ตอนที่ 222 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ขอร้อง

บนถนนใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ บุรุษในอาภรณ์สีดำเดินกลืนหายไปกับฝูงชนด้วยสีหน้าเย็นจัด ทันใดนั้นหูเขาทั้งสองข้างพลันขยับ เขาหยุดฝีเท้าก่อนจะออกเดินไปทางตะวันออกเฉียงใต้

คล้ายว่าต้องการยืนยันการคาดเดาของตนเอง เขาเดินเข้าไปในตรอกหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบเชียบ

สมาธิเขาจดจ่อ ประสาทสัมผัสทั้งห้าคอยระแวดระวังในระดับสูงสุด

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น รูม่านตาเขาหดเล็กลง เป็นเพลงถอดวิญญาณจริงๆ ด้วย น่าประหลาด สถานที่เช่นนี้เหตุใดถึงมีคนเป่าเพลงถอดวิญญาณได้ หรือว่าพวกเขาก็รู้แล้วว่ามีเด็กคนนั้นถึงได้ส่งคนมาตามหานาง

ไม่ได้การ เขาตามหามานานเพียงนี้ ไม่มีเหตุผลที่หาตัวพบแล้วจะให้คนพวกนั้นมาฉวยประโยชน์เอาไปได้!

เพลงถอดวิญญาณมีผลต่อเขาประมาณหนึ่งเช่นกัน ยังดีที่วรยุทธ์เขาล้ำลึก สามารถต้านทานเอาไว้ได้

บุรุษในชุดดำรีบสาวเท้าไปทางต้นเสียง

แต่วันนี้ตอนออกมาเขาคงลืมเปิดปฏิทินดูวันดีมาก่อน เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็บังเอิญเจอกับจีหมิงซิวที่กลับมาจากราชสำนัก สารถีของจีหมิงซิวกคือเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าคนผู้นี้เคยประมือกับเขามาก่อน คราก่อนเขาจับตัวคนผู้นี้ไว้ไม่ได้ ถูกนายน้อยล้อเลียนอยู่พักหนึ่ง วันนี้เขาต้องแสดงฝีมือให้อีกฝ่ายเห็นให้ได้!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหยุดรถม้าแล้วทะยานตัวออกไป กลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนปลิวออกมาจากแขนเสื้อ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงมาดูคล้ายกลอนคล้ายภาพวาด

บุรุษในชุดดำเงยหน้ามองกลีบดอกไม้ที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา มุมปากเขายกขึ้นเรียบๆ “ลูกไม้กระจอก”

กลีบดอกไม้ที่โรยเอื่อยคล้ายหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ แค่กระนั้นแค่ชั่วเวลาหนึ่งหายใจ กลีบดอกไม้ทั้งหมดก็ถูกปัดให้กระจายออก เข็มเล่มเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานเข้าหาบุรุษในชุดดำรวดเร็วราวกับสายฟ้า

บุรุษในชุดดำสะบัดชายเสื้อแล้วเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เก็บเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนให้เข้ามาอยู่ในชุด ตามด้วยสะบัดกลับไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างดุดัน!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะรับอาวุธลับของตนได้อย่างสงบนิ่งเช่นนี้ ซ้ำยังใช้อาวุธลับแหล่านั้นกลับมาเล่นงานตนอีก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวทีเดียวขึ้นไปอยู่บนกำแพงสูง เท้าเหยียบลงบนกำแพงแล้วอาศัยเป็นแรงส่งช่วยให้ตนตีลังกา อาวุธลับทั้งหลายจึงพุ่งปักเข้าในกำแพง แค่ชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาที กำแพงครึ่งซีกทะลายลงกับตา

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขว้างดาวกระจายดอกเหมยห้าอันออกไป แต่ทั้งหมดก็ถูกชายในชุดดำกันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็สวนกลับใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอีกนับไม่ถ้วน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสบถด่า ทะยานตัวขึ้นไปเดินอยู่บนกำแพงเพื่อหลบหลีกดาวกระจายของตน

ชายในชุดดำรวบรวมกำลังภายในหมายจะพุ่งเข้าใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย เห็นเพียงแสงสีเงินลำหนึ่งทะยานออกมาจากในรถม้าโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคิดจะใช้วิธีการเดิมอีกครั้ง แต่แสงสีเงินนั้นกลับทะลุผ่านชุดเฉียดหัวไหล่ของเขาไป

