ตอนที่ 813 จบสิ้น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 813 จบสิ้น

หยางอู่เช่อมองดูเฉาเหรินอี้อยู่บนหลังม้าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ เฉาเหรินอี้ต้องการใช้เมืองต้าหมิงมาเป็นข้อต่อรองกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างที่นางบอกไว้จริงๆ

ทว่า องค์หญิงเจิ้นกั๋วสั่งไว้แล้วว่าเฉาเหรินอี้เป็นคนยโส ให้ปล่อยเขาไว้สักพักหนึ่ง เมื่อยึดเมืองต้าหมิงได้แล้วค่อยพบเขาก็ยังไม่สาย

หยางอู่เช่อกล่าว “องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงมีรับสั่งให้แม่ทัพจ้าวพากองทัพบุกไปยังเมืองต้าหมิงแล้ว ตอนนี้ไม่มีทหารคุ้มกันเมืองต้าหมิง แม่ทัพจ้าวคงยึดเมืองได้ในไม่ช้า”

เฉาเหรินอี้เบิกตาโพลง เขาตะลึงกับข่าวที่ได้ยินจนเสียสติไปชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยถามเสียงดัง “จ้าวเซิ่งพาทหารไปกี่นาย”

“ไม่ถึงหกหมื่นนาย แม่ทัพเฉาไม่ต้องเป็นห่วง องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงมีรับสั่งแล้วว่าไม่ให้ทหารทำร้ายชาวบ้านเมื่อเข้าไปในเมืองต้าหมิงได้” หยางอู่เช่อกำหมัดกล่าวกับเฉาเหรินอี้ “องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงมีเรื่องอื่นให้ข้าจัดการ ไว้ค่อยสนทนากันใหม่”

เฉาเหรินอี้โมโหจนแทบกระอักเลือด สนทนาอันใดกัน! สนทนาเรื่องที่เขายอมจำนนแล้วถูกจับเป็นได้อย่างนั้นหรือ

ทหารต้าเหลียงที่ถูกปลดอาวุธต่างเดินตามกองทัพต้าจิ้นไปยังที่คุมขัง

เฉาเหรินอี้เคยรู้จักกับหยางอู่เช่อมาก่อน ทหารต้าจิ้นจึงค่อนข้างดูแลเขาเป็นพิเศษ ส่งหมอทหารไปทำแผลให้เขา

ข่าวจากเมืองต้าหมิงส่งกลับมายังค่ายทหารก่อนฟ้าสว่าง จ้าวเซิ่งและจ้าวหร่านยึดเมืองต้าหมิงได้แล้ว พวกเขาเชิญองค์หญิงเจิ้นกั๋วเสด็จไปยังเมืองต้าหมิง

วันที่หนึ่ง เดือนหนึ่ง รัชศกเซวียนเจียปีที่สิบแปด กองทัพต้าจิ้นยึดครองเมืองต้าหมิงได้ องค์หญิงเจิ้นกั๋วนำทัพเข้าไปในเมือง

เมื่อจ้าวเซิ่งเข้าไปในเมืองต้าหมิง ทางการของที่นั่นรีบย้ายข้าวของของตัวเองออกจากจวนที่ว่าการอย่างว่าง่ายเพื่อยกจวนที่ว่าการให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วพักอาศัยแทน

จ้าวเซิ่งสั่งให้คนสำรวจความปลอดภัยในจวนให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเชิญไป๋ชิงเหยียนเข้าไปพัก

หมอหงและบรรดาหมอทหารเข้ามาในเมืองพร้อมกับกองทัพใหญ่ด้วยเช่นกัน พวกเขาแยกไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดโรคระบาดที่ค่ายรักษาตัวก่อน

บรรดาทหารเหน็ดเหนื่อยจากสงครามจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง ทว่า เมื่อยึดเมืองต้าหมิงได้ภายในคืนเดียว บรรดาทหารต่างรู้สึกตื่นเต้นและเลือดร้อนอย่างควบคุมไม่อยู่ โดยเฉพาะตอนที่เข้ามาในเมืองแล้วชาวบ้านต่างพากันออกมาต้อนรับ คุกเข่าขอร้องให้กองทัพต้าจิ้นช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดโรคระบาด บรรดาทหารข่มความอ่อนล้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ติดเชื้อตามวิธีการช่วยเหลือที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วเคยสอน จนเมื่อหมอหงและหมอทหารมารับช่วงต่อ พวกเขาจึงจากไป

