บทที่ 665 พี่น้องพบพาน
ช่วงเวลาใกล้เลิกเรียนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงมักเป็นตอนที่สภาพอากาศย่ำแย่ที่สุด ทั้งร้อนทั้งอบอ้าว บัณฑิตทุกคนถึงกับรู้สึกหายใจได้ไม่เต็มอิ่ม
ต่อให้เปิดประตูหน้าต่างก็แล้ว ก็แทบไม่มีลมพัดเข้ามาเลย
อย่างน้อยบัณฑิตที่นี่ส่วนใหญ่มาจากตระกูลมีฐานะ ทุกคนระวังเรื่องสุขอนามัย และแทบไม่มีใครมีกลิ่นตัว
กู้เจียวนั่งอยู่แถวสุดท้าย มีมู่ชิงเฉินนั่งอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาเป็นประตูห้องเรียน
อย่างน้อยที่นั่งของกู้เจียวตรงนี้ยังพอมีที่ระบายอากาศได้บ้าง
โจวถงที่นั่งอยู่ด้านหน้าเริ่มสัปหงก
ที่เขาเป็นแบบนี้นอกจากเพราะอากาศที่อบอ้าวแล้ว ยังเป็นเพราะเมื่อคืนก่อนเขามัวแต่วาดรูปจนนอนดึก
ในตอนนั้นเอง อาจารย์เกาก็กำลังสอนเรื่องทฤษฎีสามเหลี่ยมมุมฉากอยู่ ซึ่งกู้เจียวเคยเรียนเมื่อตอนชาติที่แล้ว
“โจวถง!”
จู่ๆ อาจารย์เกาก็ขานชื่อของเขา
โจวถงรีบสะดุ้งลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำหน้ามึนงง
“ไหนตอบซิว่าข้อนี้ได้คำตอบเท่าไหร่” อาจารย์เกาเอ่ยถามเสียงนิ่ง
โจวถงกลืนน้ำลาย
นี่มันโจทย์อะไรเนี่ย
“แปดสิบ” กู้เจียวทำหน้านิ่งเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
มู่ชิงเฉินทำหน้าสงสัยและหันมาทางกู้เจียว
“แปดสิบขอรับ!” โจวถงตะโกนตอบอาจารย์เกา
อาจารย์เกาเหลือบมองโจวถงอย่างสงสัย ก่อนจะมองไปทางข้างหลังของโจวถง
ด้านหลังโจวถงมีแค่มู่ชิงเฉินกับเซียวลิ่วหลัง อาจารย์เการู้อยู่แล้วว่ามู่ชิงเฉินไม่มีทางบอกคำตอบอย่างแน่นอน ส่วนเซียวลิ่วหลังนั้นไม่เคยตั้งใจฟังที่เขาสอนอยู่แล้ว เวลาทำการบ้านก็มักลอกคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง
“อื้ม” อาจารย์เกาบอกให้โจวถงนั่งลง
โจวถงหายใจด้วยความโล่งอกและยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
หลังเลิกเรียน มู่ชิงเฉินหยิบการบ้านขึ้นมาแล้วชี้ไปที่โจทย์ข้อนึงพร้อมถามกู้เจียว “คำตอบคืออะไร”
“ข้าไม่รู้” กู้เจียวตอบอย่างไม่ลังเล
“แล้วข้อนี้ล่ะ” มู่ชิงเฉินลองเปลี่ยนข้อคำถามดู
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน” กู้เจียวตอบ
มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว “แล้วเหตุใดวันนี้เจ้าถึงตอบโจวถงได้ล่ะ”
สรุปใครทำโจทย์ได้กันแน่
“ข้าตอบมั่วๆ ไปอย่างนั้นแหละ ทำไม่เป็นหรอก” กู้เจียวตอบลอยๆ
สักพัก กู้เสี่ยวซุ่นก็วิ่งเข้ามาหากู้เจียว “ลิ่วหลัง กลับกันเถอะ!”
