะใภ้สี่คำแล่นผ่าน นายหญิงอวี้ก็กระแอมอีกหน
“เรื่องของคุณหนูจวินท่านคิดจะพูดเวลาใด?” นางมองไปหาเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยถาม
“ไม่กี่วันนี้” เฉิงกั๋วกงเอ่ยตอบ “พยายามให้พร้อมกับเฉิงอวี่เข้าเฝ้ารับรางวัล”
พูดพลางมองคุณหนูจวินแล้วยิ้มทีหนึ่ง
“ท่านกั๋วกงท่านลองพิจารณาดูอีกครั้ง ผ่านไปสักช่วงหนึ่งค่อยพูดก็ได้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
เพิ่งเกิดเรื่องของไหวอ๋อง ฮ่องเต้กำลังพิโรธ หากหาจังหวะได้ต้องเฮือกเดียวจัดการเฉิงกั๋วกงแน่ ไม่สู้รอเรื่องซาลงหน่อยจะดีกว่า
เฉิงกั๋วกงเข้าใจความหมายของนาง
“เรื่องราวต่างมีข้อดีข้อเสีย” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ไม่กี่วันนี้ข้าก็จะเขียนฎีการ้องเรียนถวายแล้ว”
คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ รู้นิสัยของเฉิงกั๋วกงจึงไม่กล่อมอีกต่อไป
“ถ้าเช่นนั้นน้อมรับบัญชา” นางอมยิ้มเอ่ย
ต่อให้ขอบคุณผู้อื่น นางก็มีความหยิ่งยโสอยู่ จุดนี้จูจั้นย่อมค้นพบนานแล้ว ตอนนั้นนางรับการคำนับของมารดาอย่างนิ่งสงบก็เคยรู้สึกว่าประหลาด ตอนนี้ล้วนเข้าใจแล้ว
ที่แท้เป็นนิสัยที่บ่มเพาะมาตั้งแต่เล็ก
อย่างไรก็เป็นองค์หญิงนี่นะ
จูจั้นกัดตะเกียบแทบจะฝังศีรษะเข้าไปในชามแล้ว ข้างหูเสียงของนายหญิงอวี้ดังขึ้น
“หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ข้าแล้ว”
ลูกสะใภ้…ฟันของจูจั้นหยุดกึก
“ข้ารับท่านเป็นแม่บุญธรรมได้นะเจ้าคะ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย
นายหญิงอวี้เพิ่งกำลังจะพูด เสียงแก็กทีหนึ่งพลันดังขึ้น ตะเกียบของจูจั้นร่วงลงบนโต๊ะ
สายตาทุกคนล้วนมองมา จูจั้นหน้าแดงผุดลุกขึ้น
“ข้าคิดขึ้นมาได้” เขาเอ่ย “จางเป่าถังมีอาจารย์ยิงธนูที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่ง เหมาะกับนายน้อยฟางศิษย์เช่นนี้ยิ่งนัก”
พูดจบไม่รอทุกคนตอบสนองก็หมุนตัวก้าวยาววิ่งออกไปแล้ว
“ข้าจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้”
ฟางเฉิงอวี่เห็นจูจั้นวิ่งออกไปก็ยิ้ม
“พี่ชายดีกับข้าจริงๆ” เขาเอ่ย
……………………………………….
……………………………………….
คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่ออกจากจวนเฉิงกั๋วกง เพราะไม่เห็นจูจั้น เฉิงกั๋วกงจึงจัดผู้คุ้มกันอารักขาพวกเขาด้วยตนเอง เขามองคุณหนูจวินจากไปแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือ เตรียมเรียกผู้ช่วยมาปรึกษาเขียนฎีกา
“พ่อ พ่อ”
ยังไม่ทันเดินถึงห้องหนังสือก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาเรียกข้างทาง
เฉิงกั๋วกงประหลาดใจอยู่บ้างมองไป เห็นจูจั้นยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่งกวักมือมาหาเขา
“เจ้าอยู่บ้านรึ?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยทักจากนั้นก็ยิ้ม “เจ้าก่อเรื่องอะไรถึงมาหลบอยู่ตรงนี้?”
จูจั้นโบกมือ แล้วมองซ้ายขวานิดหนึ่ง
“คุณหนูจวินพวกเขาไปแล้วไหม?” เขากดเสียงเบาเอ่ยถาม
“ไปแล้ว” เฉิงกั๋วกงไม่เรียกเขาออกมาแต่เดินไปเอง เอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เป็นอะไร?”
