ตอนที่ 221-2 ตระกูลสวินพ่ายแพ้ ประลองฝีมือ
เฉียวเวยควบคุมน้ำหนักที่ลงไปได้ดียิ่งนัก ไม่มีทางทำให้สวินชิงเหยาบาดเจ็บได้ แต่สวินชิงเหยาเติบโตมาจนถึงป่านนี้ ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่เคยทำนางเจ็บแม้แต่ปลายก้อย ลึกๆ แล้วนางรู้สึกว่าตนใกล้จะถูกสตรีผู้หยาบคายผู้นี้ฆ่าตายเต็มที ด้วยอารามตกใจจึงยอมสารภาพออกมาทั้งหมด “ข้าไม่รู้ชื่อของเขาจริงๆ เขามาหาข้าสองครั้ง ครั้งหนึ่งตอนกลางคืน อีกครั้งหนึ่งตอนเช้า ไม่เคยบอกว่าตัวเขาเป็นใคร! สำเนียงเขาไม่ใช่คนเมืองหลวง ตัวเขาสูงมาก ใส่หน้ากากทองปิดไว้ครึ่งหน้า… เขาบอกข้าว่าสามารถทำให้ความปรารถนาข้าเป็นจริงได้หนึ่งข้อ เพียงแค่หลังจากเขาช่วยข้าแล้ว ข้าต้องตอบแทนเขาด้วย!”
“ตอบแทนอย่างไร” เฉียวเวยถาม
สวินชิงเหยาน้ำตากลบตา “เขาไม่ได้บอก”
เฉียวเวยบดฝ่าเท้าลงไปอีก
สวินชิงเหยาร้องเสียงหลง “กรี๊ด… ข้าไม่ได้โกหก เขาไม่ได้บอกจริงๆ! เมื่อวานตอนเช้าเขาเอาแมลงกู่ให้ข้า พอบอกข้าว่าใช้อย่างไรเสร็จก็กลับไป…”
เฉียวเวย “เขาบอกให้เจ้าใช้มันกับแม่ทัพน้อยมู่และพ่อสามีของข้าหรือ”
สวินชิงเหยาตอบว่า “ไม่ใช่ จะใช้กับข้าและแม่ทัพน้อยมู่…”
เฉียวเวยยิ้มประชด “หึ คนเขาช่วยเจ้าแต่เจ้ากลับหันมาเล่นงานเขาเนี่ยนะ ใช้ได้!”
สวินชิงเหยาไม่กล้าโต้แย้ง เพียงบอกเสียงเบาว่า “นี่เป็นเรื่องที่เขาจะช่วยให้ความปรารถนาข้าเป็นจริง ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดแมลงตัวเมียตัวนั้นถึงไม่กัดข้า แต่กลับไปกัดนายท่านจี…” นางยังสงสัยว่าตัวเองถูกบุรุษผู้นั้นหลอกเลย…
เฉียวเวยเองก็เริ่มคิดไปในทางนั้นเช่นกัน แต่เมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเป็นไปได้ บุรุษในตระกูลจีมีตั้งมากเพียงนั้น อีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าสวินชิงเหยาจะพลาดเอาแมลงกู่ตัวนั้นไปไว้บนตัวจีซั่งชิงได้
ดูท่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคืออยากให้สวินชิงเหยากับแม่ทัพน้อยมู่ได้ครองคู่กันจริงๆ เพียงแต่แมลงกู่ตัวนั้นไม่รู้เกิดผิดเพี้ยนอะไรเข้า ถึงได้ไปกัดเอาจีซั่งชิงแทนได้
เฉียวเวยหน้าบึ้งลง อีตานั้นมีปัญหาทางสมองหรือไร กับแค่เรื่องแมลงกู่นี่ยังผิดพลาดได้!
เพียงแต่เป้าหมายของเขาคือเพื่อทำข้อตกลงกับสวินชิงเหยา ระหว่างนี้ไม่มีการปิดบังใดๆ ขอเพียงเขาคอยสังเกตความเป็นไปภายในบ้านตระกูลจี ก็จะรู้ว่าวันนี้แม่ทัพน้อยมู่มาที่นี่ เช่นนั้นหากเป็นไปตามคาด เขาก็น่าจะมาที่นี่เพื่อเรียกร้องสิ่งที่เขาต้องการตอบแทนในเร็ววัน
เช่นนี้แล้วเหตุใดตนจะไม่อยู่เฝ้ากระต่ายเล่า!
