“งั้นก็ดี” วารุณีพยักหน้าอย่างสบายใจ “หวังว่าหลังจากนี้ พวกเธอจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสบายใจนะ”
ปาจรีย์อืมเพื่อตอบรับ “ฉันจะทำ ขอบคุณเธอมากนะวารุณี แล้วก็ฉันฝากขอบคุณประธานนัทธีด้วย ถ้าไม่ใช่พวกเธอ ครอบครัวเราคงออกจากจังหวัดจันทร์ไม่ได้ บางทีอีกไม่นาน ก็คงถูกพงศก……”
พูดถึงเท่านี้ ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรได้บางอย่าง กำโทรศัพท์แน่นแล้วถาม “ใช่แล้ววารุณี พงศกรได้ไปหาเธอหรือเปล่า?ฉันออกมาแล้ว เขาต้องสงสัยแน่ๆว่าเธอเป็นคนช่วยฉันหนี เพราะฉะนั้นเขาได้ไปหาเธอหรือเปล่า?”
วารุณีส่ายหน้า “ช่วงนี้ยัง ต่อไปจะมาไหม ฉันไม่รู้”
ปาจรีย์หลับตาลงด้วยสายตามืดมิด “ขอโทษจริงๆ นะวารุณี ฉันทำให้เธอต้องมาพัวพัน”
วารุณียิ้มเบาๆ “ที่ไหนล่ะ เธอเป็นเพื่อนฉันนะ ฉันช่วยเธอน่ะสมควรแล้ว ถึงขั้นพัวพันอะไร อีกอย่างพงศกรไม่ทำอะไรกับฉันจริงๆ หรอก อย่าลืมสิ ว่าสามีฉันจะปกป้องฉัน”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ความไม่สบายใจของปาจรีย์ก็ลดลง
ใช่สิ ประธานนัทธีจะปกป้องวารุณี แบบนี้เธอก็สบายใจ
“เอาล่ะปาจรีย์ ต่อไปนี้เธอใช้ชีวิตที่นั่นให้ดีๆ คลอดลูกแล้ว อดีตก็ปล่อยไป ต่อไปนี้ไม่ต้องคิดอะไรอย่างอื่นแล้ว โดยเฉพาะพงศกร เข้าใจไหม?” วารุณีกำชับ
ปาจรีย์อืมเพื่อตอบรับ “ฉันรู้”
“งั้นฉันวางสายก่อนนะ” วารุณีมองเวลา พูดกับโทรศัพท์
ปาจรีย์พยักหน้า “โอเค”
หลังวางสาย เธอก็วางโทรศัพท์ลง เพิ่งจะหันหลัง ก็เห็นคุณแม่ปารวีที่ถือแก้วนมเดินเข้ามาในห้องของเธอ
“ปาจรีย์ ดื่มนมหน่อยนะ” คุณแม่ปารวีเดินเข้ามา ยื่นนมส่งให้เธอ
ปาจรีย์ยื่นมือออกไปรับ “ขอบคุณค่ะแม่”
“ฉันเป็นแม่เธอ ขอบคุณอะไรล่ะ รีบดื่มเถอะ” คุณแม่ปารวีนั่งลงข้างเตียง ลูบหัวของเธอด้วยความอ่อนโยน “เมื่อกี้โทรคุยกับวารุณีเหรอ?”