จูจั้นแกะเปลือกไม้
“พ่อ ข้าคิดว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล” เขาเอ่ย “ตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะถวายฎีกาเรื่องการแต่งงานหลอกนัก”
เฉิงกั๋วกงขานอืม
“สำหรับพวกเราไม่ค่อยเหมาะนัก” เขาเอ่ยตอบ “แต่จั้นเอ๋อร์ คนไม่อาจคิดถึงแต่ตนเองได้”
จูจั้นรีบพยักหน้า
“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ยขึ้น “ข้ารู้สึกว่าไม่ดีกับนางเหมือนกัน”
เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนมองเขา รอคำอธิบาย
จูจั้นแกะเปลือกไม้
“ข้าคิดว่านี่จะผลักนางไปอยู่กลางคลื่นลม แบกชื่อเสียงมากเช่นนี้ จะกลายเป็นเป้าศรของผู้คนได้ง่าย” เขาเอ่ยขึ้น
เฉิงกั๋วกงยิ้มแล้ว
“ข้าเชื่อว่าคุณหนูจวินไม่กลัวการล่องลมแหวกคลื่น” เขาเอ่ยตอบ
“ข้ารู้นางย่อมไม่กลัว” จูจั้นแกะเปลือกไม้พลางเอ่ย “ข้าแค่รู้สึกว่าปล่อยภัยได้ก็ปลอดภัยหน่อย”
เฉิงกั๋วกงมองเปลือกไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นทีหนึ่ง
แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดบุตรชายที่ห้าวหาญมาเสมอถึงเปลี่ยนมาประหนึ่งกระต่ายตระหนก แต่ในฐานะบิดาคนหนึ่ง เขาไม่เรียกร้องให้บุตรชายห้าวหาญไร้ความกลัวตลอดเวลา
ขอเพียงเป็นคนล้วนหวาดกลัวได้เหมือนกัน เขาไม่มีทางเหี้ยมโหด แล้วก็ไม่มีทางขอให้ฮึกเหิมขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องกลัว” เขาอมยิ้มตบหัวไหล่จูจั้น “ข้าจะทำรอบคอบหน่อย”
จูจั้นขานอืมพยักหน้า มองเฉิงกั๋วกงเดินจากไป เขายืนใต้ต้นไม้อีกครู่หนึ่ง คิดอะไรได้ก็หันหน้าวิ่งไปด้านนอกอีกหน
“พี่รอง พี่รอง”
ที่ปากตรอกเสียงของจางเป่าถังทำให้จูจั้นหยุดเท้า
“คนที่ท่านให้ข้าพามา ข้าพามาแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีอกดีใจ ชี้องครักษ์วัยกลางคนผู้หนึ่งด้านหลังร่าง
องครักษ์คำนับจูจั้น
“ผู้ใด?” จูจั้นงุนงงนิดหนึ่งเอ่ยถาม
จางเป่าถังเบิกตา
“ท่านไม่ใช่ให้คนมาบอกว่าจะหาอาจารย์ยิงธนูคนนั้นของข้ารึ?” เขาเอ่ยขึ้น
จูจั้นเช็ดปลายจมูก พึมพำอะไรประโยคหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” เขาเอ่ย “ไม่ใช่ข้าจะใช้ ข้าเลยจำไม่ได้”
“คุณหนูจวินต้องการหรือ?” จางเป่าถังเอ่ยถาม
จูจั้นขานอืม
“ไปโรงหมอจิ่งหลิงส่งให้นาง” เขาเอ่ย กำลังจะก้าวเท้าก็ถูกจางเป่าถังรั้งไว้อีกหน
“คุณหนูจวินไม่อยู่ที่โรงหมอจิ่งหลิง” จางเป่าถังเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าพบแล้ว คุณหนูจวินไปโรงน้ำชาของเหล่าเผิงกับขุนนางน้อยหนิง”
หา? จูจั้นตะลึงไปชั่วครู่
……………………………………….
“ท่านดู”
จางเป่าถังยืนอยู่นอกโรงน้ำชาของตาเฒ่าเผิง ชี้ที่นั่งหนึ่งด้านในแล้วเอ่ยขึ้น
จูจั้นยื่นศีรษะจากมุมกำแพงมองไป เห็นสตรีคนนั้นกับหนิงอวิ๋นเจานั่งอยู่ตรงข้ามกันข้างในจริงๆ ไม่รู้พูดอะไร กำลังยกมือปิดปากหัวเราะ
“นี่ยังไม่ได้บอกว่าแต่งงานหลอกๆ เลยก็วิ่งออกมากับบุรุษคนอื่น…” เขาอดไม่ไหวพึมพำคำหนึ่ง
“พี่รองท่านพูดอะไร?” จางเป่าถังฟังไม่ชัดรีบเอ่ยถาม
จูจั้นโบกมือ
“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยตอบ
“ขุนนางน้อยหนิงทำไมนัดพบแค่คุณหนูจวิน? ตามหลักแล้วควรให้ท่านมาด้วยกันสิ” จางเป่าถังก็มองด้านในขมวดคิ้วเอ่ยด้วย “เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าท่านก็มาด้วยเลย รอพักหนึ่งไม่เห็น กำลังแปลกใจอยู่เชียว”
จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง
“มีอันใดแปลก? นางเป็นหมอ ออกมาพบคนรักษาโรคปกติยิ่ง” เขาว่า “เจ้าไม่เห็นสีหน้าป่วยไข้ของเจ้าหนูนั่นรึ?”
จางเป่าถังมองไปในโรงน้ำชา บุรุษหนุ่มดวงหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนยกมือยกเท้าสง่างามเป็นธรรมชาติ
“มองไม่ออก” เขาเอ่ยตอบซื่อๆ
…………………