ชุดเขาปริขาด เลือดสดๆ ทะลักออกมา ตรงปากแผลเป็นสีดำขึ้นมาทันตา

ชายในชุดดำรีบสกัดจุดชีพจรของตนแล้วหันไปมองทางที่ลูกธนูถูกยิงมาด้วยสายตาดุดัน สายตาเขาสบเข้ากับดวงตาที่ลึกล้ำราวกับหุบเหวที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ซ้ำยังไร้ซึ่งความรู้สึก ในใจเขาบังเกิดเป็นความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

ตั้งแต่เขารอดชีวิตจากหุบเขาร้อยวิญญาณออกมาได้ เขาไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้อีกเลย แต่นายน้อยตระกูลจีคนหนึ่งที่ไม่อาจใช้กระทั่งวรยุทธ์ กลับทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น ช่างน่าประหลาดเกินไปจริงๆ

จีหมิงซิวมองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขากุมปากแผลไว้ กัดฟันใช้วิชาตัวเบาหนีไปจากตรงนั้น

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหอบหายใจ กระโดดลงบนรถม้าด้วยสภาพสะบักสะบอม

จีหมิงซิวเก็บหน้าไม้พิฆาตเทวากลับมาพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “น่าเสียดาย เสียธนูไปดอกหนึ่ง”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเบ้ปาก ชีวิตของเขายังมีค่าสู้ธนูดอกหนึ่งไม่ได้เลยหรือ

แต่เจ้านั่นก็ช่างน่าโมโหนัก วรยุทธ์เป็นเลิศเพียงนั้น มาจากไหนกันแน่!

เรือนกุ้ยเซียง สถานการณ์เป็นไปอย่างดุเดือด ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกรุกไล่จนต้องหนีกระเจิดกระเจิง แต่ทรงผมของใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงไม่เสียทรง!

ใต้เท้าเจ้าสำนักเป่าเพลงถอดวิญญาณไปสามรอบแล้ว แต่สตรีนางนี้ยังคงไม่เป็นอะไรสักนิด เขาสงสัยอยู่ลึกๆ ว่าตนถูกตาแก่พวกนั้นหลอก เพลงบทนี้ไม่ใช่เพลงถอดวิญญาณอะไรทั้งนั้น บอกว่าเป็นเพลงไก่ชนก็ว่าไปอย่าง ดูจากท่าทางสู้ไม่ถอยของสตรีนางนี้แล้ว ไม่เหมือนแม่ไก่เจ้าอารมณ์ที่พร้อมสู้ยิบตาหรอกหรือ!

หากเฉียวเวยได้รู้ว่าอีกฝ่ายวิจารณ์ตนในใจเช่นไร นางคงได้จับอีกฝ่ายกดลงกับพื้นแล้วฉีกร่างเขาเป็นแปดส่วนแน่นอน!

ใต้เท้าเจ้าสำนักหนีออกไปจากเรือนกุ้ยเซียง กระโดดข้ามกำแพงแล้วหันกลับไปมองสตรีผู้ดุร้ายที่ไล่ตามตนมา “ข้า…ข้าต้องกลับมาแน่!”

หลังจาก “เอ่ยทิ้งท้าย” ไว้แล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักก็วิ่งแจ้นหนีไปทันที!

เสี่ยวชุ่ยวิ่งตามมาด้วยความกลัว “ฮู…ฮูหยินน้อย…อยากให้ไป…เรียกคนมาตามไปหรือไม่เจ้าคะ”

เฉียวเวยโบกมือ “อย่าไล่ตามหมาจนตรอก”

เสี่ยวชุ่ยรับคำด้วยความกลัว “…เจ้าค่ะ”

ตกดึกจีหมิงซิวกลับมาถึงบ้านชิงเหลียน เฉียวเวยเอาหน้ากากทองที่ได้มาจากหน้าของชายในชุดดำออกมาให้เขาดูพร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันให้อีกฝ่ายฟัง “…คนผู้นี้ลักลอบเข้ามาในบ้านตระกูลจี ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไร สวินชิงเหยามีใจให้แม่ทัพน้อยมู่ จึงตอบรับว่าจะให้เขาช่วยเหลือ เพียงแต่น่าเสียดาย…”

กู่ครองรักไปกัดผิดคน จึงช่วยสวินชิงเหยาไม่สำเร็จ กลับเป็นจีซั่งชิงที่ถูกเล่นงานแทน

เหตุการณ์ในเวลานั้นอันที่จริงน่าขันมากทีเดียว คนที่ไม่ได้เห็นกับตาคงจินตนาการภาพเช่นนั้นไม่ออก เฉียวเวยต้องหยิกตัวเองอยู่หลายทีถึงห้ามไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมาได้