“ปี้เอ๋อร์” เฉียวเวยเรียกหา
ปี้เอ๋อร์ก้าวเข้ามา “ฮูหยิน”
เฉียวเวยชักเท้าตนกลับ ปรายตามองสวินชิงเหยาที่ท่าทางคล้ายเพิ่งรอดจากความตาย “พาตัวนางเข้าไป ให้นางบอกเรื่องที่เพิ่งพูดกับข้าเมื่อกี้กับเหล่าฮูหยิน อย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด หากขาดไปแม้เพียงคำเดียวเจ้าก็จำไว้ แล้วข้าจะตามไปเฉือนเนื้อนางออกมาเอง”
สวินชิงเหยาตัวสั่น นี่นางเป็นปีศาจหรือไรนี่ เหตุใดถึงได้โหดร้ายเช่นนี้…
ปี้เอ๋อร์กระหยิ่มยิ้มย่อง “ฮูหยินวางใจเถิด จะเล่นงานคนไร้ค่าเช่นนี้ไม่ต้องให้ถึงมือฮูหยินหอรกเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการให้นางร้องหาบิดามารดานางเอง!”
สวินชิงเหยาหน้าถอดสี แม้แต่สาวใช้ก็ยังน่ากลัวเพียงนี้…
ปี้เอ๋อร์จับตัวสวินชิงเหยาขึ้นมา “ไม่ต้องมาทำท่าน่าสงสาร! ทำอย่างกับใครรังแกเจ้ากระนั้นแหละ! เข้าไปเดี๋ยวนี้!”
สวินชิงเหยาถูกปี้เอ๋อร์ผลักเป๋ไปเป๋มากว่าจะเข้าไปในเรือนลั่วเหมย
ที่รั้งตัวพวกเจินซื่อสามแม่ลูกไว้เดิมทีเป็นความตั้งใจของจีซั่งชิง จีซั่งชิงเป็นคนใจอ่อน ถึงอย่างไรก็ยังมีความรักความผูกพันกับสวินหลันอยู่หลายส่วน สวินหลันยังมีบุตรให้เขา ด้วยความรักที่มีต่อบุตรชายอย่างไรก็ต้องดูแลคนตระกูลสวินอยู่บ้าง แต่ครานี้สวินชิงเหยาทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าคนในบ้านตั้งมากมาย เขาเดือดดาลถึงเพียงนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่ช่วยออกหน้าให้คนตระกูลนี้อีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉียวเวยก็ยิ้มออกมาอย่างไม่เห็นใจ วันนี้จีซั่งชิงช่างเสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ…
“อาต๋าเอ่อร์”
ภายในตรอก บนรถม้าคันหนึ่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตาสักนิด บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีดำทะมึนตลอดร่างหันไปมองชายสูงวัยที่หลับตาพักผ่อนอยู่ด้านข้าง “เจ้าว่านางทำสำเร็จแล้วหรือยัง”
อาต๋าเอ่อร์ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “น่าจะยัง”
บุรุษหนุ่มถามอย่างใสซื่อ “เพราะเหตุใด เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของแม่ทัพน้อยมู่แล่นเข้าไปแล้ว นางน่าจะได้พูดคุยกับแม่ทัพน้อยมู่แล้ว”
เพราะท่านเก็บแมลงมาผิดอย่างไรเล่า อาต๋าเอ่อร์เอ่ยอย่างสงบนิ่งเต็มที่ว่า “สตรีจงหยวนยากนักที่จะได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับบุรุษ”
บุรุษหนุ่มลูบคางที่ประณีตบรรจงของตน “แต่ข้าก็ยังพูดคุยกับนางได้เลยไม่ใช่หรือ ข้าไม่ใช่บุรุษหรือไร”
อาต๋าเอ่อร์ส่งสายตาให้อีกฝ่ายทำนองว่า เจ้าสำนักเหตุใดสติปัญญาท่านถึงได้ทำงานขึ้นมาแล้วเล่า
บุรุษหนุ่มมองเมินสายตาดูแคลนที่อาต๋าเอ่อร์ส่งมาให้โดยไม่รู้ตัว เขาหรี่ตาคู่งามของตนลง “ข้าจะไปดูหน่อย”
…
