บทที่ 839 มองทะลุอนิจจัง อมตะนิจนิรันดร์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 839 มองทะลุอนิจจัง อมตะนิจนิรันดร์

‘นั่นคืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคหรือ’

หานเจวี๋ยมองพลังงานลึกลับเจ็ดสายที่อยู่เหนือมหามรรคสามพันวิถี ในใจรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง

เขาสังเกตเห็นว่าพลังงานสายหนึ่งในบรรดานั้นมีรอยปริร้าวเส้นหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนยิ่ง

หรือว่าจะเป็นบ่วงกรรมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคที่ถูกผานกู่ตัดขาดไป

หานเจวี๋ยไม่ได้คิดมากอีก ทำความเข้าใจพลังยอดมหามรรคต่อไป

ความรู้สึกนี้ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ตนทำไม่ได้!

เพียงเขาโบกมือเล็กน้อย ถึงขั้นที่สามารถสั่นคลอนรูปการณ์ของมหามรรคสามพันวิถีได้!

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เขาสามารถสร้างความจริงขึ้นได้!

เพียงหนึ่งความคิด เขาสามารถเปลี่ยนความคิดของตนให้กลายเป็นความจริงได้ ปล่อยเข้าสู่ฟ้าบุพกาล ก่อตัวเป็นห้วงมิติที่จริงแท้แน่นอนอย่างหนึ่ง และเก็บกลับมาได้เพียงใช้ความคิด เพียงแต่หากโลกที่จินตนาการขึ้นคงอยู่ไปนานเข้า จะได้รับอิทธิพลจากพลังแห่งการสรรค์สร้าง พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง!

เขาลองพินิจดูอย่างละเอียด ฟ้าบุพกาลแยกเป็นห้วงมิตินับไม่ถ้วน บ้างขนาน บางทับซ้อน ตัดสลับทับไขว้ ห้วงมิติที่มรรคาสวรรค์ตั้งอยู่มีพลังงานแกร่งกล้าสองสายคอยค้ำจุน เสถียรมั่นคงกว่าห้วงมิติอื่นๆ

คาดว่าคงเป็นพลังของผานกู่และบรรพชนเต๋า

ผานกู่บุกเบิกฟ้าดิน อาจจะไม่ใช่การเสียสละที่แท้จริง เพียงอาศัยพลังงานยอดมหามรรคให้กำเนิดสิ่งที่ตนประสงค์ขึ้นมา จากนั้นโลกที่ปรากฏขึ้นจากจินตนาการแห่งนี้ก็ให้กำเนิดบุคคลเลิศล้ำน่าตะลึงอย่างบรรพชนเต๋าขึ้นมา อาศัยตบะของตน ทำให้มรรคาสวรรค์ตั้งตัวเป็นเอกเทศ ไม่สามารถเก็บกลับไปได้อีก

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปยังพลังแห่งการสรรค์สร้าง พลังแห่งการสรรค์สร้างก็คือพลังงานที่ลอยอยู่เหนือมหามรรคสามพันวิถี

และเป็นพลังงานที่แข็งแกร่งที่สุด!

สรรค์สร้างได้ทุกสิ่ง!

พลังงานสูงสุดทั้งเจ็ดสายไม่มีที่มาที่ไป เป็นเอกเทศเสมอมา

แสงของพลังแห่งการสรรค์สร้างส่องสว่างที่สุด พลังแห่งการสรรค์สร้างแปรเปลี่ยนไปไม่หยุดนิ่ง แบ่งจำนวนไปนับไม่ถ้วน แผ่กระจายไปทั่วทุกซอกมุมในฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยกวาดตามองฟ้าบุพกาล ความกว้างใหญ่ไพศาลของฟ้าบุพกาลทำให้เขาตกตะลึง

ที่กล่าวไว้ว่ากว้างไกลไร้ขอบเขตมิใช่เรื่องเท็จจริงๆ!

ชายขอบฟ้าบุพกาลมีพลังงานลึกลับกางไว้ เมื่อสรรพสิ่งทะลุผ่านพลังนี้ ทิศทางจะหมุนสลับ ทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็ปรากฏขึ้นแบบสุ่ม เคลื่อนที่ไปตามกระแสของพลังงานนี้ ก่อตัวเป็นฉากภาพกว้างไกลไร้ขอบเขต มีเพียงผู้ที่บรรลุถึงระดับยอดมหามรรคถึงสามารถรับรู้ถึงพลังงานนั้นได้ พลังนั้นไม่ได้รวมอยู่ในพลังกฎระเบียบสูงสุดเจ็ดสาย แต่เป็นพลังงานที่แยกออกไปอีกชนิดหนึ่ง เป็นพลังงานที่หานเจวี๋ยมองเข้าไปไม่ได้