ปาจรีย์ดื่มนมไป พร้อมกับตอบไป: “ใช่ค่ะ เราถึงที่นี่กันแล้ว เลยโทรไปบอกเธอ ขอบคุณเธอสักหน่อย”
คุณแม่ปารวีพยักหน้า “ควรขอบคุณ ถ้าไม่มีคู่สามีภรรยาวารุณี ครอบครัวเราสามคน คิดจะออกนอกประเทศง่ายขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ปาจรีย์ก็หลับตาลง สายตาเต็มไปด้วยความละอาย “ขอโทษนะคะแม่ หนูเป็นคนทำให้พ่อกับแม่เข้ามาพัวพัน ถ้าไม่ใช่เพราะความเอาแต่ใจของหนู จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ พ่อกับแม่ที่แก่ขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่ต้องมาลำบาก ตามหนูมาถึงที่นี่”
แล้วก็ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอรักพงศกร ครอบครัวพวกเขาสามคน ก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้
ทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของเธอ
เมื่อฟังที่ลูกสาวโทษตัวเอง คุณแม่ปารวีก็เจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุด โอบลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด ปากแดงพูด: “ไม่ ปาจรีย์ ลูกอย่าพูดแบบนี้อีก ลูกไม่ได้ดึงเราเข้าไปพัวพัน ลูกคือลูกเรา ดังนั้นลูกเอาแต่ใจได้ เพราะลูกในสายตาเรา ลูกก็คือลูก อีกอย่างครอบครัวเราสามคนอยู่ด้วยกัน แบบนี้สิมีความสุข แม่กับพ่อของลูก ก็ไม่ได้รู้สึกว่านี่คือความลำบาก”
“แม่……” เมื่อได้ยินคุณแม่ปารวีพูดแบบนี้ ปาจรีย์ไม่ได้รู้สึกถึงความผ่อนคลายลง กลับกันในใจรู้สึกละอายมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะหวังว่าพ่อกับแม่จะต่อว่าเธอ แบบนี้ บางทีเธออาจจะสบายใจขึ้นมาหน่อย
แต่พ่อแม่กลับไม่ได้ทำ กลับกันกลับเข้ามาปลอบโยนเธอ แบบนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ลูกที่ดี ลากพวกเขาเข้ามาพัวพัน
หน้าประตู คุณพ่อประสิทธิ์ที่ยืนดูแม่ลูกร้องไห้กันเป็นกลม เบ้าตาก็แดงขึ้น ในใจไม่มีความสุข
แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไป และก็ไม่ได้จะเข้าไป
ในฐานะพ่อ เขาไม่ได้ละเอียดลออเหมือนภรรยา ที่จะไปห่วงใยทุกด้านของลูกสาว ปลอบโยนลูกสาว
ดังนั้น ให้ภรรยาจัดการดีกว่า ผู้หญิงเหมือนกัน เธอสามารถรู้ได้ว่าผู้หญิงต้องการความห่วงใยและการคุ้มครองแบบไหน
เขา เฝ้าดูอยู่เงียบๆ ตรงนี้ก็พอแล้ว
ภายในห้อง ไม่รู้ว่าสองคนแม่ลูกร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายคุณแม่ปารวีก็สงบสติอารมณ์ได้ก่อน หลังจากนั้นก็ยกหน้าปาจรีย์ขึ้น เช็ดน้ำตาของเธอ “เอาล่ะปาจรีย์ รีบหยุดร้องไห้ได้แล้ว ลูกยังท้องลูกอยู่ ร้องนานเกินไปแล้ว ไม่ต่อเด็ก แล้วก็รีบจัดเก็บอารมณ์ของลูก เมื่ออารมณ์ไม่ดี ก็ส่งผลต่อเด็กได้ แล้วก็ร่างกายของลูกเอง ถ้าร่างกายลูกทรุดลง เด็กเองก็จะแย่”
คำพูดของคุณแม่ปราวี ทำให้ปาจรีย์ต้องใส่ใจ แล้วรีบหยุดร้องไห้ สูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนใจสงบลง พยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะแม่ หนูจะไม่ร้องแล้ว หนูจะปรับอารมณ์ค่ะ”
“ดี” คุณแม่ปารวีลูบหัวของเธอ “ปาจรีย์ จากนี้ไป ครอบครัวเราสามคน ไม่สิ ครอบครัวสี่คน จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข น่าจะไม่คิดถึงคนอื่นแล้ว ดีไหม?”
ปาจรีย์รู้ว่าคนอื่นที่คุณแม่พูดถึงคือใคร เธอยกยิ้ม ฝืนยกยิ้ม พยักหน้าตอบรับ “ค่ะ ไม่คิดถึงแล้ว จากนี้ไปจะไม่คิดถึงอีกแล้ว ต่อจากนี้ไปครอบครัวเราสี่คน จะใช้ชีวิตแบบมีความสุข”
ครั้งนี้ เธอตั้งใจจริงๆ จากนี้ไปจะไม่คิดถึงพงศกรแล้วจริงๆ ไม่คิดถึงอีกต่อไปแล้ว!