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อเข้ามาในเมือง หญิงสาวจึงออกสำรวจค่ายตามความเคยชิน เซียวหรงเหยี่ยนไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้ไป๋ชิงเหยียนไปนอนพัก ชายหนุ่มเดินตามไป๋ชิงเหยียนไปสำรวจกระโจมที่พักของทหารที่ได้รับบาดเจ็บทีละกระโจม

ทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้าไปในค่ายรักษาตัว หมอทหารกำลังทำแผลให้พวกเขาอยู่ ทหารบางคนเห็นไป๋ชิงเหยียนที่พาพวกเขารบชนะในสงครามเมื่อคืนเดินเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพหญิงสาว

ไป๋ชิงเหยียนโบกมือให้เขานั่งลงทำแผลตามเดิม ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนาง

ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทหารของต้าเหลียง ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่เคยได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนรบไม่เคยแพ้ ต่อมาเมื่อเข้าร่วมกับไป๋ชิงเหยียน พวกเขายึดเมืองเจี้ยนเย่และหย่งอันได้อย่างราบรื่น พวกเขาจึงไม่ได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของไป๋ชิงเหยียน

ครั้งนี้ไป๋ชิงเหยียนเดาแผนการบุกโจมตียามวิกาลของเฉาเหรินอี้ได้ล่วงหน้า อีกทั้งวางแผนให้พวกเขาเตรียมพร้อมรับมือ สั่งให้จ้าวเซิ่งแยกบุกไปยึดเมืองต้าหมิง ในสายตาของบรรดาทหารเหล่านี้ไป๋ชิงเหยียนเป็นเทพแห่งสงครามที่ควบคุมสถานการณ์รบได้อย่างยอดเยี่ยม การติดตามแม่ทัพเช่นนี้ออกรบ พวกเขารู้สึกมีขวัญกำลังใจมาก

ทหารที่ถูกฟันที่ใบหูได้รับการทำแผลเรียบร้อย เขานั่งเอนกายเล่าประสบการณ์ของตัวเองตอนรอดตายจากสนามรบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งให้ทหารใหม่ที่ทำแผลเสร็จแล้วฟัง เขาไม่รู้ตัวสักนิดว่าไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาด้านในแล้ว ยังคงกล่าวอย่างโอ้อวด

“ข้าอั่นเหล่าฮั่นทำสิ่งใดเป็นไม่ ทว่า เรื่องกินและเรื่องหลบหนีคือที่หนึ่ง การหลบของข้าได้มาจากประสบการณ์ มิเช่นนั้นหากหลบไปในอ้อมกอดของศัตรูข้าคงถูกฟันคอขาดไปแล้ว! เท่ากับยื่นคอไปให้ศัตรูฟันเปล่าๆ”

เมื่อทหารเก่าเห็นบรรดาทหารใหม่ยื่นคอฟังประสบการณ์ของเขาอย่างตั้งใจ เขาจึงแสร้งทำเป็นยื้อเวลา ถอดรองเท้าที่ด้านในเต็มไปด้วยทรายออกมาเคาะบนพื้นแล้วใส่เข้าไปตามเดิม จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ปกติข้าไม่เล่าวิธีการเอาตัวรอดดีๆ เช่นนี้ให้ผู้อื่นฟังหรอกนะ ข้าถูกชะตากับพวกเจ้าจึงจะเล่าให้ฟัง วิธีการนี้ก็คือตอนที่กองทัพสองหมื่นนายเริ่มทำสงครามกัน ผู้อื่นคิดแต่จะบุกไปด้านหน้าอย่างเลือดร้อน ทว่า ข้าไม่ทำเช่นนั้น ข้าวิ่งไปหลบตามมุมต่างๆ การทำเช่นนี้จะหลุดพ้นจากสายตาของหน่วยสอดส่องและป้องกันชีวิตของตัวเองได้ พวกเจ้าจงจำไว้ให้ดี ทหารฝ่ายศัตรูที่ดุดันที่สุดมักจะบุกเป็นด่านหน้า ผู้ที่วิ่งไปหลบมุมล้วนเป็นทหารที่เสียดายชีวิตเช่นเดียวกับเรา มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพุ่งตัวเข้าใส่ดาบ ไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่กลัวตายดังเช่นองค์หญิงเจิ้นกั๋ว”

