บทที่ 837 ตำนานมหาเคราะห์ อายุสามล้านปี

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 837 ตำนานมหาเคราะห์ อายุสามล้านปี

เมื่อสิ้นเสียงของหานเจวี๋ย วังวิถีสวรรค์ตกอยู่ในความเงียบสงัด

พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามก็ตะลึงงันเช่นกัน

อริยะบางส่วนในที่นี้มิได้มาจากสำนักซ่อนเร้น แต่หานเจวี๋ยกลับบอกว่าเป็นอริยะแห่งสำนักซ่อนเร้นอย่างนั้นหรือ

ฟางเหลียงถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ปู่ ความหมายของท่านคือ…”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พวกเจ้าเชื่อใจกันและกันได้ ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีก”

เหล่าอริยะฮือฮาขึ้นมา!

ผานซินจ้องมองเทพสูงสุดอู๋ฝ่าแล้วตวาดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าคิดอยู่ว่าเจ้าผิดปกติ เจ้าแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไปแล้วกระมัง!”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่ากลอกตา กล่าวว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร หากข้าไม่แสดงให้ชัดเจนสักหน่อย เกรงว่าเสวียนตูคงไม่ทราบความนัย!”

อริยะที่เหลือก็พูดคุยกันขึ้นมาแล้ว

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยมองไปที่ฉิวซีไหล เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “สหายเต๋าฉิว เจ้าเองก็แสดงออกชัดเจนมากเช่นกัน”

ฉิวซีไหลแย้มยิ้ม เอ่ยตอบเพียงว่าอมิตาภพุทธ

หานอวี้มองเหล่าอริยะด้วยความตื่นเต้น ได้แต่กลืนน้ำลาย

อริยะมากมายปานนี้ล้วนอยู่ในสังกัดสำนักซ่อนเร้นหรือ

รอจนเหล่าอริยะพูดคุยกันไปสักพักหนึ่ง หลังจากสงบลงแล้ว หานเจวี๋ยถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ในหมู่อริยะมรรคาสวรรค์ ณ ปัจจุบันนี้ทุกคนคิดว่าควรดึงผู้ใดไว้เป็นพวก แล้วควรกำจัดผู้ใดทิ้ง ถึงจะทำให้มรรคาสวรรค์กลมเกลียวเป็นใจเดียวกัน”

เมื่อเหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ได้ฟังก็มองหน้ากัน

พวกเขาฟังความหมายของหานเจวี๋ยออก

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดึงจอมอริยะเสวียนตูไว้เป็นพวกได้จะดีที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็กุมอำนาจส่วนใหญ่ในมรรคาสวรรค์ไว้”

สวีตู้เต้ากล่าวว่า “จำเป็นต้องกำจัดหยางเช่อ คนผู้นี้เที่ยวเชื้อเชิญอริยะไปทั่ว เป็นคนถ่อยโฉดเขลา!”

อริยะที่เหลือก็เริ่มเปิดปากเอ่ยขึ้นมา

หานเจวี๋ยยกมือขึ้น เคลื่อนย้ายหยางเช่อที่อยู่ในอาณาเขตเต๋าของตนมายังวังวิถีสวรรค์

หยางเช่อตะลึงงัน มองเหล่าอริยะที่อยู่รอบๆ ด้วยสีหน้ามึนงง

จากนั้นหานเจวี๋ยผลักมือ ซัดฝ่ามือผนึกสุญญตาออกไป ผนึกหยางเช่อไว้

หยางเช่อเบิกตากว้าง ขยับเขยื้อนไม่ได้

หานเจวี๋ยเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วจากไป “ภายหน้าเรื่องราวในมรรคาสวรรค์ พวกเจ้าหารือกันได้ ข้าจะจับตามองอริยะที่เหลือไปด้วย”

จากนั้นหยางเช่อก็หายตัวไปด้วย

เหล่าอริยะมองหน้ากัน

เจียงอี้ถามด้วยความสงสัย “อริยะคนเมื่อครู่จะตายหรือไม่”

จ้าวเซวียนหยวนส่ายหน้าพลางตอบว่า “อริยะมรรคาสวรรค์ไหนเลยจะตายง่ายๆ เช่นนั้น”

ฉิวซีไหลลุกขึ้นยืน กวาดตามองเหล่าอริยะ เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเราเปิดตัวกันแล้ว ทุกท่านจงคิดหาทางชักจูงอริยะที่เหลือเถิด อันดับแรกต้องกุมอำนาจในจุดสำคัญต่างๆ ของละแวกมรรคาสวรรค์เอาไว้ให้ได้ก่อน”

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ส่งเสียงคัดค้าน อริยะที่เหลือจึงพยักหน้ารับ

ถึงแม้จะเป็นการหารือร่วมกัน แต่ในหมู่พวกเขาก็สมควรต้องมีผู้นำสักคน ถึงจะทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้