สีหน้าของจีหมิงซิวเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก

เฉียวเวยพอจะเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร เกิดเรื่องเช่นนี้กับบิดาแท้ๆ คงอับอายขายขี้หน้าแย่ วันหน้าเกรงว่าบ่าวทั้งจวนคงได้เอาเรื่องนี้มาพูดคุยกับหลังเวลาจิบน้ำชา

แม่ทัพน้อยมู่อีกคน การที่เกิดเรื่องเช่นนี้กับเขาในบ้านตระกูลจี อย่างไรตระกูลจีก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้ หากแม่ทัพน้อยมู่ไม่ถือสาหาความก็ว่าไปอย่าง แต่หากจะกล่าวโทษขึ้นมา ตระกูลจีคงเสียหายมากทีเดียว

จีหมิงซิวมองหน้ากากทองบนโต๊ะด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าเจอเขาเมื่อไร แล้วเขาหนีไปตอนไหน”

เฉียวเวยใช้ความคิดก่อนจะตอบว่า “เขาเข้ามาที่เรือนกุ้ยเซียงตอนยามเสิ่น แล้วน่าจะออกไปหลังจากผ่านไปสองเค่อเห็นจะได้”

นิ้วของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะหลายครั้ง ช่วงเวลานั้นใกล้เคียงกับช่วงที่พวกเขาประมือกับชายในอาภรณ์ดำผู้นั้นพอดี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงไม่ใช่ชายในชุดดำผู้นั้น แต่จะเป็นลูกน้องหรือพรรคพวกเดียวกับเขาหรือไม่ คงต้องสืบหากันต่อไป

เมื่อคิดอะไรได้ เฉียวเวยจึงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ข้ามีกู่ครองรัก คนผู้นั้นก็มีกู่ครองรักเช่นกัน ท่านว่าเขาจะเป็นคนจากที่เดียวกับท่านแม่ข้าหรือไม่”

จีหมิงซิวจับมือที่เย็นเฉียบของนาง “กู่ครองรักเป็นแมลงกู่ชนิดที่ค่อนข้างพบเห็นได้ยาก โดยทั่วไปจะหาไม่ได้ในจงหยวน แต่มีที่หนานฉู่กับซยงหนีว์ เพียงแต่พวกมันจะอยู่กับจอมเวทย์หรือาจารย์กู่ที่ค่อนข้างเก่งกาจทั้งสิ้น”

เฉียวเวยเม้มปาก อีตานั่นดูไม่เห็นจะเก่งเลยสักนิด แต่เขาเป่าขลุ่ยได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก นางได้ฟังแล้วปรอดโปร่งไปทั้งร่างกายและจิตใจ

สองสามีภรรยาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ไปที่เรือนลั่วเหมย

แมลงกู่ของจีซั่งชิงกับแม่ทัพน้อยมู่ถูกเจ้าไป๋ทั้งสองทำให้ตกใจจนหนีออกมา แมลงน้อยตัวสั่นสะท้าน กอดกันกลมแน่น ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยผู้น่าสงสารที่ตัวสั่นงันงกอยู่ท่ามกลางลมหนาว เจ้าไป๋ทั้งสองตัวถลึงตาใส่พวกมันอย่างดุดัน แมลงทั้งสองไร้ซึ่งกำลังใจจะต่อต้าน จึงกระโดดเข้าเล้าไก่ไปสละชีพ (เป็นอาหาร) เพื่อความรัก (ไก่)

แม่ทัพน้อยมู่ออกจากบ้านตระกูลจีพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะมีปมในใจกับบ้านตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียงแห่งนี้ ชั่วชีวิตนี้ ชั่วชีวิตหน้า ชั่วชีวิตหน้าๆ เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีก!

จีซั่งชิงใช้พลังทั้งชีวิตไปกับการแสดงฉากสลัดรักหักใจจากคนรัก พลังทั้งหมดของเขาถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ร้องไห้จนสองตาบวบฉ่ำ เวลานี้คล้ายมีลูกเหอเถาสองลูกอยู่บนใบหน้า ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าสภาพของตนในเวลานี้ออกไปพบเจอผู้คนไม่ได้เพียงใด

ที่ทรมานยิ่งกว่านั้นคือก้นของเขาที่แสบร้อนไปหมด นั่นได้มาตอนถูกวั่งซูลากถูลู่ถูกังกลับเข้ามาในเรือน

