บทที่ 838 ทะลวงระดับ ยอดมหามรรค!

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 838 ทะลวงระดับ ยอดมหามรรค!

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที ทำลายล้างหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ สร้างชื่อเทพมารอนธการให้เลื่องลือ จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น องครักษ์ระดับมหามรรคหนึ่งราย]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่ยอดมหามรรค จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สอง

มองข้ามกับดักไป!

[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ยอดสมบัติหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วยท่านได้รับยอดสมบัติฟ้าบุพกาล…ตรวนวิเศษฟ้าบุพกาล]

[ตรวนวิเศษฟ้าบุพกาล: ยอดสมบัติฟ้าบุพกาลสายป้องกัน ในยุคบุกเบิกฟ้าบุพกาล ปราณฟ้าบุพกาลสายแรกได้วิวัฒนาการกลายเป็นยอดสมบัติ มีพลังป้องกันการรุกรานของกฎระเบียบฟ้าบุพกาลได้]

ยอดสมบัติฟ้าบุพกาลสายป้องกันอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยไม่รู้สึกดีใจ แต่ก็ไม่รู้สึกผิดหวังเช่นกัน

เขานำศิลาก่อวิญญาณออกมาผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่งก่อน จากนั้นจึงนำตรวนวิเศษฟ้าบุพกาลออกมา ทำให้มันจดจำเจ้าของ

สามร้อยปีต่อมา จึงทำให้มันจดจำเจ้าของสำเร็จ

ตรวนวิเศษฟ้าบุพกาลกลายเป็นสร้อยแสงสีเงินยวงเส้นหนึ่งคล้องอยู่ที่คอหานเจวี๋ย ทำให้เขารู้สึกประดักประเดิดนัก ราวกับสตรีก็มิปาน

แต่ก็ช่วยไม่ได้ สวมไว้ที่มือก็ไม่สะดวก แค่ปกป้องให้ปลอดภัยได้ก็พอ

หานเจวี๋ยหลับตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ

ครั้งนี้ เขาต้องการพิสูจน์ยอดมหามรรคให้ได้ในคราวเดียว!

ผู้ใดมาก็ไม่อาจขัดขวางกลางคันได้!

….

ภายในตำหนักเอกภพ

เหล่าอริยะมาชุมนุม สายตาทั้งหมดมองไปยังร่างคนทั้งสามที่อยู่ในห้องโถง

ได้แก่ฉินหลิง ซย่าจื้อจุนและบรรพชนพุทธโปรดโลกา

บรรพชนพุทธโปรดโลกาก็คือศัตรูคู่แค้นของฉินหลิงในมหาเคราะห์ ยามนี้มหาเคราะห์สิ้นสุดลง บุญคุณความแค้นสลายสิ้น

หานอวี้มองฉินหลิง แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

จอมอริยะเอ่ยขึ้นว่า “นับจากวันนี้ไป ฉินหลิง ซย่าจื้อจุนและบรรพชนพุทธโปรดโลกาต่างกลายเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ หวังว่าในอนาคตจะช่วยบำรุงสุขแก่สรรพสิ่งมรรคาสวรรค์ ปกป้องมรรคาสวรรค์”

อริยะใหม่ทั้งสามคำนับขอบคุณทันที

เหล่าอริยะแย้มยิ้ม มีอริยะมาเพิ่มอีกสามคน มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว

ฉิวซีไหลมองไปที่จอมอริยะเสวียนตู เอ่ยถามว่า “เรื่องของหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ในฟ้าบุพกาลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีกลุ่มอิทธิพลฟ้าบุพกาลไม่น้อยที่ต้องการดึงพวกเราไปเข้าร่วม ทำให้มรรคาสวรรค์แตกแยก เรื่องนี้ก็สมควรได้รับการจัดการเช่นกัน

“หากต้องการออกจากมรรคาสวรรค์ ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ถ้าต้องการชักจูงอริยะคนอื่นไปด้วย ถือว่าคนผู้นี้มีเจตนาร้าย”

น้ำเสียงของเขาไร้ความเกรงใจยิ่งนัก มีอริยะไม่น้อยพยักหน้าเห็นด้วย

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าหัวเราะพลางกล่าวว่า “ในเมื่อมหาเคราะห์สิ้นสุดลงแล้ว ภายในมรรคาสวรรค์มั่นคง ก็สมควรระงับความวุ่นวายในหมู่อริยะด้วย”

บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย

พวกหลี่ไท่กู่ จั้งกูซิง มหาจักรพรรดิเซียวและเทพสูงสุดหนานจี๋ก็เริ่มจับสังเกตกันเองเช่นกัน

อันที่จริงพวกเขาล้วนได้รับคำเชิญชวนจากกลุ่มอิทธิพลฟ้าบุพกาล ในใจหวั่นไหวลังเล

แรงกดดันที่มาพร้อมกับหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปจริงๆ!

