บทที่ 789 ไม่มีอะไรเลย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

รพีพยักหน้า สูดหายใจเข้า “งั้นก็ดี แบบนั้นก็ดีแล้ว ขอแค่ปาจรีย์ไม่เป็นไร อยู่อย่างสบายก็โอเคแล้ว”

เขาก็คิดได้แล้ว ว่าตอนนี้ไม่ต้องร้อนรนรู้ที่อยู่ของพวกปาจรีย์ ขอแค่รู้ว่าพวกเขาอยู่อย่างสบายก็โอเคแล้ว

รอหลังจากนี้ จัดการส่วนของพงศกรได้แล้ว พวกปาจรีย์ก็ไม่เป็นไรแล้ว เขาก็สามารถไปหาปาจรีย์ได้แล้ว

นัทธีจ้องรพีทำสีหน้าวางใจ ก็ไม่ได้พูดอะไร และหันหลังออกไป

พิชิตตามมาด้านหลัง “นัทธี ไม่รู้ว่าฉันมองผิดไปมั้ย”

“อะไร? ” มือสองข้างของนัทธีล้วงกระเป๋ากางเกง เดินตรงไปข้างหน้า

พิชิตพูด:“ก็พงศกรน่ะสิ ฉันรู้สึกว่า เหมือนเขาจะชอบปาจรีย์นะ”

“ห้ะ?” เท้าของนัทธีชะงัก “นายบอกว่าเขาชอบปาจรีย์?”

พิชิตพยักหน้า “ใช่ ฉันมองออก ตอนที่ได้ยินเขาพูดถึงปาจรีย์ ถึงแม้จะมีความโมโห แต่ในตาเขา กลับมีร่องรอยของความเป็นมิตร แต่แค่เบาบางมากๆ ไม่ง่ายที่คนอื่นจะสังเกตเห็น ฉันคิดว่าแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าตัวเองชอบปาจรีย์”

“แน่ใจว่านายไม่ได้มองผิด?” นัทธีมองเขา

พิชิตส่ายหน้า “ฉันแน่ใจว่าไม่ได้มองผิด นายก็รู้ ตัวฉันเองก็เป็นคนมีความรักคนนึง”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะอย่างเศร้าๆ “อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ ฉันนั้นไวต่อความรู้สึกเรื่องความรัก ขอแค่คนอื่นหลุดแสดงออกมาเล็กน้อย ฉันก็สามารถรู้สึกได้ทันที เหมือนกับพงศกรเมื่อกี้ สายตาที่เขามารพี เต็มไปด้วยความอิจฉา เขาอิจฉารพี แต่ระหว่างเขากับรพีไม่ได้มีอะไรต่อกัน และก็ไม่ได้ความแค้นด้วย ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำให้พงศกรอิจฉารพีได้ ก็คือเรื่องที่รพีคบกับปาจรีย์เรื่องนี้”

คำพูดนั้นชัดเจนมากแล้ว พงศกรอิจฉารพี ดังนั้นพงศกรจะต้องชอบปาจรีย์แน่ๆ

มุมปากของนัทธียิ้มอย่างเย็นชา “ไม่น่าล่ะพงศกรเอะอะก็บอกว่าเกลียดปาจรีย์ แต่ว่ากลับไม่เคยทำให้ปาจรีย์และตระกูลจิรดำรงค์หายไปจากสายตาของเขา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”

เมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจ พงศกรสามารถฆ่าคนตระกูลจิรดำรงค์ทิ้งได้ แต่ทำไมกลับไม่ลงมือ เพราะว่าในใจรู้ว่าตระกูลจิรดำรงค์เป็นผู้มีพระคุณ?

อาจจะเป็นไปได้

แต่ว่าสาเหตุนี้ ก็ไม่ได้สำคัญที่สุด

สำหรับพงศกรแล้ว ถึงแม้ในใจจะรู้ว่าตระกูลจิรดำรงค์เป็นผู้มีพระคุณ แต่สติสัมปชัญญะของเขายังรับไม่ได้ ไม่อย่างนั้น พงศกรคงไม่ทิ้งความโกรธแค้นนี้มาเป็นระยะเวลานานแปลกๆแบบนี้

แต่ตอนนี้เห็นที สาเหตุที่แท้จริง ก็คือเพราะพงศกรชอบปาจรีย์ ดังนั้นถึงไม่ได้ลงมือกับตระกูลจิรดำรงค์จริงจังเลย