“อื้อ” กู้เจียวค่อยๆ เก็บของด้วยท่าทีนวยนาดราวกับคนไม่อยากเรียนหนังสือ
มู่ชิงเฉินมองอีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ก่อนจะถามขึ้น “เจ้าสนใจสอบขุนนางหรือไม่”
“ข้าไม่ใช่คนที่นี่สักหน่อย” กู้เจียวตอบ
“ขอแค่เป็นบัณฑิตของที่นี่ก็ถือว่ามีสิทธิ์สอบแล้ว”
แคว้นเยี่ยนถือเป็นแคว้นที่ให้ความสำคัญกับคนที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก อันจะเห็นได้จากการที่พวกเขาเปิดสนามศิลปะการต่อสู้ใต้ดินในแคว้นต่างๆ เพื่อเฟ้นหาคนเก่งๆ
แม้ว่าการสอบขุนนางส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ผู้สมัครที่เป็นคนพื้นที่ แต่ถ้าหากความสามารถโดดเด่นจริงๆ ก็อาจจะได้รับข้อยกเว้น
อีกทั้งมีตัวอย่างให้เห็นตั้งมากมายในการสอบครั้งที่ผ่านๆ มา
หากเกิดสอบได้จริงๆ ทั้งตราเข้าเมืองชั้นในเอย หรือแม้แต่การเป็นพลเมืองของแคว้นเยี่ยนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเล็กไปเลย
“เจ้าไม่อยากอยู่ที่แคว้นเยี่ยนรึ” มู่ชิงเฉินถาม
“คนสอบตั้งพันกว่าคน โอกาสรอดเข้าไปจะมีเท่าไหร่กันเชียว” กู้เจียวถามเขากลับ
…ยาก
การสอบขุนนางของแคว้นเยี่ยนนั้นยากที่สุดในบรรดาหกแคว้น ไม่เพียงแต่มีขั้นการสอบที่หลากหลายเท่านั้น ยังมีวิชาสอบมากมาย รวมถึงยังมีจำนวนคนเข้าร่วมการสอบมากที่สุดอีกด้วย
และแน่นอนว่าสัดส่วนของผู้เข้าสอบส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ขณะที่ผู้เข้าสอบจากแคว้นที่เหลือล้วนเป็นบัณฑิตที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งสิ้น ผู้สอบที่มาจากแคว้นระดับบนจะได้เปรียบกว่าคนที่มาจากแคว้นระดับล่าง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหินขนาดไหน
“ข้าว่า เจ้าน่าจะลองดู” มู่ชิงเฉินเอ่ย
กู้เจียวโบกมือปัด พลางเอ่ย “ช่างเถอะ” แค่เขียนการบ้านยังยาก ดังนั้นลืมเรื่องสอบไปได้เลย ให้เซียวเหิงไปสอบแทนยังจะดีกว่า
“แล้วถ้าเป็นการสอบศิลปะการต่อสู้ล่ะ” มู่ชิงเฉินลองเสนอทางเลือกอื่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สนใจด้านวิชาการ
กู้เจียวเริ่มออกอาการเหนื่อยหน่าย “เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากให้ข้าไปสอบนัก”
มู่ชิงเฉินย้ำอีกครั้ง “ก็ถ้าเจ้าสอบผ่าน ก็จะได้อยู่ที่แคว้นเยี่ยนต่ออย่างไรเล่า”
กู้เจียวเลิกคิ้วอย่างสนเท่ห์ “อยากให้ข้าอยู่ที่นี่ต่ออย่างนั้นรึ มู่ชิงเฉิน เจ้าคงไม่ได้สนใจข้าหรอกใช่ไหม”
“เจ้า…” มู่ชิงเฉินแทบจะสำลักหลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย “เจ้าเป็นผู้ชาย ข้าจะสนใจเจ้าได้อย่างไรเล่า!”