แน่นอน เดิมทีฟ้าบุพกาลเองก็กว้างใหญ่ไพศาลอยู่แล้ว จากการประเมินของหานเจวี๋ย หากอริยะมหามรรคต้องการเดินทางไปให้ทั่วฟ้าบุพกาล ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งล้านปี นี่ยังไม่รวมสถานการณ์ที่อริยะมหามรรคสัมผัสกับพลังขอบโลกอันลึกลับนั้นเข้า หากว่าสัมผัสเข้าตรงๆ ทิศทางจะหมุนสลับงงงวย หากเดินทางท่องฟ้าบุพกาลต่อไป เกรงว่าจะใช้เวลานานยิ่งกว่าเดิม

ส่วนนอกเขตฟ้าบุพกาล คือความว่างเปล่าขาวโพลน

ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง!

ท่ามกลางความว่างเปล่ามีโครงกระดูกใหญ่มโหฬารบางส่วนกระจัดกระจายอยู่รางๆ มองไม่เห็นปราณชีวิต ยิ่งไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตด้วย

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยมองเห็นว่าไกลออกไปมีเงาร่างหนึ่งกำลังก้มมองฟ้าบุพกาลเช่นเดียวกับเขา

แต่เขาเองก็เห็นไม่ชัดว่าเงาร่างนั้นคือผู้ใด

เขาไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไป

ทั้งสองฝ่ายต่างไม่รบกวนกันและกัน

หานเจวี๋ยสังเกตการณ์ฟ้าบุพกาลต่อไป ฟ้าบุพกาลมีพื้นที่หลายแห่งที่ถูกพลังงานเหนือมหามรรคปิดกั้นไว้ ไม่สามารถสอดส่องได้

พลังงานที่อยู่เหนือมหามรรคแยกแยะได้ง่ายยิ่ง แตกต่างไปจากมหามรรคทั้งสามพันวิถี อันตรายยิ่งกว่า ทำให้หานเจวี๋ยนึกอยากหลีกหนีตามสัญชาตญาณ

หานเจวี๋ยจมจ่อมกับสภาวะนี้ต่อไป

ผ่านไปนานยิ่ง

จิตรับรู้ของเขากลับสู่ความเป็นจริง ลืมตาขึ้นมา

ดวงดาวนับไม่ถ้วนแผ่ล้อมอยู่รอบกาย สุกสกาวสะดุดตา

หานเจวี๋ยรู้สึกสนใจขึ้นมาชั่วขณะ ยื่นมือไปคว้าดาวดวงหนึ่ง โยนเข้าสู่ฟ้าบุพกาล พริบตาเดียวก็พุ่งไปถึงพื้นที่ชายขอบฟ้าบุพกาล ทิ้งห่างจากมรรคาสวรรค์ไกลโพ้นยิ่ง ไกลโพ้นอย่างที่อริยะอาจจะไม่มีวันทำได้

ดาวดวงนั้นระเบิดออกท่ามกลางความมืดมิดในครรลองสายตาของหานเจวี๋ย ผสานความหมายแท้จริงของมรรควิถีไว้ มรรควิถีให้กำเนิดสรรพสิ่ง กลายเป็นสายธารดวงดาวขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง ด้านในเกิดวิวัฒนาการขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นั่นคือโลกที่หานเจวี๋ยจินตนาการขึ้น เมื่อผ่านการสั่งสมของกาลเวลาจะกลายเป็นความจริงได้ รอจนจักรวาลแห่งนี้ปรากฏมรรคผลเบิกฟ้าขึ้น ก็จะทำให้โลกแห่งนี้ผสานรวมเข้ากับฟ้าบุพกาลกลายเป็นโลกที่แท้จริงเช่นเดียวกับมรรคาสวรรค์

หานเจวี๋ยพลันเกิดความคิด ใช้เจตจำนงของตนสร้างพลังงานสายหนึ่งขึ้นจากระเบียบแห่งการสรรค์สร้าง ลอยพุ่งออกไปและร่วงลงสู่จักรวาลแห่งนั้น

เมื่อมีพลังสรรค์สร้าง จะมีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน

บางทีอาจจะมีอริยะมหามรรคปรากฏขึ้นในจักรวาลนั้น ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้

นี่ก็คือยอดมหามรรค

สรรค์สร้างการมีอยู่ประการหนึ่งขึ้น ด้วยความคิดเดียว

ขอเพียงฟ้าดินแห่งนั้นไม่มีอริยะถือกำเนิดขึ้น ต่อให้มีสิ่งชีวิตนับไม่ถ้วน เพียงความคิดเดียวของหานเจวี๋ย ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นความว่างเปล่าเลื่อนลอยได้ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน

‘ที่แท้นี่ก็คือการมองทะลุอนิจจัง เสียงที่ปลุกข้าให้รู้แจ้งขึ้นมาในครานั้นก็คือผานกู่กระมัง’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

เพราะความเมตตาของผานกู่มรรคาสวรรค์ถึงเกิดขึ้นมา

และนี่คือสาเหตุที่ทำให้มรรคาสวรรค์เป็นหนึ่งไม่มีสองในฟ้าบุพกาล ผานกู่ยินยอมให้บรรพชนเต๋าเติบใหญ่ขึ้น ถึงขั้นที่ยอมให้ควบคุมมรรคาสวรรค์

ยอดมหามรรคคนอื่นไม่มีทางยินยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

หานเจวี๋ยเพ่งสายตา มหาสมุทรดาราที่กระจายอยู่ในอารามเต๋าหายไปในชั่วพริบตา

ดวงจิตประหลาดสะดุ้งโหยง รีบหนีออกมาจากอารามเต๋า ด้วยกลัวจะถูกหานเจวี๋ยจับได้

หานเจวี๋ยเริ่มปรับตบะให้มั่นคง

พลังเวทของเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง กลายเป็นพลังยอดมหามรรค ไม่ใช่พลังเวทอีกต่อไป แต่เป็นพลังอย่างหนึ่งที่มีระดับความแข็งแกร่งเหนือกว่าพลังมหามรรค!

หานเจวี๋ยเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจสอบ”ฮณ๊ฯดฯฌซ,

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 3065120/12,049,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]

[ตบะ: ยอดมหามรรคระยะต้น (อริยะสมบูรณ์แบบ)]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค), วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด, มหามรรคแห่งกรรม, มหามรรคต้นกำเนิด]

….

อายุขัยของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นมาอีกเก้าหลัก

หนึ่งแสนสองหมื่นสี่พันล้านล้านล้านล้านล้านปี!

นี่ยังมิใช่อมตะเป็นนิรันดร์อีกหรือ

หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจ

อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบ

ถึงอย่างไรตอนนี้หานเจวี๋ยก็รู้สึกว่าตนเป็นอมตะแล้ว ยามที่สอดส่องฟ้าบุพกาลก่อนหน้านี้ นอกจากพื้นที่ของพลังงานเหนือมหามรรคเหล่านั้นที่ไม่สามารถสอดส่องได้แล้ว เขาตรวจสอบไม่พบตัวตนระดับผู้สร้างมรรคาเลย

หากเปลี่ยนเป็นยอดมหามรรคคนอื่น จะต้องหลงลำพองแน่นอน คิดว่าตนไร้พ่ายแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นอริยะเทพอวี๋เจี้ยน

‘เมื่อไรอายุขัยของข้าถึงจะเป็นอมตะนิจนิรันดร์’ หานเจวี๋ยถามในใจ

[อายุขัยที่แสดงอยู่ตอนนี้ เป็นอายุขัยดั้งเดิม ท่านสามารถก้าวข้ามกาลเวลาได้แล้ว ขอเพียงท่านต้องการ ท่านสามารถนำร่างจริงไปอยู่ในอาณาเขตที่ไม่ถูกผูกมัดด้วยระเบียบสูงสุดได้ กลายเป็นอมตะตามความเข้าใจของสรรพสิ่ง]

หานเจวี๋ยกระจ่างขึ้นมาทันที ไม่แปลกเลยที่ยอดมหามรรคเหล่านั้นจะลึกลับกันอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ทำให้อริยะมหามรรคไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกเขา

พวกเขาเพียงซ่อนตัวอยู่นอกขอบเขตของระเบียบกฎเกณฑ์ เช่นเดียวกับมหาสมุทรลึกลับผืนนั้นที่เทวีตราวินัยอาศัยอยู่

กล่าวอีกนัยคือ ยามที่อายุขัยของหานเจวี๋ยใกล้จะสิ้นสุดลง เขาสามารถใช้วิธีนี้ได้ ทำให้ตัวเองเป็นอมตะ แต่ทำเช่นนี้ ก็เท่ากับเขาต้องไปจากฟ้าบุพกาล

ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เขาจะไม่สามารถใช้พลังหรือยอดสมบัติที่ต้องแลกด้วยอายุขัยได้อีก

หานเจวี๋ยใคร่ครวญไปพลาง ปรับตบะให้มั่นคงไปพลาง ผ่านไปสามหมื่นปีเต็ม ในที่สุดตบะของหานเจวี๋ยก็มั่นคงสมบูรณ์

เขาปรับตัวเข้ากับพลังยอดมหามรรคได้อย่างสมบูรณ์ ผสานรวมกับพลังระดับสุดยอด

เวลานี้เอง

ข้อความสามแถวพลันเด้งขึ้นมาตรงหน้าเขา

………………………………………………………………