แต่แค่พงศกรชอบปาจรีย์ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

เมื่อก่อนพงศกรยังบอกว่าตัวเองชอบวารุณี แถมเพื่อวารุณีแล้ว ยังบ้าคลั่งถือมีดมาแทงเขา……

“นัทธี นายกำลังคิดอะไรอยู่?” พิชิตมองไปที่หน้าของนัทธีที่คาดเดาไม่ได้ และถามอย่างอยากรู้

นัทธีส่ายหน้า “ไม่มีไร แค่คิดว่าพงศกรน่าขำมากๆ พลางบอกว่าเกลียด แต่ก็พลางรักอีกฝ่าย”

“ก็น่าขำอยู่นะ แต่ก็น่าเศร้าอยู่” พิชิตถอนหายใจ “พงศกรในตอนนี้ กับฉันในอดีต ช่างเหมือนกันจริงๆ”

“หมายความว่าไง?” นัทธีมองเขา

พิชิตขยับแว่น และตอบกลับด้วยความรู้สึก:“ฉันในอดีต รักนวิยามาตลอด แต่กลับไม่มีความกล้า ไม่กล้าบอกความรู้สึกตัวเองกับนวิยามาตลอด ทำให้นวิยายิ่งจมดิ่งอยู่กับนาย จนหล่อนนับวันยิ่งกลายเป็นคนบ้าคลั่ง จากนั้นถึงได้ทำเรื่องมากมายพวกนี้ออกมา ส่วนพงศกรมีสถานการณ์ต่างจากฉันเล็กน้อย นั้นก็คือนอกจากที่เขาไม่มีความกล้าเผชิญหน้าว่าพ่อแม่ของตนตายได้ยังไง ก็ยังไม่รู้อีกว่าคนที่ตนรักที่แท้เป็นใคร เป็นแบบนี้ต่อไป เขาคงมีจุดจบเดียวเหมือนกันกับฉัน เจ็บปวดที่สูญเสียสิ่งที่ตนรักไป อะไรก็ไม่ได้มาครอง”

“นั้นเขาก็สมควรแล้ว” ริมฝีปากบางของนัทธีพูดอย่างนิ่งๆ:“การที่เป็นผู้ใหญ่คนนึง กับไม่มีความคิดที่จะยอมรับความเป็นจริง แม้แต่ไม่รู้ว่าคนที่รักเป็นใคร คนแบบนี้ สูญเสียทุกอย่าง ถึงเป็นเรื่องปกติ”

พูดจบ เขาก็เร่งฝีเท้าเดินขึ้นลิฟต์ไป

พิชิตไม่ได้ตามไป ยืนอยู่กับที่มองดูนัทธีจากไป ในใจก็ถอนหายใจ

ที่นัทธีพูดก็ใช่ การที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีความกล้า ไม่มีความคิด งั้นสูญเสียทุกอย่าง ก็จริงที่เป็นเรื่องปกติ ไม่น่าเสียดายเลย

พงศกรเป็นแบบนี้ เขาก็เหมือนกัน

เขาคิดมาตลอด ถ้าหากในปีนั้นเขามีความกล้าสักนิด ในวันนี้ เขากับนวิยาคงจะไม่ใช่แบบนี้แล้ว?

แม้ว่าในมือนวิยาจะกุมชีวิตคนไว้อยู่ ผลสุดท้ายแล้วก็ยังคงได้รับโทษประหาร อย่างน้อย เขากับนวิยานั้นได้รักกัน ได้มีความสัมพันธ์ที่จริงใจต่อกัน ไม่ใช่เจ็บปวดกันทั้งสองฝ่าย

นี่อาจจะเป็นเวรกรรมมั้ง!