“ก็ดีที่เจ้ารู้” กู้เจียวเอ่ยพลางหยิบหนังสือเล่มสุดท้ายยัดใส่กระเป๋า “ไปก่อนล่ะ!” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ฝนจะตกแล้วนะ!” มู่ชิงเฉินตะโกนไล่หลัง
กู้เจียวไม่หันกลับมามองเขาแต่อย่างใด เพียงแค่ยกมือขึ้นเพื่อให้เขารู้ว่ารับทราบแล้ว
“ดูเหมือนฝนกำลังจะตกจริงๆ แล้วล่ะ ดูฟ้าสิ มืดเชียว” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยขึ้นหลังจากเงยหน้ามองผืนฟ้า “แล้ววันนี้ยังจะไปสอนขี่ม้าให้องค์หญิงน้อยคนนั้นอยู่หรือไม่”
“ไปสิ” กู้เจียวตอบ
ท่าทีขององค์หญิงน้อยจริงจังขนาดนั้น แค่คำถามเดียวยังต้องบึ่งรถม้ามาเพื่อฟังคำตอบให้ได้ เกรงว่าถ้าวันนี้กู้เจียวยังไม่ไปหาอีกมีหวังได้ตามมาเล่นงานถึงที่แน่ๆ
แม้ว่าวันนี้จะเรียนไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยก็ต้องไปให้เห็น เพื่อไม่ให้องค์หญิงน้อยรู้สึกผิดหวัง
“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปส่ง” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย
ตั้งแต่ที่รู้ว่าเจ้าม้าจอมพยศมีอายุแค่สองขวบครึ่ง ก็ไม่มีใครกล้าใช้งานมันหนัก อย่างมากก็แค่ใช้ให้ดึงเครื่องบดหินให้ก็เท่านั้น
ยังดีที่เรือนมีม้าอยู่อีกหนึ่งตัว
กู้เสี่ยวซุ่นจูงเจ้าม้าออกมาแล้วผูกเข้ากับเพลา
จากนั้นเขาก็เข้าไปในเรือนเพื่อหยิบเสื้อกันฝนและเสื้อคลุม พอเดินออกมาก็พบว่าม้าตัวนั้นกลายเป็นเจ้าม้าจอมพยศมาแทนที่ ส่วนม้าตัวเดิมดันไปยืนอยู่ในตรอกที่อยู่ห่างออกไป
กู้เสี่ยวซุ่นเกาหัวด้วยความมึนงง “เกิดอะไรขึ้น ใครมาเปลี่ยนม้าให้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
จากนั้นเขาก็หยิบเพลาออกจากเจ้าม้า แล้วจูงมันกลับเข้าไป ก่อนจะวิ่งไปจูงม้าตัวเดิมกลับมา
“เสี่ยวซุ่น เข้ามากินอะไรก่อนสิ!”
เสียงเรียกของอาจารย์แม่หนานดังขึ้น
“ข้าหยิบแค่หมั่นโถวสองลูกไปก็พอขอรับ!” กู้เสี่ยวซุ่นรีบวิ่งเข้าไปในเรือน
พอเขาออกมาอีกทีพร้อมกับหมั่วโถว ก็เจอเจ้าม้ากลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง!
“เดี๋ยวก่อน นี่มัน…”
“ท่านพี่!” กู้เสี่ยวซุ่นมึนงง
กู้เจียวเดินออกมา มองไปที่เจ้าม้า ก่อนจะหันไปทางเจ้าม้าอีกตัวที่ถูกเจ้าม้าขู่จนมีอาการหวาดกลัว จากนั้นก็บอกเจ้าม้า “กลับเข้าไป”
ไม่ขยับเลยสักนิด
คงอยากออกไปเที่ยวข้างนอกสินะ
“ท่านพี่…คือ…” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย
“ช่างเถอะ เดี๋ยวข้าไปเอง เจ้ากลับเข้าไปเถอะ” กู้เจียวบอก
“เอ่อ” กู้เสี่ยวซุ่นยืนเกาศีรษะ ก่อนจะเดินเข้าเรือน “…ข้าไม่รู้อะไรด้วยนะ”
ทันทีที่กู้เจียวขึ้นรถม้า เจ้าม้าก็ส่งเสียงร้องแล้วรีบพุ่งตัวออกไปทันที!
