กาน้ำชาที่หยาบอยู่บ้างถูกมือเรียวยาวงดงามหิ้วขึ้นมา เทน้ำแกงชาสีน้ำตาลออกมา กลิ่นหอมฟุ้งรอบด้าน ไอร้อนลอยกรุ่นเล็กน้อย
หนิงอวิ๋นเจาวางกาน้ำชาลง มองสตรีที่สองมือประคองถ้วยชาดื่มชา ดวงหน้าท่ามกลางไอร้อนคล้ายไกลแต่ก็คล้ายใกล้
“บอกว่าจะพระราชทานรางวัลแก่เต๋อเซิ่งชาง เรื่องดีย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร” เขาเอ่ยต่อ
คุณหนูจวินประคองถ้วยชาช้อนสายตาขึ้น
“ทำไมเล่า?” นางเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจามองเห็นรอยยิ้มในดวงตาของนาง ตนเองก็ยิ้มด้วย
“เพราะเป็นสิ่งที่คนเลวเสนอขึ้นมา” เขาเอนตัวไปนิดหนึ่งกดเสียงเบาเอ่ยตอบ
คุณหนูจวินถือถ้วยชาหัวเราะฮ่าฮ่า
……………………………………….
……………………………………….
“มีอะไรน่าหัวเราะนัก คนแซ่หนิงนี่วันนี้เป็นคนขี้ประจบชื่อดัง ขายหน้าบัณฑิตหมดสิ้นแล้วจริงๆ” จูจั้นเอ่ยพึมพำทีหนึ่งพลางมองด้านในโรงน้ำชา ฉับพลันเห็นสายตาคุณหนูจวินมองมาด้านนี้ เขารีบหดร่างถอยกลับมาในตรอก
จางเป่าถังตกใจสะดุ้งโหยงหวิดถูกชนล้ม
“พี่รอง ท่านไม่เข้าไปหรือ?” เขาเอ่ยถาม “อยู่ที่นี่มองอย่างเดียวมีความหมายอะไร”
“ข้าเข้าไปทำอะไร? ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย” จูจั้นเอ่ย “ข้าตามนางมาเพื่อป้องกันองครักษ์เสื้อแพรมาก่อเรื่องอีกเท่านั้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”
จางเป่าถังร้องอ้อทีหนึ่งแล้วเกาศีรษะ คิดว่าเข้าใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง
จูจั้นยื่นตัวออกไปข้างนอกเตรียมมองไป เพิ่งยื่นตัวออกมาฉับพลันคนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาเบื้องหน้า
“พี่ชาย”
พร้อมกับเสียงเรียกกังวานใสเสียงหนึ่ง
จูจั้นตกใจสะดุ้งโหยง จับกำแพงไว้ถึงไม่ได้ต่อยหมัดออกไป
“เจ้าทำอะไร?” เขาตวาดอย่างไม่สบอารมณ์ มองเด็กหนุ่มชุดไหมหรูหราตรงหน้า
ฟางเฉิงอวี่สีหน้ากังวลวิตกอยู่บ้าง กะพริบตาปริบๆ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ข้าเห็นท่านอยู่ที่นี่เลยเข้ามาทักทาย” เขาเอ่ย สายตามองไปทางจางเป่าถังอีกหน “รบกวนพวกท่านแล้วใช่หรือไม่?”