จีซั่งชิงควรจะดีใจที่ตนถูกลากมาในสภาพนั่งกับพื้น หากเขาถูกลากตอนคว่ำหน้า แท่งเหล็กของเขาคงถูกกลึงจนเหลือแค่แท่งเข็ม

แต่ไม่ว่าอย่างไรการที่นายท่านผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งถูกเด็กตัวน้อยลากเข้าเรือนประหนึ่งลากหัวหลัวปัว ภาพเช่นนั้นแค่คิดก็พาให้สะท้อนใจ

จีซั่งชิงมีชีวิตอยู่มากว่าครึ่งชีวิต ไม่เคยมีวันใดที่รู้สึก “อัปยศอดสู” เช่นวันนี้มาก่อน จึงเดือดดาลจนโรคหอบกำเริบขึ้นอีกครั้ง

ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ควรจะอยู่ให้ห่างเขามากที่สุด เพื่อไม่ให้บังเอิญไปแหย่ถูกรังแตนเข้า แต่กระนั้นก็ยังมีคนที่เสนอหน้าเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย

“นายท่านชิ่นจยา! ท่านต้องตัดสินให้พวกเรานะ…ฮือๆ…”

เจินซื่อนั่งแบบอยู่ตรงประตูเรือนถง มือหนึ่งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำมูกน้ำตาเป็นพัลวัน “นายท่านชิ่นจยา…ท่านต้องตัดสินให้พวกเรานะ… ท่านรีบออกมาดูสิว่าเหยาเจี่ยร์ถูกรังแกถึงเพียงไหนแล้ว… เหยาเจี่ยร์เป็นน้าของนาง… นางก็ยังกล้าทำร้ายเหยาเจี่ยร์… นางไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตาฮือ…”

“อุ้ย ใครไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตากัน”

จู่ๆ น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของเฉียวเวยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง เจินซื่อหันไปมอง เห็นคู่สามีภรรยาเดินจูงมือกันออกมาท่ามกลางความมืด สายตาของนางถูกบุรุษข้างกายเฉียวเวยดึงดูดไปโดยพลัน

นี่เป็นครั้งแรกที่เจินซื่อได้พบจีหมิงซิว นางไม่รู้ว่าควรจะบรรยายพรรณนาอย่างไรดี อาภรณ์ขาวผ่องตลอดร่าง รูปร่างสูงใหญ่ ดูประหนึ่งเทพเซียนที่หลุดออกมาจากในภาพวาดก็มิปาน ท่วงท่าต่างๆ ไม่ว่าจะยกมือหรือย่างเท้าล้วนแผ่รัศมีแห่งความสูงส่งออกมาไม่หมดสิ้น ใบหน้าสวมหน้ากากบนบังอยู่ครึ่งหน้า สายตาของเจินซื่อแค่เพียงกวาดมองไปก็ถูกสายตาที่ดุดันและเยือกเย็นมองจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางรีบหันหนีไปมองทางอื่น

ในเมื่อเขามากับเฉียวเวย ก็ไม่ยากที่จะเดาฐานะของเขา

นงได้ยินมานานแล้วว่าอัครเสนาบดีแห่งต้าเหลียงอยู่ใต้คนเพียงหนึ่ง อยู่เหนือคนนับหมื่น วันนี้เมื่อได้พบก็เป็นอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ เสียด้วย ยังไม่ทันพูดอะไร รัศมีที่แผ่ออกมาก็กดดันจนนางไม่อาจหายใจได้

เฉียวเวยเดินเข้าไปตรงหน้านางช้าๆ ระบายยิ้มกว้างขณะเอ่ยว่า “เมื่อครู่ยังคร่ำครวญไปฟ้องไปอยู่เลยไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ฟ้องต่อเล่า”

จริงด้วย เหตุใดถึงไม่ฟ้องต่อแล้วเล่า

นายท่านชิ่นจยาล้มป่วยไปแล้ว ไม่ใช่ว่ายังมีคุณชายใหญ่ท่านนี้อยู่หรือ

เขาโตมาด้วยกันกับหลันเอ๋อร์ จะต้องเห็นแก่ความผูกพันเมื่อในอดีต ช่วยออกหน้าให้น้องสาวของหลันเอ๋อร์เป็นแน่!

เมื่อมีความคิดเช่นนี้แล่นเข้ามาในหัว เจินซื่อก็พลันมีกำลังใจขึ้นมาทันที นางขยับยืนหันไปมองจีหมิงซิว “คุณชายใหญ่ ท่านต้องช่วยตัดสินให้เหยาเอ๋อร์นะ!