ด้วยความเร็วของเจ้าม้า ทำให้กู้เจียวไม่เจอกับฝนระหว่างทาง กว่าฝนจะตกอีกทีก็ตอนที่พวกเขามาถึงอาณาเขตของจวนองค์หญิงน้อยแล้ว
ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ขณะเดียวกันอีกฝั่งหนึ่ง กู้เฉิงเฟิงที่ซ่อนตัวในต้นไม้อยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุด พวกทหารก็ตามหาเขาจนเจอ
เขาไม่รู้ว่าพวกเขารู้ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาแทบไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลยด้วยซ้ำ
มีนายทหารทั้งหมดสี่คนที่ไล่ล่าเขา แต่ละคนล้วนเก่งการต่อสู้ มันคงเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการกับพวกเขาหากกู้เฉิงเฟิงไม่ได้อยู่ในสภาพบาดเจ็บ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถจัดการกับนายทหารเหล่านั้นได้ แม้จะแลกมาด้วยความยากลำบากและได้แผลเพิ่มมาอีก
นายทหารสี่คนนอนโอดครวญบนพื้น คงใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะลุกขึ้นแล้วไล่ล่าเขาต่อ
หวังว่าอย่าให้มีพวกนายทหารตามเขามาอีกชุดเลย
แค่แรงงานทาสคนเดียวหนีออกมาถึงกับต้องใช้นายทหารมากมายตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้เชียว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าเพราะอะไร
หากมีแรงงานทาสคนอื่นแอบหนีออกมาเหมือนกับเขา แล้วใครจะอยากทนทำงานในที่แบบนั้นอีกล่ะ
พวกนายทหารต้องการตามล่าตัวเขากลับไปเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู
กู้เฉิงเฟิงเดินเลาะถนนหลวงไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที เขาก็เดินเข้ามาในเส้นถนนที่มีแต่ผู้คนพลุกพล่านแล้ว
ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเซิ่งตูเป็นอะไรที่แคว้นเจาเทียบไม่ติดเลยแม้แต่นิด แม้ว่าฝนจะตกหนัก แต่ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงขายของอยู่สองข้างทาง ผู้คนต่างเร่งรีบบนถนนและร้านค้าก็เต็มไปด้วยลูกค้า
กู้เฉิงเฟิงเดินฝ่าฝนที่ตกหนักเข้าไปยังพื้นถนนที่เต็มไปด้วยน้ำขัง
เขาปวดหัวและเริ่มรู้สึกหนาวเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็ถูกชายคนหนึ่งเดินชน
ชายคนนั้นตะโกน “เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!”
กู้เฉิงเฟิงไม่สนใจ
เพราะเขาฟังไม่ออก
ระหว่างทางที่มา เขาถูกจับพร้อมกับกลุ่มแรงงานทาสคนอื่นๆ ที่มาจากแคว้นระดับล่าง จึงไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาแคว้นเยี่ยนมากนัก
เดินไปได้สักพัก อาการปวดหัวก็เริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
เขาพอจะเดาได้ว่าตัวเองตอนนี้น่าจะกำลังไข้ขึ้นแล้ว
ระหว่างที่เดินอยู่ ก็เจอกับพื้นที่ว่างที่มีกันสาด จึงเข้าไปนั่งลงและเอนกายพิงกำแพงที่เย็นเฉียบ
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงขอทานที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้น “นี่มันที่ของข้า!”