เห็นท่าทางตกใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ จางเป่าถังรีบโบกมือ
“ไม่หรอก ไม่หรอก” เขาเอ่ยบอก
จูจั้นแค่นสียง
“พอแล้ว ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว นางไม่ได้อยู่ตรงหน้าสักหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าตั้งใจรึ”
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักไม่โต้แย้ง เก็บสีหน้าทำหน้าจริงจัง
“พี่ชายท่านหาอาจารย์ยิงธนูให้ข้าแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม
“หาแล้วๆ” จูจั้นเอ่ย มือสะบัดไปด้านหลัง “คนนี้ไง”
ที่แท้หาอาจารย์ยิงธนูให้เด็กหนุ่มคนนี้รึ จางเป่าถังจะเอ่ยคำพูดกลับเห็นฟางเฉิงอวี่ยังยืนอยู่ตรงหน้าจูจั้น
“เร็วปานนี้เชียว” เขาเอ่ย “คนมีความสามารถในเมืองหลวงมากจริงๆ พี่ชายท่านก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน”
จูจั้นยืนตัวตรงมองเขา
“ไม่สู้พวกเราไปบ้านท่าน ให้อาจารย์ดูฝีมือของข้าสักหน่อย จะได้ตัดสินใจว่าจะสอนข้าอย่างไร” ฟางเฉิงอวี่มองเขาพลางเอ่ยอย่างจริงจัง “จะได้ไม่ทรยศความคาดหวังของท่านกั๋วกง”
ทำเช่นนี้ไม่เลวๆ จางเป่าถังพยักหน้าย้ำๆ เด็กหนุ่มผู้นี้รู้ความนัก
จูจั้นยิ้มยื่นมือคล้องไหล่ฟางเฉิงอวี่พาเขาเดินไปข้างนอกหลายก้าว
“สหายน้อย ข้าให้เจ้ายุ่งกับนาง ไม่ใช่ยุ่งกับข้า” เขาบอกแล้วพยักเพยิดคางไปทางโรงน้ำชาด้านนั้น “เจ้าเห็นไหม ตอนนี้ข้างกายนางคือคนแซ่หนิง เจ้าวิ่งมายุ่งกับข้าทำอะไร? เจ้าโง่ใช่หรือไม่?”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว
“จิ่วหลิงกำลังทำธุระอยู่ จะรบกวนได้อย่างไร” เขาตอบ
“แล้วข้าทำเรื่องไร้สาระอยู่รึ?” จูจั้นเลิกคิ้ว กวาดตารอบด้านนิดหนึ่ง “เจ้ารู้ไหมว่ารอบด้านนี้สายตาเท่าไรจับจ้องอยู่? เจ้ารู้ไหมว่าด้านนั้นคนเดินเท้ากี่คน พ่อค้าแผงลอยกี่คนกลายเป็นพยัคฆ์ร้ายสุนัขเลวได้ตลอดเวลา?”
ฟางเฉิงอวี่ขานอืมตอบ
“เมืองหลวงอยู่ไม่ง่ายจริงๆ” เขาเอ่ย พยักหน้าอย่างจริงใจ “ขอบคุณท่านชายที่ดูแลจิ่วหลิง”
เจ้าหนูนี่กลอกกลิ้งนัก จูจั้นมองเขา สีหน้าพิกลอยู่บ้าง
เขารู้หรือไม่…
อีกอย่าง เขามักจะเรียกว่าจิ่วหลิง ไม่ใช่พี่สาว
‘เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าจวินจิ่วหลิง ท่านเรียกข้าอีกครั้งได้หรือไม่ แค่เรียกชื่อ’
จิ่วหลิง
จิ่วหลิง
คำที่ผู้หญิงคนนั้นเคยเอ่ยดังขึ้นในหูของจูจั้น
การทะเลาะหยากเย้าใต้ท้องฟ้าพร่าวพราวดารานั่นที่แท้กลับซ่อนความเหงาลึกล้ำ ซ่อนความเดียวดายและความคิดถึงที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยชัดไว้ แค่ต้องการถูกเรียกว่าจิ่วหลิงสักคำ
จูจั้นยกมือกำหมัดเหวี่ยงรุนแรงทีหนึ่ง กัดฟันด่าอะไรสักประโยค
กระทั่งเจ้าหนูหัวแหลมนี่ก็สู้ไม่ได้
“พี่ชาย ท่านเป็นอะไร?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยถาม
จูจั้นกำลังจะเอ่ยคำพูดก็เห็นผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรมายืนอยู่ตรงหน้า เขาตกใจหลุดร้องเบาๆ คนก็ถอยหลังก้าวหนึ่งด้วย
“จิ่วหลิง” ฟางเฉิงอวี่ขยับเข้าไปเอ่ยเรียกอย่างดีอกดีใจ
คุณหนูจวินมองเขาแล้วมองจูจั้น
“พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกัน?” นางเอ่ยถาม “ทำไมไม่เข้ามา?”