เฉียวเวยเข้าไปในเรือนกุ้ยเซียง บ่าวในเรือนกุ้ยเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงมาที่นี่ แต่ก็ยังมีท่าทีเคารพนบนอบ ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เสี่ยวชุ่ยเป็นสาวใช้ที่หลี่ซื่อส่งให้มารับใช้ที่เรือนกุ้ยเซียง นางก้าวเข้าไปทำความเคารพเฉียวเวย “ฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยพยักหน้ารับ “คุณหนูสวินพักอยู่ห้องใด”
“ห้องนี้เจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยชี้ไปยังห้องหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออก
เฉียวเวยเดินไปเปิดประตูห้อง
ทุกคนหันมองหน้ากันไม่รู้ว่านางไปทำอะไรที่ห้องของคุณหนูสวิน
เฉียวเวยกวาดตามองทุกคนทีหนึ่ง “ข้ามีธุระนิดหน่อย พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ถ้าไม่มีคำสั่งข้าห้ามใครเข้ามา”
ทุกคนรับคำ “เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นบ่าว…” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยขึ้น
เฉียวเวย “เจ้าก็ถอยไปด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“ช้าก่อน”
เสี่ยชุ่ยพลันชะงักฝีเท้า “ฮูหยินน้อย”
“เจ้าพักอยู่กับคุณหนูสวินทุกคืนเลยหรือไม่” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวชุ่ยตอบ “เจ้าค่ะ บ่าวนอนอยู่ในห้องเล็กด้านในนั้น ตอนกลางคืนหากคุณหนูสวินต้องการให้ช่วยอะไรก็จะเรียกบ่าวเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยหันมองนางอย่างใช้ความคิด “เช่นนั้นตอนกลางคืนหรือตอนเช้าได้ยินเสียงอะไรที่ฟังดูผิดปกติหรือไม่”
เสี่ยวชุ่ยนึกย้อนโดยละเอียดแล้วส่ายหน้า
นี่ยังบอกไม่ได้ว่าสวินชิงเหยากำลังโกหก หากอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือ สะกัดจุดหลับไหลหรือใช้กลิ่นมึนเมาก็ไม่ยากที่จะผ่านด่านเสี่ยวชุ่ยไปได้
เฉียวเวยพยักหน้าแล้วให้เสี่ยวชุ่ยถอยออกไป
เฉียวเวยนั่งอยู่ในห้อง เริ่มต้นการรอคอยที่ยาวนานและน่าเบื่อ แต่ที่โชคดีก็คืออีกฝ่ายไม่ต้องให้นางรออยู่นานนัก แค่ชั่วเวลาจิบชายังไม่หมดหนึ่งถ้วยดี ตรงระเบียงทางเดินก็มีเสียงฝีเท้าประหลาดดังขึ้น
ตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว ขยับนั่งบนเตียงแล้วดึงม่านลง
บุรุษหนุ่มเยื้องย่างเข้ามาอย่างสง่างาม แสงอาทิตย์ส่องกระทบเสื้อตัวยาวสีดำมืดของเขาจนคล้ายเกิดเป็นสีดำสนิทดูงามตา เขายกริมฝีปากที่แดงระเรื่อยิ่งกว่าสตรีขึ้น ปลายนิ้วเรียวผลักเปิดประตูห้อง
สายตาของเฉียวเวยมองผ่านม่านเตียงออกไปเห็นเงาสูงใหญ่ในชุดดำอยู่ลางๆ ความสูงของเขาดูแล้วไม่ต่างกับหมิงซิวมากนัก แต่รัศมีที่แผ่ออกมารอบตัวดูต่างกันลิบลับ หมิงซิวคล้ายดอกบัวที่ใสสะอาดและสง่างาม ส่วนเขาเป็นดอกอิงซู่ที่เย้ายวนผู้คน ลมหนาวพัดผ่านตัวเขาเข้ามาพาเอากลิ่นหอมจากตัวเขาให้ลอดผ่านผ้าม่านเตียงเข้ามากระทบปลายจมูกของเฉียวเวย
เฉียวเวยรู้จักกลิ่นหอมนับไม่ถ้วน แต่กลิ่นนี้นางไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นประหลาดหรือเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขา พอดมนานๆ เข้าร่างกายก็เริ่มกระสับกระส่าย
กลิ่นมหาเสน่ห์!