“อีกอย่างเดิมทีพวกเราก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาของแคว้นต้าเหลียง พวกเราจำต้องเกณฑ์ทหารเมื่อถึงเวลาเท่านั้น บัดนี้พวกเราต้องช่วยต้าจิ้นทำสงคราม พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงถึงขนาดนั้น ข้าตั้งใจว่าจะรอรับเงินชดเชยใบหูที่ขาดวิ่นไปครั้งนี้ จากนั้นหาโอกาสหนีออกจากกองทัพ มิเช่นนั้นครั้งหน้าอาจไม่สูญเสียเพียงใบหู อาจเสียชีวิตด้วยก็ได้!” ทหารเก่าแก่กล่าวต่อยิ้มๆ “พวกเราเป็นทหารต้าเหลียงเหมือนกันอีกทั้งบาดเจ็บเหมือนกัน ข้าถูกชะตากับพวกเจ้าจึงเล่าวิธีเอาตัวรอดในสนามรบให้พวกเจ้าฟัง ต่อไปเมื่ออยู่ในสงครามพวกเจ้าต้องฉลาดให้มากกว่านี้ อย่าเสียแรงที่ข้าอุตส่าห์บอกวิธีดีๆ ให้พวกเจ้าฟังเชียว”

บรรดาทหารใหม่พากันพยักหน้า พวกเขากำลังเตรียมถามวิธีหนีออกจากกองทัพจากทหารเก่าแก่ก็มองเห็นองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเสียก่อน พวกเขาผุดลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!”

ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ทว่า สตรีในชุดเกราะสีเงินคลุมทับด้วยผ้าคลุมกันลมสีแดงนอกจากองค์หญิงเจิ้นกั๋วแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีก

ทหารเก่าแก่ผู้นั้นคิดว่าทหารใหม่เหล่านี้กำลังหยอกเขาเล่น เขาจึงหันไปมองยิ้มๆ เมื่อเห็นหน้าขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงทันที ขาสั่นด้วยความตกใจ กลัวว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะได้ยินตอนที่เขากล่าวว่าจะหนีทหาร หากเป็นเช่นนั้นเขาได้จบเห่แน่ เขารีบเกาะกำแพงลุกขึ้นยืน ทว่า ถูกไป๋ชิงเหยียนกดบ่าให้นั่งลงตามเดิม

เซียวหรงเหยี่ยนยืนเอามือไขว้หลังอยู่ด้านหลังไป๋ชิงเหยียน เขากวาดสายตามองไปทางบรรดาทหารใหม่ที่ถูกทหารเก่าแก่ผู้นั้นยุยงจนเริ่มมีความคิดอยากหนีทหารเขียนไว้บนใบหน้าอย่างชัดเจน จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่ร่างของไป๋ชิงเหยียน

ความจริงแล้วตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนควรเชือดไก่ให้ลิงดู สังหารทหารที่มีความคิดอยากหนีทหารเหล่านี้ ไม่ให้พวกเขาเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นอีก

ทว่า เซียวหรงเหยี่ยนมองออกว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้โมโห ทว่า กลับยกยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย เขาอยากรอดูว่าไป๋ชิงเหยียนจะมีวิธีจัดการที่ดีกว่านี้หรือไม่

“องค์…องค์หญิงเจิ้นกั๋ว” ทหารเก่าแก่ผู้นั้นรีบคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้น

“กระ…กระหม่อมกล่าววาจาไร้สาระ องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้โปรดระงับโทสะด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับทหารใหม่ยิ้มๆ “ประคองเขาลุกขึ้นมา”

ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนยิ้มแย้ม แม้จะอยู่ในชุดเกราะที่เปื้อนไปด้วยเลือด ทว่า หญิงสาวไม่มีไอสังหารที่รุนแรงเหมือนเมื่อคืนแม้แต่น้อย นางดูเป็นมิตรจนน่าประหลาดใจ

ทหารใหม่ที่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยรีบประคองร่างของทหารเก่าแก่ที่ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงขึ้นมา จากนั้นยืนอยู่ด้านข้าง หากไม่ได้ทหารใหม่สองนายคอยช่วยประคองร่างของทหารเก่าที่หูขวาขาดไปข้างหนึ่งเอาไว้ ทหารเก่าผู้นั้นคงทรุดไปกองกับพื้นอีกครั้งแน่

“กลัวตายคือเรื่องปกติ การคิดเอาตัวรอดในสนามรบ ไม่คิดถืออาวุธไปฆ่าฟันกับศัตรูไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ ด้วยเสียงอ่อนโยนและท่าทีสบายๆ ทำให้บรรดาทหารรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย