บทที่ 713 ความเศร้าใหญ่หลวง (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 713 ความเศร้าใหญ่หลวง (3)

เมื่อเห็นว่า หลี่ฉางโซ่วกำลังจมจ่อมอยู่กับการครุ่นคิดลึกซึ้ง ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงเอ่ยเตือนเขาว่า “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป แม้เจ้าจะช่วยไม่ได้ แต่ก็หามีผู้ใดตำหนิเจ้าไม่

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าเพียงแค่ลงมือช่วยด้วยยึดหลักคุณธรรมเท่านั้น”

หลี่ฉางโซ่วจงใจเผยสายตาจ้องมองที่แน่วแน่ออกมา และกล่าวเบาๆ

“ข้าต้องทุ่มสุดตัว สู้เพื่อบุญ!”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่หัวเราะและชี้ไปข้างหน้าพลางกล่าว

“ดูสิ มีผู้ใดกำลังมาที่นี่”

หลี่ฉางโซ่วเงยหน้ามองขึ้นไปและเห็นเมฆลอยมาบนท้องฟ้า

ในขณะนั้นร่างงดงามสามร่างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาจากก้อนเมฆ

พวกนางคือ เทพธิดาซานเซียว[1]แห่งเกาะซานเซียน ซึ่งจ้าวกงหมิงได้เชิญพวกนางมา

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถามว่า “พวกเราควรปรากฏตัวหรือไม่? มันออกจะลำบากในการเข้าสังคมและพูดคุยทักทายกันอยู่สักหน่อย”

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าเพียงจะแค่ทักทายเท่านั้นขอรับ”

วันนี้ อาจารย์ลุงจ้าวเป็นตัวเอกของงาน เขาไม่อาจแย่ง ชิงความโดดเด่นของอาจารย์ลุงจ้าวได้

หลี่ฉางโซ่วเอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “เทพธิดา ศิษย์พี่เสวียนตู และข้าซ่อนตัวเพื่อชมพิธีอยู่ที่นี่ หลังจากนี้พวกเรายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก และพวกเราจะไม่ปรากฏตัวออกไปพบเจ้าในวันนี้”

ทันใดนั้นอวิ๋นเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองที่ซ่อนของหลี่ฉางโซ่ว และปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็แย้มยิ้มบางและพยักหน้าให้หลี่ฉางโซ่วเบาๆ

หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก

แท้จริงแล้ว ระดับพลังของเขาเองยังไม่สูงพอ เขายังสามารถเปิดเผยได้ด้วยแผนภาพไท่จี๋ที่ปกปิดเสียงของเขาที่เผยออกไป!

ในขณะนั้นฉยงเซียวที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ก็กลอกตาและสูดจมูกเบาๆ

นางพึมพำว่า “แปลกจัง”

“มีอันใดผิดไปหรือ?” ปี้เซียวกะพริบตาพลางเอ่ยถาม

“มันได้กลิ่นเน่าเหมือนกลิ่นของเจ้าเฒ่าผมขาว” ฉยงเซียวขบริมฝีปาก

อวิ๋นเซียวอดจะมองไปที่ฉยงเซียวไม่ได้และกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “อย่าล้อเขาเล่นเยี่ยงนั้นสิ เขาก็มีปัญหาของเขาเองเช่นกัน”

ฉยงเซียวและปี้เซียวมองหน้ากันแล้วระเบิดหัวเราะ

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ปรบมือและหัวเราะเบาๆ เช่นกัน

จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ศิษย์น้องอวิ๋นเซียวช่างอ่อนโยนจริงๆ”

หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มพลางพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีความคิดผุดวาบขึ้นมาในหัวของเขา แต่มันเกิดขึ้นเร็วมากเกินไปจนเขาไม่อาจจับมันได้ทัน

ราชินีโฮ่วถู่มีประสบการณ์อะไรบ้างเมื่อนางเปลี่ยนเป็นแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี? นางทำได้อย่างไร?

ในที่นี้มีคำตอบสำหรับคำถามด้วยหรือไม่?

หลี่ฉางโซ่วหลับตาและครุ่นคิดอีกครั้ง เขาปล่อยให้เสียงอึกทึกครึกโครมเข้าหูโดยไม่ได้ถูกรบกวน

ในยามค่ำ พิธีเฉลิมฉลองการเลิกราก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

บรรดาเซียนมากกว่าพันคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้มารวมตัวกันที่ข้างสระสมบัติ

พวกเขาล้อมรอบสระสมบัติทั้งหมดจากบนลงล่าง และศิษย์ส่วนตัวของจอมปราชญ์ไม่กี่คนที่มาสนับสนุนพวกเขาก็หยุดอยู่ในหมู่เมฆ

จ้าวกงหมิงก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว เขาเดินไปยังพื้นที่เปิดโล่งที่รายล้อมไปด้วยเหล่าเซียน แล้วประสานมือและโค้งคารวะไปทั่วบริเวณโดยรอบ

จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “วันนี้ข้าขอถือโอกาสเชิญเหล่าสหายศิษย์ร่วมสำนักทุกคนให้มาที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยาน

โปรดอภัยให้ข้าด้วย หากข้าได้รบกวนการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้า

เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างกงหมิงและศิษย์น้องหญิงจินกวง แต่ก่อนหน้านี้ มันได้รับความสนใจจากเหล่าสหายศิษย์ทุกคนในสำนักเดียวกัน

ดังนั้นข้าจึงเชิญทุกคนมาที่นี่ในวันนี้เพื่อชี้แจงเรื่องทุกอย่างนี้ให้ชัดเจน

วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเลวร้าย และข้าก็มีความสุขสบายใจไร้กังวล

ศิษย์น้องหญิงจินกวงและข้าออกเดินทางไป … ”

จากนั้นจ้าวกงหมิงก็เริ่มเล่าเรื่องของเขาและเทพธิดาจินกวงในขณะที่บรรดาเซียนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยทั้งหมดก็ฟังอย่างเงียบๆ

ในไม่ช้าเทพธิดาจินกวงก็ลุกขึ้นยืนและออกมากล่าวว่า บัดนี้นางเข้าใจหัวใจที่แท้จริงของนางแล้ว

ในตอนแรกนางยกย่องชื่นชมศิษย์พี่กงหมิงมากเกินไปจนอยากจะเป็นคู่บำเพ็ญเต๋ากับเขา แต่หลังจากที่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันแล้ว ก็พบว่า พวกเขาไม่เหมาะสมกัน…

“ศิษย์พี่ เราไปทำงานที่แดนยมโลกกันเถิดขอรับ”

“เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถาม

หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ข้าทำได้เพียงติดต่อโต้ตอบกับร่างจำแลงเจ็ดอารมณ์ของราชินีโฮ่วถู่ก่อนเท่านั้น มันย่อมจะเป็นการดีที่สุดหากข้าได้ติดต่อกับราชินีโฮ่วถู่ด้วยตัวเอง และดูว่าจะสามารถหาเบาะแสบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ”

“ตกลง”

จากนั้น อักขระเต๋ารอบๆ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็ไหลเวียน แล้วทั้งสองก็นั่งอยู่บนก้อนเมฆและจากไปเงียบๆ

ในขณะนั้น เทพธิดาอวิ๋นเซียวก็เงยหน้าขึ้นมองจากระยะไกล

หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มและโบกมือของเขาในขณะที่อวิ๋นเซียวคลี่ยิ้มบางให้เช่นกัน และนางก็พยักหน้าให้ก่อนที่ร่างของหลี่ฉางโซ่วจะหายลับไป

ในระหว่างทาง จู่ๆ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เขายกมือขึ้นและจับไหล่ของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้

“เจ้ากับอวิ๋นเซียวเป็นอย่างไรบ้าง?

หรือว่าจะเป็นเหมือนกับศิษย์น้องกงหมิงและศิษย์น้องหญิงจินกวง พวกเจ้าสองคนรู้สึกว่าพวกเจ้าเข้ากันไม่ได้หรือไม่?”

เหตุใดถึงต้องกังวลเรื่องนี้กันเล่า?

ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เฉไฉโดยเปลี่ยนหัวข้อเป็นราชินีโฮ่วถู่ และหลังจากพูดคุยกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่สักพักหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงนอกเมืองเฟิงตูแล้ว

การเดินทางไปกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้นสะดวกกว่ามากจริงๆ

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้กับพวกเผ่าเวทตรงๆ และขอให้แดนยมโลกช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปล่อยพลังสะกดข่มและเปิดเผยร่างของตัวเขาเองออกมาพร้อมกับหลี่ฉางโซ่ว และพวกเขาก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าระดับต่ำนอกเมืองเฟิงตู

ทันใดนั้นจ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบตำหนักก็ล้วนตกตะลึง

เสียงผีร่ำไห้หมาป่าโหยหวน[2]นอกเมืองเฟิงตูหยุดลงกะทันหันในขณะที่หัววัวและหน้าม้าซึ่งกำลังกินมื้อใหญ่อยู่บนยอดเขาก็ตัวสั่นเทาทันที

“วัว พวกเรามีเครื่องปรุงมากเกินไปหรือไม่? ฮี้…”

“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่? เพียงเครื่องปรุงรสเล็กน้อย เหตุใดปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง”

โชคดีที่ประโยคต่อมาของหลี่ฉางโซ่ว คือ “จ้าวแห่งแดนยมโลกทั้งสิบตำหนัก พวกท่านตัดสินความผิดได้หรือไม่?”

………………………………………………………………..

[1] เทพธิดาสามนภา หรือ สามเซียว มีอวิ๋นเซียว ฉยงเซียว และปี้เซียว

[2] เปรียบถึงเสียงร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสาง หมาป่าที่บรรยายถึงเสียงร้องดัง และเป็นเสียงโศกเศร้ารันทด

—————————————–