บทที่ 840 ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งแสนคน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 840 ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งแสนคน

[ตรวจสอบพบว่าท่านพิสูจน์ยอดมหามรรค พื้นฐานชีวิตเกิดความเปลี่ยนแปลง มองทะลุอนิจจัง ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากการปิดด่านทันที สรรค์สร้างอนธการขึ้น ตั้งเป้าหมายล้มล้างฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น องรักษ์ระดับอริยะมหามรรคสิบราย]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น โอกาสเปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบหนึ่งครั้ง]

ในที่สุดก็มาแล้ว!

หานเจวี๋ยมองข้อความสามแถวตรงหน้า ยิ้มออกมา

เขาเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบเชียบ

[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ รักษาปณิธานเดิม ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น โอกาสเปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบหนึ่งครั้ง]

[เปิดใช้งานความสามารถใหม่ของระบบ…เตาผสานยอดสมบัติ]

[เตาผสานยอดสมบัติ: ผสานรวมสมบัติวิเศษทุกชนิดได้ หลอมรวมจุดเด่นของสมบัติวิเศษที่ผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เตาหลอมนี้จะตั้งอยู่ในหมื่นโลกาฉายชัดเท่านั้น หากต้องการใช้สมบัติชิ้นนี้ ต้องได้รับคุณสมบัติในการเข้าสู่หมื่นโลกาฉายชัด แต่ละคนสามารถใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อหนึ่งล้านปี]

ความสามารถนี้…

ยอดเยี่ยมนัก!

เป็นประโยชน์ต่อเหล่าศิษย์ของหานเจวี๋ยด้วย ที่ผ่านมาหานเจวี๋ยเลี้ยงดูเหล่าศิษย์แบบปล่อยอิสระมาโดยตลอด นอกจากเทศนาธรรมให้เป็นครั้งคราวแล้ว ก็ให้การดูแลเหล่าศิษย์ไม่มากเลยจริงๆ

เมื่อมีเตาผสานยอดสมบัติ เหล่าศิษย์ก็จะได้รับสมบัติวิเศษที่ยอดเยี่ยม และซาบซึ้งในพระคุณของหานเจวี๋ยไปพร้อมกัน

อีกอย่าง ตัวหานเจวี๋ยเองก็สามารถใช้ความสามารถนี้ได้เช่นกัน

หานเจวี๋ยนำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานรวมกับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง

เขาเคลื่อนย้ายมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองก่อน ปล่อยเทพมารฟ้าบุพกาลที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับตัวไป

ตอนนี้ นอกจากเทพมารที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ เทพมารทั้งหมดภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองล้วนพิสูจน์เซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้ากันหมดแล้ว

กล่าวก็คือ ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองหากตัดองครักษ์อาณาเขตเต๋าออกไป มีอริยะอยู่ทั้งหมดสี่สิบสี่ราย!

ส่วนมู่หรงฉี่ จิ้งจอกชาดและเทพมารขุนพลสวรรค์ก็ใกล้จะบรรลุระดับเสรีแล้ว!

พัฒนารวดเร็วยิ่ง!

หลังจากมู่หรงฉี่พาเทพมารตนใหม่ออกไป อู้เต้าเจี้ยนมองหานเจวี๋ยแล้วเอ่ยขึ้นมา “นายท่าน ดูเหมือนจะต่างไปจากเดิมนะเจ้าคะ หรือจะทะลวงขั้นได้อีกแล้ว”

ลี่เหยาลืมตาขึ้น มองหานเจวี๋ยเช่นกัน

หานเจวี๋ยที่สำเร็จยอดมหามรรคแล้วไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย แต่ทำให้คนรู้สึกเคารพยำเกรงอย่างน่าประหลาด ไม่กล้าเกิดความคิดดูหมิ่นล่วงเกินเลยแม้เพียงน้อยนิด

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้ม “ประมาณนั้น ระยะนี้การฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง”

เขาเดินเข้าไปนั่งตรงกลางระหว่างสตรีทั้งสอง คุยเล่นกับพวกนาง

ผ่านไปพักใหญ่

หานเจวี๋ยกลับมาที่อารามเต๋าหลัก เริ่มยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็เสร็จสิ้น

เขาฝึกฝนร่างจำลองเสรีสุญญตาต่อ

เก้าสิบเก้าปีต่อมา

หานเจวี๋ยเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารได้ห้าร้อยร่าง ก็ไม่สามารถเรียนรู้ต่อได้อีก มีร่างจำลองเทพมารสะสมรวมทั้งหมดหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบเก้าร่าง!

เขาลืมตาขึ้น ยิ้มออกมา ความมั่นใจแผ่ออกมาจากทั่วร่าง

ต้องท้าสู้!

เริ่มจากอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคนก่อน!

ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น แสดงสีหน้าดูแคลน

เพิ่มอีกหนึ่งเท่า!

สองหมื่นคน!

สังหารได้ในเสี้ยววินาที!

สามหมื่นคน!

สังหารได้ในไม่กี่ลมหายใจ!

หานเจวี๋ยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ หลังจากผ่านไปหลายครั้งก็สังหารอริยะเทพอวี๋เจี้ยนสามหมื่นคนในเสี้ยววินาทีได้

พลังระดับสุดยอดของเขาทิ้งห่างพลังเวทในอดีตไปไกลโข เมื่อผนวกรวมกับพลังมหามรรคอีกเกือบสองพันวิถี ระเบิดออกมาพร้อมกัน เปี่ยมอานุภาพทำลายล้าง ทำลายได้ทุกสิ่ง!

ไม่ใช่แค่ร่างสิ้นวิญญาณสลายเท่านั้น แม้แต่บ่วงกรรม ห้วงเวลารวมถึงตัวตนการคงอยู่ก็ถูกทำลายล้างไปด้วยกัน!

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งยิ่ง

จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าความแข็งแกร่งของเทพมารอนธการ ไม่เพียงแต่เข้ากันได้กับมหามรรคสามพันวิถีเท่านั้น ในระหว่างการต่อสู้ ดาราอนธการหนึ่งแสนสองหมื่นสี่พันล้านล้านล้านล้านล้านดวงที่อยู่ภายในร่างเขาก็ระเบิดพลังยอดมหามรรคออกมาพร้อมกันได้ กู่ก้องไปทั้งร่าง ทรงพลังเผด็จการ

ระดับความแข็งแกร่งนี้ยากจะบรรยายออกมาได้!

หานเจวี๋ยเปลี่ยนกลยุทธ์ต่อสู้ดู สร้างร่างจำลองเทพมารหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบเก้าร่างออกมา ผสานดาราอนธการหนึ่งแสนสองหมื่นสี่พันล้านล้านล้านล้านล้านดวงเข้าไปในร่างจำลองทั้งหมดพร้อมกัน ร่างจำลองเทพมารยกระดับขึ้นทันที!

เมื่อรวมหานเจวี๋ยเข้าไปด้วย ก็เท่ากับมีเทพมารอนธการอยู่หนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบตน!

ไร้พ่ายแล้ว!

ถูกต้อง เทพมารอนธการขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามความก้าวหน้าของระดับตบะจริงๆ ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเห็นความได้เปรียบชัดเจนขึ้น!

พลังยอดมหามรรคต่างหากสามารถกระตุ้นคุณสมบัติกายดาราอนธการที่แท้จริงขึ้นมาได้!

เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นเขาจึงเพิ่มจำนวนอริยะเทพอวี๋เจี้ยนขึ้นอีก

ห้าหมื่นคน!

ก็แค่มีหมาแมวมาเพิ่มอีกสองหมื่นตัวเท่านั้น สังหารได้สบายๆ!

หานเจวี๋ยเพิ่มจำนวนอริยะเทพอวี๋เจี้ยนขึ้นมารวดเดียวหนึ่งแสนคน ในที่สุดก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแล้ว

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งแสนคนใช้กระบี่โจมตีอย่างพร้อมเพรียง ปรากฏฉากการผสานมหามรรคแสนตระการตาขึ้น ทรงพลังเลิศล้ำ

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็รู้สึกเปลืองแรงบ้างแล้ว

ท่ามกลางความมืดมิด อริยะเทพอวี๋เจี้ยนจำนวนหนึ่งแสนคล้ายจะมีความหมายแฝงบางอย่าง หลังจากผสานมหามรรคแล้ว อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเกิดความเปลี่ยนแปลง ทรงอิทธิฤทธิ์แห่งยอดมหามรรค ไม่ใช่ยอดมหามรรคธรรมดา

น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง!