แค่ได้ยินข่าวลือเหล่านั้น พวกเขาก็อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ข้าขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ ยืนยันว่าจะปกป้องมรรคาสวรรค์ ไม่ทอดทิ้งเด็ดขาด ทุกท่านเล่า”

ฉินหลิง ซย่าจื้อจุนและบรรพชนพุทธโปรดโลกาสับสนงงงวย มรรคาสวรรค์ประสบเคราะห์หรือ

เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฟางเหลียง ซูฉี ผานซิน ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย หานอวี้ สวีตู้เต้า หยางเช่อ จี้เซียนเสิน เทียนจ้านและหลงเฮ่าทยอยเอ่ยปฏิญาณ

ฉินหลิง ซย่าจื้อจุนและบรรพชนพุทธโปรดโลกาก็ทำเช่นเดียวกัน

อริยะที่เหลือจำเป็นต้องเอ่ยปฏิญาณตาม ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผู้ใดกล้าปฏิเสธ นั่นคือรนหาที่ตาย จะกลายเป็นไก่ตัวแรกที่ถูกเชือด!

เทพสูงสุดอู๋ฝ่าเอ่ยว่า “อริยะสวรรค์เกรียงไกรไม่เคยพูดเลยว่าต้องการหลบหนี พวกเราจะทำตัวน่าละอายหนีไปได้อย่างไร พวกเราเสพสุขกับอำนาจในมรรคาสวรรค์ แต่เมื่อมรรคาสวรรค์เผชิญอันตราย จะปล่อยให้อริยะสวรรค์เกรียงไกรที่ปิดด่านบำเพ็ญมาตลอดเผชิญหน้าตามลำพังอย่างนั้นหรือ”

วาจาของเขาได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยจากเหล่าอริยะอีกครั้ง

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “ถึงแม้ขุนพลศักดิ์สิทธิ์จะทรงพลัง แต่พวกเขาจะมาถึงเมื่อไรก็ยังไม่ทราบ มรรคาสวรรค์สมควรดำเนินการพัฒนาต่อไป เพียงแต่ต้องเรียกสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์กลับมาจากฟ้าบุพกาล พวกเราต้องขยายตัวสู่แดนต้องห้ามอันธการในละแวกมรรคาสวรรค์ต่อไป สร้างฟ้าดินและโลกมนุษย์ธรรมดาให้มากขึ้น…”

เขาเริ่มเอ่ยแผนการออกมาอย่างต่อเนื่อง

ตามความคิดที่จอมอริยะเสวียนตูแสดงต่อเหล่าอริยะ คือต้องการฟื้นฟูสภาพมรรคาสวรรค์ให้กลับสู่ต้นกำเนิดดั้งเดิม

ประเด็นคือที่ผ่านมาเหล่าอริยะลอบติดต่อหารือกันอย่างลับๆ ไม่กล้าเผยเรื่องนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นจึงยิ่งทวีความอึดอัด ตอนนี้เหล่าอริยะได้พูดออกมาแล้ว จึงไม่รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนั้นอีก

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเมื่อศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น อริยะรายอื่นจะหลบหนีไปเงียบๆ!

….

หลังจากมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตสิ้นสุดลง แดนเซียนหวนสู่ขั้นตอนการพัฒนาด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง ผู้ทรงพลังมุ่งหน้าออกไปบุกเบิกฟ้าดินรอบๆ มรรคาสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยดวงชะตามรรคาสวรรค์ ทำให้อาณาเขตของมรรคาสวรรค์ขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง เมืองฟ้าบุพกาลก็เพิ่มจำนวนออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน

ผานซินเริ่มทดลองสร้างเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลสายที่สองขึ้น เขาเรียกผลกุศลครั้งนี้ให้จิ้นเสิน

จิ้นเสินไม่รู้สึกดีใจเลย เขาทราบดีว่าผานซินต้องการผูกมัดเขาไว้กับมรรคาสวรรค์อย่างหนาแน่น

แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ได้แต่ฝืนใจรับไว้

อริยะรายอื่นก็กำลังสร้างกุศลยิ่งใหญ่อยู่เช่นกัน บำรุงสุขให้สรรพสิ่ง ทั่วทั้งมรรคาสวรรค์รุ่งโรจน์สดใส ราวกับลืมเลือนตัวตนของขุนพลศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว!

ส่วนหานเจวี๋ยผู้เป็นที่พึ่งของเหล่าอริยชนยังคงปิดด่านฝึกบำเพ็ญ

เวลาผ่านไปถึงหกหมื่นสี่พันแปดร้อยยี่สิบปีเต็ม!