เมื่อกลับถึงอารามเต๋า หานเจวี๋ยโยนหยางเช่อเข้าไปในคุกสวรรค์อนธการ

เขามองขึ้นไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม สอดส่องอริยะที่เหลือ

ตอนนี้ค่าความประทับใจที่อริยะคนอื่นๆ มีต่อเขายังไม่ลดลง และไม่มีพฤติกรรมที่เกินขอบเขตเป็นพิเศษ

รอสังเกตการณ์ไปอีกสักระยะได้

หมื่นปีต่อมา หานเจวี๋ยปล่อยหยางเช่อกลับสู่ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

หยางเช่อกลับมายังอาณาเขตเต๋าของตน เขาเพิ่งนั่งลง ไท่ซู่เทียนและจิ้นเสินก็มาพบเขาทันที

ไท่ซู่เทียนสวมชุดขาว ใบหน้างดงามทว่าเย็นชา นางขมวดคิ้วพลางถามว่า “หยางเช่อ หลายปีมานี้เจ้าไปไหนมา”

หยางเช่อลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ออกไปเดินเล่นมา ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมีธุระใดหรือ”

จิ้นเสินเอ่ยถาม “เรื่องที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าชักจูงอริยะได้กี่คนแล้ว”

หยางเช่อเอ่ยเสียงขรึม “ข้าทบทวนดูแล้ว ยังคงให้แล้วไปเสียเถอะ”

แล้วไปเช่นนั้นหรือ

สองอริยะตกตะลึง จ้องเขาเขม็ง

หยางเช่อถอนหายใจกล่าวไปว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไปเยือนโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ด้วยตัวเองมา อันที่จริงข้าไม่ได้บอกกับทุกท่านอย่างชัดเจน ความจริงแล้วโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้านัก ถึงขั้นที่ดูแคลนอยู่บ้าง ช่วงก่อนข้าตระหนักรู้ในมรรคาสวรรค์ พบว่ามรรคาสวรรค์ยังไม่แน่ว่าจะพ่ายแพ้เสียทีเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยพวกเราต้องก่อเรื่องล่วงเกินด้วยเล่า”

จิ้นเสินใคร่ครวญตาม ถามไปว่า “เหตุใดเจ้าถึงตระหนักรู้ในมรรคาสวรรค์ได้”

หยางเช่อส่ายหน้า ไม่ยอมพูดมากอีก

เขามองไปที่ไท่ซู่เทียน กล่าวว่า “เจ้ายินยอมไปพึ่งโลกอริยะไตรวิสุทธิ์ แต่ไม่ยินดีไปพึ่งพิงเจ้าแม่หนี่ว์วา คิดๆ แล้วก็ไร้ที่ไปเช่นกัน มิสู้พวกเรามาร่วมมือกันทำงานเพื่อมรรคาสวรรค์เถิด ดีร้ายอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดของพวกเรา ไปอยู่ที่อื่น เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากไปอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นเขา”

คิ้วงามของไท่ซู่เทียนขมวดแน่นกว่าเดิม

หยางเช่อโน้มน้าวต่อ

จิ้นเสินรับรู้ถึงความผิดปกติ

ทันใดนั้นเขาพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปลกพิกล

คงมิใช่ว่าคนผู้นี้ถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรสยบเข้าแล้วกระมัง!

….

ภายในตำหนักเอกภพ

จอมอริยะเสวียนตูนั่งสมาธิเคียงข้างเหล่าตาน รอบกายมีควันสีเขียวห้อมล้อม บางครั้งเลือนราง บางครั้งเด่นชัด

เหล่าตานลืมตาขึ้น เอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไร”

จอมอริยะเสวียนตูย้อนถามโดยที่ไม่ลืมตาขึ้น “อาจารย์สื่อถึงสิ่งใด”

“ย่อมหมายถึงมรรคาสวรรค์”

“ไม่คิดอย่างไร”

“ฮ่าๆ เจ้าต้องการปกป้องมรรคาสวรรค์จนตัวตายจริงๆ น่ะหรือ”

“ในอดีตกาลเพื่อฝึกบำเพ็ญ ข้าหักใจละทิ้งเผ่ามนุษย์ เพื่อพิสูจน์เสรี ข้าละทิ้งมรรคาสวรรค์ ข้าไม่อยากละทิ้งสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว ข้าอยากลองสู้ดูสักตั้งขอรับ”

“ตบะของเจ้าเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายขนสักเส้นหนึ่งของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ จะสู้อย่างไรเล่า”

“อย่างน้อยก็ยังมีสหายเต๋าหานอยู่”

เหล่าตานเงียบไป

จอมอริยะเสวียนตูลืมตาขึ้น กล่าวว่า “โลกอริยะไตรวิสุทธิ์เตรียมจะรับมือกับขุนพลศักดิ์สิทธิ์อย่างไรขอรับ ตัดขาดบ่วงกรรมมรรคาสวรรค์ ละทิ้งรากฐานเช่นนั้นหรือ”