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็ม ในที่สุดหานเจวี๋ยก็พอจะฝืนเอาชนะได้

เขาท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งแสนคนต่อ

ผ่านไปหลายร้อยครั้ง ในท้ายที่สุดหานเจวี๋ยก็เอาชนะอย่างเด็ดขาดได้ แต่ยังคงไม่สามารถสังหารอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหนึ่งแสนคนในเสี้ยววินาทีได้

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ถามในใจ ‘ตอนนี้ข้าสามารถสังหารหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ได้]

ปลอดภัยแล้ว!

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา

เขาสอดส่องฟ้าบุพกาล เสาะหาหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์

ขอบเขตสายตาของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนตอนที่จิตรับรู้ทอดมองฟ้าบุพกาลก่อนหน้านี้ ค้นหาหมื่นขุนพลศักดิ์สิทธิ์จากมุมสูง

ไม่นานนัก เขามองเห็นขุนพลศักดิ์สิทธิ์ เคลื่อนผ่านฟ้าบุพกาลไปอย่างองอาจห้าวหาญ อยู่ไม่ไกลจากมรรคาสวรรค์แล้ว

‘หากข้ามุ่งหน้าไปที่ฟ้าบุพกาลตอนนี้ เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลจะมองออกหรือไม่ว่าข้าคือเทพมารอนธการ’

หานเจวี๋ยถามในใจ

[จำเป็นต้องหักอายุขัยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ไม่ออก เนื่องจากเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลไม่เคยพบเทพมารอนธการมาก่อน อีกทั้งผานกู่ได้ตัดขาดบ่วงกรรมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคแล้ว ทำให้เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลและดวงจิตมหามรรคไม่สามารถทำนายถึงบ่วงกรรมได้ ได้แต่สอดส่องด้วยสายตาเท่านั้น]

หืม

แม้แต่เจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลก็ไม่สามารถทำนายถึงบ่วงกรรมได้หรือ

ผานกู่นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง

แต่แค่สอดส่องด้วยสายตาก็เหลือเฟือแล้ว!

ขนาดหานเจวี๋ยยังมองเห็นได้ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลกระมัง

หานเจวี๋ยคิดดูเล็กน้อย เริ่มค้นหาอริยะเทพอวี๋เจี้ยนภายในฟ้าบุพกาล

ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะหาไม่พบ!

หรือว่าคนผู้นี้ก็สร้างอาณาเขตที่แยกตัวเป็นเอกเทศของตนขึ้น เป็นอิสระอยู่นอกกฎเกณฑ์เช่นกัน

หานเจวี๋ยสำแดงความฝันอันธการ เข้าฝันอริยะเทพอวี๋เจี้ยน

แดนความฝันคือฉากห้วงอากาศว้างเปล่าที่ทั้งสองเคยต่อสู้กัน

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย พลันมีสีหน้าตกตะลึง

“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถบังคับเข้าฝันข้าได้ ข้า…”

ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด!

อริยะเทพอวี๋เจี้ยน ตื่นตระหนกอยู่ในใจ

เขาคือยอดมหามรรคเชียวนะ!

เขาคิดว่าตนเป็นตัวตนไร้พ่ายแล้ว ทั่วทั้งฟ้าบุพกาล มีเพียงเหล่าจื่อและผานกู่ที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้!

เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนคิดไม่ออก

หานเจวี๋ยเอ่ยทักทาย “สหายเต๋าอวี๋ ไม่ได้พบกันเสียนาน”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยน ฝืนข่มความตื่นตระหนกและตกตะลึงไว้ เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าเรียกข้าว่าสหายเต๋าอวี๋เจี้ยนหรืออริยะเทพก็ได้”

“เหล่าอวี๋”

“หืม”

“เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ใด เหตุใดข้าถึงหาเจ้าไม่พบ”

หานเจวี๋ยมองข้ามความไม่พอใจที่อริยะเทพอวี๋เจี้ยนมีต่อตนไป ถามด้วยความสงสัย

เมื่อได้ยินอริยะเทพอวี๋เจี้ยน ในใจพลันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

เช่นนี้ค่อยยังชั่วหน่อย

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนตอบอย่างภาคภูมิใจ “ย่อมอยู่ในอาณาเขตอริยะเทพที่ข้าบุกเบิกขึ้น นอกจากข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบถึงทั้งสิ้น!”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “รีบออกมาเถอะ ข้าอยากพบเจ้า เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว ยังจะหลบซ่อนตัวอีก กลัวผู้ใดกัน”

………………………………………………………………