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้รับโอกาสในการทะลวงระดับแล้ว!

ตอนนี้ ปราณอนธการที่อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณเขาหายไปแล้ว โลกอนธการทั้งใบกลายเป็นสีม่วง

ปราณควบรวมเป็นห้วงมิติ!

ดวงดาวกว่าหนึ่งร้อยแปดพันล้านล้านล้านล้านดวงต่างเปล่งแสงหลากสีออกมา งดงามน่าตื่นตาอย่างยิ่ง

มหามรรคต้นกำเนิดผสานรวมเข้ากับดวงดาวเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แล้ว!

ดวงดาวคือมหามรรค มหามรรคคือดวงดาว!

มีแสงเทพเปล่งออกมาจากทั่วร่างของหานเจวี๋ย

อารามเต๋าของเขาไม่สามารถซ่อนเร้นเอาไว้ได้

แสงเทพพวยพุ่งขึ้นสู่นภา ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าในเขตเซียนร้อยคีรี สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ศิษย์ทั้งหมด

“นั่นคืออะไรกัน”

“พุ่งออกมาจากอารามเต๋าของท่านเจ้าสำนัก!”

“น่าจะเป็นพลังวิเศษกระมัง ท่านเจ้าสำนักร้ายกาจโดยแท้”

“ท่านเจ้าสำนักยังอยู่ในเขตเซียนร้อยคีรีจริงๆ น่ะหรือ ข้านึกว่าเขาย้ายไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสามตั้งนานแล้ว”

“ไม่รู้เหมือนกัน คงกำลังทะลวงขั้นอยู่กระมัง ได้ยินว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรสิถึงจะเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มรรคาสวรรค์!”

“หา… ยังสามารถทะลวงขั้นได้อีกหรือ”

….

หานเจวี๋ยตั้งใจทะลวงระดับ ไม่สนใจเสียงวิจารณ์ด้านนอก

ทว่าการทะลวงระดับครั้งนี้ยาวนานยิ่งกว่าที่ผ่านมาในอดีต

ใช้เวลาสามพันปีเต็ม เขาถึงฝ่าทะลวงได้สำเร็จ!

แสงเทพสลายไป ภายในอารามเต๋ามีฉากดวงดาวงามระยับนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา

ไม่ทราบว่าดวงจิตประหลาดกลับมาตั้งแต่ตอนใด กำลังโลดแล่นไปในหมู่ดาว ดูมีความสุขอย่างยิ่ง

ในเวลานี้ จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยพุ่งออกจากมรรคาสวรรค์ ทะยานสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ฉากสถานการณ์ในฟ้าบุพกาลปรากฏต่อสายตาของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฟ้าบุพกาลทั้งผืนกำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว

ความรู้สึกนี้ประหลาดอย่างยิ่ง!

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพีงใด ในที่สุดจิตรับรู้ของหานเจวี๋ยก็หยุดนิ่ง

เขามองลงไปด้านล่างอีกครั้ง ฟ้าบุพกาลเปลี่ยนไปแล้ว เขามองเห็นพลังงานบางอย่าง เป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่ไม่ สามารถให้คำนิยามได้

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยเข้าสู่สภาวะไอระเหยอย่างหนึ่ง ห้วงเวลาทั้งหมดที่เชื่อมโยงกับตนล้วนหลั่งไหลเข้าสู่สายตา ชาติก่อนชาติปัจจุบัน อดีตอนาคต เหตุและผลเชื่อมขนาน มากมายนับไม่ถ้วน ยังมีความเป็นไปได้ของบ่วงกรรมทั้งหมดด้วย

วินาทีนั้น ราวกับเขามีชีวิตอยู่มาหลายยุคสมัยจนนับไม่ถ้วน ใช้ชีวิตมาหลายชั่วอายุคน!

ในที่สุดทุกอย่างนี้ก็เปรียบเสมือนบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี[1] พังทลายไป!

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ก้มมองฟ้าบุพกาลอีกครั้ง

สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลหายไป ห้วงมิติแต่ละชั้นกลายเป็นความว่างเปล่า เหลืออยู่เพียงมหามรรคสามพันวิถีที่เชื่อมต่อกันอยู่ในฟ้าบุพกาล และเหนือมหามรรคสามพันวิถีนั้นมีพลังงานแข็งแกร่งทว่าลึกลับยิ่งอยู่เจ็ดสาย สูงส่งอยู่เบื้องบน ดูดซับพลังงานจากมหามรรคสามพันวิถี

………………………………………………………………

[1]บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี (镜花水月) อุปมาถึง สิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้