“ข้าไม่เข้าไปล่ะ พี่ชายหาอาจารย์ยิงธนูให้ข้าได้แล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยบอก
จางเป่าถังพาองครักษ์เดินเข้ามาทักทาย
“ตอนนี้ข้าไปลองทดสอบกับอาจารย์ได้เลยไหม?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้นอย่างดีใจทั้งยังรีบร้อนอยู่บ้าง
คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า มองไปทางจางเป่าถัง
“ได้ๆ” จางเป่าถังรีบพยักหน้าเช่นกัน
“พี่ชาย พวกเราไปเถอะ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยพลางมองไปทางจูจั้น
จูจั้นคล้ายตอนนี้เพิ่งถูกค้นพบ รู้สึกถึงสายตาของคุณหนูจวินที่มองมาปุบ เขาพลันรีบมองไปรอบๆ
“ข้ายังมีธุระนิดหน่อย” เขาเอ่ยขึ้น พูดจบก็หันหน้าจากไปแล้ว
การเคลื่อนไหวเร็วทั้งยังกะทันหัน คนที่อยู่ที่นั่นอดไม่ได้อึ้งวูบหนึ่งกันหมด
เมื่อคืนวานรู้เรื่องที่น่าตระหนกเช่นนั้น เวลานี้ยังไม่โหวกเหวกโวยวายดูแล้วเหมือนคนธรรมดาได้ คุณหนูจวินก็นับถือยิ่งแล้ว ไม่กล้าเผชิญหน้ากับตนหรือไม่รู้ควรเผชิญหน้าตนอย่างไร ปฏิกิริยาเช่นนี้ปกติยิ่ง
“ไปเถอะ” นางพยักหน้าเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่
ฟางเฉิงอวี่กับจางเป่าถังจากไปด้วยกัน เดินไปได้หลายก้าวก็หันกลับมามองคุณหนูจวินที่เข้าไปในโรงน้ำชาอีกครั้ง บนถนนแม้มองไม่เห็นเงาร่างของจูจั้นเช่นกัน แต่ฟางเฉิงอวี่รู้ว่าเขาต้องยังอยู่ใกล้ๆ แน่
ฟางเฉิงอวี่รั้งสายตากลับ ถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะขอโทษอยู่นิดๆ
“พี่ชายเอ๋ย ข้าได้แต่ยุ่งกับท่านสิ เพราะจิ่วหลิงไม่ได้ชอบขุนนางน้อยหนิงนี่นา” เขาพึมพำเสียงเบา
……………………………………….
……………………………………….
“นายน้อยฟางมาได้เหมาะกว่านายหญิงผู้เฒ่าฟาง” ในโรงน้ำชา หนิงอวิ๋นเจารั้งสายตากลับมาจากร่างฟางเฉิงอวี่ที่เดินออกไปไกลแล้วอมยิ้มเอ่ยขึ้น “คนหนุ่มยึดติดน้อยกว่าคนอายุมากอยู่บ้าง ตัดทิ้งได้ง่ายกว่า”
“คนอายุมากยึดติดมากย่อมช่วยไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ย
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้าไม่ต่อประเด็นนี้อีก
“เมื่อครู่เจ้าว่าเจ้าจะถูกยกเลิกสัญญาหมั้นอีกแล้ว” เขาเอ่ย “ครั้งนี้ดี”
พูดพลางก็หัวเราะอีก
“ครั้งก่อนโน้นก็ดี ล้วนเป็นมีน้ำใจมีคุณธรรมสร้างความชอบทำเรื่องยิ่งใหญ่ มีแต่ข้าครั้งนั้นไม่ดี”
เหตุผลที่ยกเลิกสัญญาหมั้นครั้งนั้นกับหนิงอวิ๋นเจาเพราะผู้ใหญ่สองฝั่งไม่ถูกกัน
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่สุดแล้ว” นางเอ่ย “กลับเป็นข้าควรเอ่ยขอโทษเจ้าสักคำ”
แรงส่งผลต่อกันเสมอ เหตุผลที่หมั้นกับฟางเฉิงอวี่ก็ดี เหตุผลที่อยู่กับบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็ดี ล้วนเป็นเมตตายิ่งใหญ่คุณธรรมยิ่งใหญ่ นับเป็นความเมตตาความมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ของนาง ตระกูลฟางกับครอบครัวเฉิงกั๋วกงล้วนถูกผู้คนเอ่ยชื่นชมไปด้วยเช่นกัน
หนิงอวิ๋นเจากุมถ้วยชา
“ถ้าเช่นนั้นควรชดเชยให้ข้าใช่หรือไม่?” เขาอมยิ้มเอ่ยถาม
“เอาสิ” คุณหนูจวินเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด “เจ้าต้องการอะไร?”
หนิงอวิ๋นเจารวบรวมสมาธิตั้งใจคิดครู่หนึ่ง
“สิ่งใดข้าล้วนไม่ขาดจริงๆ ชั่วขณะคิดไม่ออก” เขาเอ่ยขึ้นมา
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า
“ไม่รีบร้อน ค่อยๆ คิด” นางเอ่ยบอก
“เวลาไหนก็มีผลหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
หนิงอวิ๋นเจาไม่เอ่ยวาจายกถ้วยชาขึ้น คุณหนูจวินเข้าใจความหมายของเขา ยิ้มพลางยกถ้วยชนกับเขาเบาๆ
สิ่งเดียวที่เขาขาด อยากได้ก็เอามาไม่ได้หรอก
หนิงอวิ๋นเจายิ้มทีหนึ่ง แหงนหน้าดื่มคำเดียวหมด
……………………