ช่างประหลาดนัก บนตัวบุรุษผู้หนึ่งถึงขั้นมีกลิ่นนี้เชียวหรือ เขามาเด็ดดอกไม้หรืออย่างไร
บุรุษหนุ่มหยุดยืนห่างจากเตียงนานไปหนึ่งฉื่อ ริมฝีปากแดงยกขึ้น เอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “เป็นอย่างไร แมลงกู่ของข้าใช้การได้ดีหรือไม่”
น้ำเสียงเช่นนี้ช่างสะท้านไปถึงทรวงนัก
เฉียวเวยเกือบลืมว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดความตื่นเต้นที่ระอุขึ้นมาเอาไว้แล้วตอบอื้อเรียบๆ ทีหนึ่ง
บุรุษหนุ่มดีดนิ้ว ยาสีขาวเม็ดหนึ่งถูกดีดเข้ามาในผ้าม่านแล้วตกลงตรงข้างมือเฉียวเวย “กินมันซะ มันช่วยข่มฤทธิ์ยาไว้ได้ชั่วคราว”
เฉียวเวยทำท่ากินยาลงไปแล้วลอบเอายาเม็ดนั้นแอบไว้ในแขนเสื้อ
บุรุษหนุ่มยิ้มอย่างมาดร้าย ริมฝีปากแดงเผยอเล็กน้อย “เจ้าได้ตามที่ปรารถนาแล้ว เวลานี้ถึงตาเจ้าช่วยนายเหนืออย่างข้าทำเรื่องเรื่องหนึ่งแล้ว”
นายเหนือ? ที่เป็นคำเรียกแทนตัวเองของใครกัน ขันที?
เฉียวเวยกะพริบตาด้วยความงุนงง “ก่อนที่จะช่วยเจ้า ข้าต้องรู้ก่อนว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”
บุรุษหนุ่มส่งเสียงเหอะอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เฉียวเวยไม่ยอมผ่อนปรน “ท่านลากข้าลงน้ำมาด้วยก็ต้องเกี่ยวกับข้าสิ”
ดวงตาทรงเสน่ห์ประหนึ่งดอกเถาของบุรุษหนุ่มมีแววเย็นชาปรากฏ “เจ้าไม่มีสิทธิ์รับรู้ชื่อของข้า”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เช่นนั้นฐานะท่านเล่า? ข้าขอบังอาจถามท่านว่าท่านใช่ขันทีใหญ่คนใดของต้าเหลียงหรือหนานฉู่หรือไม่”
ขัน ขันทีใหญ่?
หางตาบุรุษหนุ่มกระตุกเล็กน้อย เขาเป็นเจ้าสำนัก! เจ้าสำนัก! เจ้าสำนัก! ไม่ใช่ขันที! แล้วเขาก็ไม่ใช่คนจากสี่แคว้นชั้นต่ำเหล่านี้อย่างต้าเหลียงกับหนานฉู่ด้วย!
“เจ้าแค่รับปากว่าจะทำตามเงื่อนไขของข้าก็พอแล้ว!” บุรุษหนุ่มคำรามเสียงต่ำ
เฉียวเวยสงบนิ่งราวกับคนที่อีกฝ่ายคำรามใส่ไม่ใช่ตนกระนั้น “ท่านไม่บอกว่าท่านเป็นใคร ข้าก็ไม่รับปาก”
บุรุษหนุ่มเริ่มมีความขุ่นเคืองในใจ ริมฝีปากแดงยกขึ้นเป็นองศาเยาะหยัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่หลอกลวงข้าจะมีจุดจบเช่นไร”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เช่นนั้นเจ้าเล่ารู้หรือไม่ว่าคนที่ทำให้กูหน่ายนายไม่พอใจจะมีจุดจบเช่นไร”
บุรุษหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงแหวกผ้าม่านเตียงออก เฉียวเวยกำกริชรออยู่ในมือก่อนแล้ว จึงพุ่งเข้าใส่เขาทันที!