เมื่อได้ยินที่ลูกสาวตอบ คุณแม่ปารวีก็ดีใจจนแทบจะร้องไห้อีกครั้ง “ดีๆๆ ไม่คิดถึงแล้วก็ดี ไม่คิดถึงแล้วก็ดี”
“แม่คะ หนูอยากกินปลาผัดซอสแดงที่แม่ทำ” ปาจรีย์มองไปที่คุณแม่ปารวีอย่างตื่นเต้น พูดขึ้นอย่างกะทันหัน
คุณแม่ปราวีลุกขึ้น “ได้ แม่จะไปทำให้ลูกกิน ลูกพักผ่อนอยู่ในห้องนี้ดีๆ นะ แม่ทำเสร็จ แล้วจะมาเรียก”
“ขอบคุณค่ะแม่” ปาจรีย์ตอบรับ พยักหน้า
คุณแม่ปารวีออกไปอย่างดีใจ
ไม่น่าดีใจเหรอ?ภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุดของปาจรีย์? ก็คือพงศกร
ไม่รู้เหมือนกันว่าพงศกรมีมนต์อะไร ปาจรีย์ถึงได้รักจนถวายหัว จนแทบบ้า
ในฐานะแม่ เธอสนับสนุนความสัมพันธ์ของลูกสาว แต่ในขณะเดียวกันในฐานะแม่ เธอก็ไม่สนับสนุนที่ลูกสาวที่รักใครสักคนจนไม่รักตัวเอง
หลายครั้งที่เธอเกลี้ยกล่อมลูกสาว ให้ลูกสาวตัดใจจากพงศกร และมองดูผู้ชายดีๆ คนอื่น
แต่ไม่มีประโยชน์เลย ปาจรีย์ตั้งปลุกตั้งใจมุดเข้าไปในเขาควาย ดึงยังไงก็ดึงไม่กลับ ถึงแม้ว่าจะคบกับเด็กและพี่คนนั้นแล้ว แต่ในใจก็ยังคงเป็นพงศกร จนทำให้พวกเขาที่เป็นพ่อแม่กลุ้มใจเป็นบ้า
ดังนั้นความจริงแล้วตอนนี้เขาดีใจมากที่ครอบครัวพวกเขาสามคนได้มาอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไกลจากบ้านเกิด มาถึงประเทศที่แปลกประหลาดแบบนี้
แต่อย่างน้อย ปาจรีย์ก็ได้อยู่ห่างจากพงศกร ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเจอพงศกรแล้ว
ไม่แน่นานวันไป ปาจรีย์อาจจะลืมพงศกรได้จริงๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ หลังจากที่คุณแม่ปารวีออกจากห้องไป ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม
แต่ปาจรีย์ กลับค่อยๆ เก็บรอยยิ้มนั้นลง ปิดตาลง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสายตาในตานั้นได้ชัด
ผ่านไปสักพัก เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใหม่ แล้วโทรออกไป แล้วถามด้วยภาษาต่างประเทศ: “สวัสดีค่ะ สอบถามหน่อยค่ะว่าที่นั่นใช่สะกดจิตหรือเปล่าคะ?ใช่ค่ะ ฉันอยากสอบถามเรื่องด้านเกี่ยวกับการปิดความจำค่ะ”
เธอชัดเจนมากกว่าใคร ว่าตัวเองรักพงศกร รักมาก
ดังนั้นเธอจึงอยากใช้เวลาอันสั้นนี้ลืมพงศกร และไม่รักเขา เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
บางทีถอยไปสิบกว่าปี อาจจะเป็นไปได้ แต่สองสามปีใกล้นี้ ไม่ได้แน่นอน
เธอเจ็บปวดมาตั้งหลายปี ไม่อยากเจ็บปวดต่อไปอีกแล้ว และไม่อยากให้ลูกเห็นความรู้สึกของเธอโผล่ออกมาหลังจากนี้ ท่าทางไม่โทษตัวเอง
อย่างงั้นเธอจึงตัดสินใจ ที่จะลบความจำทั้งหมดที่ตัวเองมีต่อพงศกร
เพียงแค่ตัวเองลืมเขาได้ ก็จะไม่รักเขาเอง
เธอเป็นแบบนี้ตอนนี้ดีที่สุด และเป็นวิธีที่เธอจะไม่รักพงศกรได้เร็วที่สุด
“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไป” ปาจรีย์พูดกับปลายสายนั้น