พิชิตเงยหน้ามองเพดาน บนใบหน้าตุ๊กตาที่น่ารัก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงไม่มีรอยยิ้มน่ารักๆที่ทำให้คนดูอบอุ่นใจได้ในพริบตาแล้ว มีเพียงแต่ความเจ็บปวดและทรมาน

อีกฝั่ง นัทธีกลับขึ้นรถได้ไม่นาน มารุตก็พาเชอรีนมา

“ท่านประธาน ให้เชอรีนขึ้นรถได้มั้ย ผู้จัดการของเธอมีงานมาไม่ได้ ผู้ช่วยที่มารับเธอก็รถติดอยู่กลางถนน เกรงว่าอีกนานกว่าจะถึง ดังนั้นผมอยากจะส่งเธอกลับก่อน” มารุตมองชายที่นั่งอยู่ด้านหลังพลางถาม

เชอรีนก็ทำท่าขอร้อง “ประธานนัทธี ช่วยฉันหน่อยนะ คุณวางใจได้ ฉันจะไม่ให้มารุตทำให้งานต่อไปของคุณล่าช้า มารุตบอกว่า ไปส่งคุณก่อน จากนั้นค่อยไปส่งฉันกลับ”

“ขึ้นมา” นัทธีอืมเบาๆ ตกลงคำขอของพวกเขา

มารุตกับเชอรีนมองตากันแล้วยิ้ม และรีบขอบคุณนัทธี

นัทธีหลับตา ไม่ได้พูดอะไร

มารุตรีบเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับแทนเชอรีน และพยุงเธอขึ้นรถ

หลังจากเธอคาดเข็มขัดเรียบร้อย ก็รีบกลับไปที่นั่งคนขับ และสตาร์ทรถ

อาจเป็นเพราะนัทธีอยู่บนรถ คู่รักขมขื่นที่นานๆจะเจอกันทีคู่นี้ ที่จริงมีเรื่องจะพูดมากมาย แต่ตอนนี้พูดไม่ออกสักคำ ทำได้แค่มองตากันเป็นครั้งคราว บอกรักกันอยู่ในใจ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ก็ถึงที่ที่นัทธีอยากไป

เขาลงจากรถไปเอง และดูเวลา จากนั้นก็พูดกับมารุตที่อยู่บนรถ:“นายไปส่งเธอกลับก่อน หลังจากนี้อีกสองชั่วโมงค่อยมารับฉัน”

ได้ยินแบบนั้น มารุตกับเชอรีนก็ดีใจจนยิ้ม

“ขอบคุณครับท่านประธาน” มารุตรู้สึกขอบคุณ

ฐานะที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัว ตามเหตุผลแล้ว เขาจะอยู่ห่างจากท่านประธานเป็นเวลานานไม่ได้ เพราะว่ามีเรื่องจะสั่งให้เขาทำเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ตอนนี้ท่านประธานไม่เพียงแต่ยอมให้เขาส่งแฟนตัวเองกลับบ้าน แถมยังบอกให้อีกสองชั่วโมงค่อยกลับมา

ความหมายมันชัดเจนมากๆ ท่านประธานจงใจให้เวลาเขาสองชั่วโมง อยู่เป็นเพื่อนแฟนของตน

เชอรีนก็เข้าใจจุดประสงค์ของเขา จึงยิ้มอย่างสดใสสุดๆ แถมพูด:“ประธานนัทธีคุณวางใจได้ ฉันจะต้องพูดเรื่องดีๆกับวารุณีแน่นอน ในวารุณีให้รางวัลคุณ คุณรู้ใช่มั้ย”

หล่อนกะพริบตา และยิ้มอย่างโรคจิตสุดๆ

นัทธีเลิกคิ้ว “เธอ……”

“ขอโทษครับท่านประธาน เธอพูดไปเรื่อย พูดไปเรื่อย คุณอย่าใส่ใจเลยครับ” มารุตปวดหัวกุมขมับ จากนั้นก็รีบดันหัวของเชอรีนกลับเข้าไปในกระจกหน้าต่างรถ และยิ้มแห้งๆ

ริมฝีปากบางของนัทธีกระแอม “ไม่ เธอพูดได้ดีมาก ฉันชอบ งั้นก็ฝากเธอด้วยนะ”

เชอรีนตาเป็นประกาย จากนั้นก็ทุบหน้าอกตัวเอง “วางใจประธานนัทธี ไว้ใจฉันได้เลย”

“อืม” นัทธีพยักหน้า จากนั้นก็พูด:“เอาล่ะ พวกนายไปเถอะ ฉันเข้าไปก่อนนะ”

พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่ของโรงแรม

มารุตมองดูผู้หญิงที่หัวเราะอยู่ตรงที่นั่งคนขับ และพูดอย่างเอือมเล็กน้อย:“เชอรีน หลังจากนี้เธออย่าพูดมั่วซั่วนะ โดยเฉพาะคำพูดแบบเมื่อกี้”