บุรุษหนุ่มมองใบหน้าอีกฝ่ายไม่ทัน เขาเบี่ยงตัวหลบไปทางขวา หลบหลีกจากการถูกโจมตีถึงชีวิตของเฉียวเวย
เฉียวเวยเงื้อกริชขึ้นอีกครั้ง วาดแขนไปทางศีรษะของเขา นางทำอย่างไม่มีปราณีเลยจริงๆ หากเขาปฏิกิริยาช้ากว่านี้แม้เพียงเล็กน้อย คงถูกฟันเอาศีรษะหลุดจากบ่าได้ทันที เขายกเก้าอี้ทุ่มเข้าใส่กริชของเฉียวเวยโดยแรง
กริชของเฉียวเวยผ่าเก้าอี้จนหักเป็นสองส่วน
กริชเล่มนี้เป็นกริชที่แม่ทัพน้อยมู่ให้เถ้าแก่หรงเป็นรางวัล ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดิน ใช้งานได้ดียิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้นเฉียวเวยยังถนัดการต่อสู้ระยะประชิด กริชเล่มนี้จึงแทบจะทำขึ้นเพื่อตัวนางโดยเฉพาะ
ทั้งสองประฝีมือกันอยู่ในห้อง ที่ทำให้เฉียวเวยตกใจก็คือบุรุษผู้นี้ไม่มีกำลังภายในเช่นเดียวกับนาง เขาอาศัยเพียงปฏิกิริยาที่ว่องไวจนน่าตกใจในการหลบหลีกการโจมตีของนาง
พวกบ่าวไพร่ได้ยินเสียงจากในห้องของตน แต่กระนั้นเมื่อไม่มีคำสั่งของเฉียวเวยจึงไม่มีใครกล้าออกมาโดยพลการ
เฉียวเวยพุ่งกระบวนท่าหมายเอาชีวิตเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
บุรุษหนุ่มที่หลบอยู่บนโต๊ะพลันกลิ้งตัวลง ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อน้อยๆ ด้วยความโกรธ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ยังไม่ทันพูดอะไรก็จะฆ่าจะแกงกันแล้ว! ถ้าเก่งจริงออกไปสู้กับข้าข้างนอกสิ!”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “ออกไปให้เจ้าไปเจอกับพรรคพวกแล้วมารุมเล่นงานข้าน่ะหรือ”
เจ้าสำนักตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถูกต้อง ข้าคิดจะทำเช่นนั้น! เจ้าเก่งจริงก็มาสิ!”
เฉียวเวยตัวเซจนเกือบจะล้มลง เด็กซื่อบื้อจากตระกูลใดกันนี่ สติปัญญามีเท่านี้ยังจะออกไปเป็นนักฆ่าอีก เสียเปรียบคนอื่นมากเลยนะ!
เฉียวเวยรุกไล่เขาจนไปอยู่ตรงหน้าต่าง นางใช้กริชปัดหน้ากากทองของเขาออกไป
“อ๊ากๆๆ! เจ้าเปิดหน้ากากข้า!”
เฉียวเวยมองหน้ากากที่อยู่บนพื้น เขาก้มลงไปจะหยิบแต่กลับถูกเฉียวเวยเตะมันเข้าไปอยู่ใต้เตียง
เจ้าสำนักโกรธเกรี้ยวขึ้นมาแล้ว “สตรีอย่างเจ้านี่นะ! ช่างน่าโมโหเกินไปแล้ว! ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
ทำร้ายเขาเขาทนได้ ลอบโจมตีเขาเขาทนได้ แต่ขโมยทองเขา เขายอมไม่ได้!
เฉียวเวยมองหน้าเขา นางเองก็โมโหไม่น้อย หลังจากปัดหน้ากากทองออกไปแล้ว ถัดลงไปยังมีหน้ากากหยกอยู่อีกชั้นหนึ่ง ใบหน้านี้ต้องอัปลักษณ์เพียงใดกัน ถึงขั้นต้องมีกันไว้ถึงสองชั้นเช่นนี้!
เจ้าสำนักดึงขลุ่ยทองที่เสียบอยู่ตรงเอวขึ้นมาจรดตรงริมฝีปากแดง แล้วพ่นลมเป่าเป็นเสียงออกมา
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ต่อสู้ก็ต่อสู้สิ ยังมีหน้าหนีไปเป่าเพลงอีก เจ้าคิดว่ากำลังถ่ายหนังของอาซานอยู่หรือไร!
กริชของเฉียวเวยฟันไปทางเขา!
เจ้าสำนักหลบหลีกแล้วเป่าต่อไป
เฉียวเวยฟันอีก! เขาก็หลบอีก! แล้วเป่าต่อ!
ของในห้องที่ฟันเสียหายได้ล้วนถูกฟันจะเละเทะไปหมด
เจ้าสำนักเหนื่อยกับการหลบหลีกมาก ช่างประหลาดนัก เพลงถอดวิญญาณเป่ามากกว่าครึ่งแล้ว เหตุใดนางยังไม่เป็นอะไรสักนิดอีก ไหนบอกว่าใช้ฆ่าคนได้อย่างไร! หรือว่าเขาเป่าผิดเพลง!
ด้านนอกกำแพง ชายชุดดำลูกน้องอาต๋าเอ่อร์เอามือปิดหูล้มกันระเนระนาด น้ำลายฟูมปากสลบกันไม่รู้ตื่น…