เหล่าตานเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “เหตุผลที่มรรคาสวรรค์ถูกเพ่งเล็ง เป็นเพราะมีสายสัมพันธ์กับผานกู่ อริยะไตรวิสุทธิ์หลบหนีออกจากบ่วงกรรมมานานแล้ว ไหนเลยจะยังนับว่าอยู่ในสังกัดผานกู่อีก”

จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “คนเรามีปณิธานต่างกันไป ขออวยพรให้อาจารย์ประสบความสำเร็จในทุกสิ่ง”

“ฮ่าๆ”

เหล่าตานส่ายหน้าให้ จากนั้นลุกขึ้นยืน

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยถาม “ท่านจะไปไหนหรือขอรับ”

“ไปดูเจ้าเด็กโง่สามคนนั้น หากมรรคาสวรรค์ล่มสลาย ข้าจะคิดหาทางช่วยเหลือพวกเขาออกไป เลี่ยงไม่ให้เป็นการชุบเลี้ยงไปอย่างเสียเปล่า”

เหล่าตานโบกมือ จากนั้นเลือนหายไป

จอมอริยะเสวียนตูถอนหายใจคราหนึ่ง

….

ณ แดนเซียน

ในที่สุดมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตก็มาถึงจุดจบแล้ว

ฉินหลิงและซย่าจื้อจุนพร้อมด้วยบุตรแห่งสวรรค์ของวังเทพบุกทะลวงเข้าไป เข่นฆ่าสังหารมุ่งสู่สำนักพุทธ ทว่าอริยะออกโรง สะกดฉินหลิงและซย่าจื้อจุนไว้ในฝ่ามือเดียว

อำนาจแห่งอริยะทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในละแวกเขาหลิงซานแตกตื่น หวาดผวาถึงขั้นที่รู้สึกสิ้นหวัง

โชคดีที่ในช่วงเวลาสำคัญ จั้งกูซิงอริยะแห่งวังเทพปรากฏตัวขึ้น เจรจากับอริยะ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อรหันต์รูปนั้นที่ถูกฉินหลิงผูกอาฆาตได้ปรากฏตัวขึ้น แสดงปณิธานอันยิ่งใหญ่ ยินดีสละตนเอง ชดใช้หนี้โลหิตอันลึกล้ำให้ฉินหลิง ผลกุศลมหาศาลไร้ขอบเขตในร่างเขากลายเป็นพลังปณิธานอันยิ่งใหญ่ คืนชีพให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในละแวกเขาหลิงซานที่สิ้นชีพด้วยสงคราม

มาถึงจุดนี้ มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตที่ดำเนินมาหลายแสนปีได้ปิดฉากลง การเข่นฆ่าสังหารอย่างไร้ความปรานีในช่วงหลายหมื่นปีสุดท้าย ทำให้สรรพสิ่งหน่ายแหนงชิงชังการฆ่าฟันสังหารไปนานแล้ว ต้องการสันติสุข

ศึกครั้งนี้ อริยะลงมือให้เห็นประจักษ์แจ้ง ทำให้สรรพสิ่งเข้าใจแล้วว่าเหตุใดระดับที่ต่ำกว่าอริยะถึงล้วนเป็นมดปลวก

ฉินหลิงและซย่าจื้อจุน ได้รับแรงกุศลมรรคาสวรรค์มหาศาล ติดตามจั้งกูซิงมายังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม

พวกเขาเพียงต้องนั่งอย่างสงบไปอีกหลายหมื่นปี รับถ่ายทอดแรงกุศลมรรคาสวรรค์ เพื่อพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะ

เพื่อสลายแรงกรรมในฟ้าดิน เหล่าอริยะเริ่มเทศนาธรรม สำนักดวงชะตาแต่ละแห่งก็เริ่มส่งศิษย์ออกเดินทางไปทั่วโลกา เผยแพร่มรรคไปทั่วสารทิศ

กล่าวโดยสรุปคือ มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตครั้งนี้นับว่าจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ

หลังจากสรรพสิ่งได้ทราบถึงความโหดร้ายของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตแล้ว ก็ยิ่งเคารพเลื่อมใสในตัวอริยะ หวงแหนสันติภาพยิ่งขึ้น

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า หมื่นปีต่อมา มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตได้กลายเป็นตำนานเล่าขาน

ส่วนหานเจวี๋ยยังคงปิดด่านฝึกบำเพ็ญอยู่ เขาทุ่มเทสมาธิทั้งหมดมุ่งสู่ยอดมหามรรค

ในวันนี้

ข้อความสามแถวปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย

[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุครบสามล้านปีบริบูรณ์แล้ว ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

………………………………………………………………