กู้เฉิงเฟิงกลอกตามองขอทานคนนั้นหนึ่งที และยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ
“ที่แท้ก็เป็นทาสนี่เอง กล้าดียังไงมาแย่งที่ของข้า!” ขอทานเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอาไม้ชี้ไปที่รอยแผลบนขาขวาของกู้เฉิงเฟิง
สำหรับแคว้นเยี่ยน สถานะของทาสต่ำกว่าขอทาน ไม่ถูกนับว่าเป็นคน เทียบได้กับสิ่งของ หรือไม่ก็หมาแมวข้างทางทั่วไป
กู้เฉิงเฟิงไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด เขาเหนื่อยและแค่อยากจะเอนหลังสักพักเท่านั้น
เขาไม่อยากมีปัญหากับใคร
แต่ชายขอทานคนนี้ส่งเสียงดังเกินไป แถมยังเอาไม้มาตีเขาอีก
กู้เฉิงเฟิงสามารถบดขยี้เขาจนตายได้ด้วยไม่กี่นิ้ว แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงขอทานแก่ง่อยเท่านั้น
หาเรื่องกับคนแบบนั้นไปเพื่ออะไร
หากเป็นกู้เฉิงเฟิงคนเก่าคงลงมือไปนานแล้ว
ตัวเขาในตอนนี้จะไม่ทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด
แค่ถูกไล่ที่นิดๆ หน่อยๆ เทียบไม่ได้เลยกับความอยุติธรรมและการถูกทารุณกรรมที่เขาเจอมานักต่อนัก
ในที่สุดกู่เฉิงเฟิงก็ยอมเดินออกมาจากตรงนั้นเพราะทนเสียงดังไม่ไหว
เขาเดินเข้าไปในตรอกที่เต็มไปด้วยน้ำขัง ก่อนจะทรุดตัวล้มลงไป
มีคนเข้าออกในตรอก แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่ามีคนเป็นลม
และแล้ว ก็มีรถม้าคันหนึ่งเข้ามาเทียบจอด คนที่ลงจากรถม้าคือสตรีวัยกลางคนที่สวมเครื่องประดับด้วยเพชรพลอยแวววาว ตามมาด้วยเด็กสาวอีกคนซึ่งเป็นสาวใช้ของสตรีผู้นั้น แล้วพวกนางก็เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องสำอาง
พอพวกนางเดินออกมาจากร้าน สาวใช้ก็เผลอไปเห็นเงาของใครบางคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ “มามา มีคนนอนอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ!”
ที่แคว้นเยี่ยน คนที่ถูกเรียกว่ามามาได้มีเพียงแค่แม่เล้าเท่านั้น
สตรีวัยกลางคนถลึงตาใส่สาวใช้ “บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฮูหยิน! ฮูหยิน! พวกเราไม่ได้อยู่หอนางโลมแล้วนะ!แต่เป็นหอเริงรมย์ต่างหากล่ะ!”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” สาวใช้เอ่ย พลางนึกอยู่ในใจ สองชื่อนั้นแทบไม่ต่างเลยสักนิด
“ยังหายใจอยู่ไหม หรือว่าตายแล้ว” ฮูหยินมองร่างสูงโปร่งพร้อมกับมือที่เรียวยาวของกู้เฉิงเฟิงที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้น
“เอ๋ รูปร่างไม่เลวเลยนี่”
สาวใช้เดินถือร่มให้กับฮูหยินแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ
สาวใช้ย่อตัวลง ยื่นมือแตะลงไปที่ลำคอของกู้เฉิงเฟิง “เขายังหายใจอยู่ เดี๋ยวนะ ข้าน้อยว่าเขากำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่”
เอ่ยจบก็เงี่ยหูฟัง
“เขาพูดว่าอะไร” ฮูหยินเอ่ยถาม
“ข้าน้อยว่าเขาต้องไม่ใช่คนที่นี่แน่ๆ ภาษาที่เขาใช้ฟังดูแปลกๆ…” หลังจากที่ตั้งใจฟังอยู่นาน สาวใช้ฟังออกอยู่แค่ไม่กี่คำเท่านั้น “เขาพูดว่า สำนักบัณฑิตเทียนฉงเจ้าค่ะฮูหยิน หรือว่าเขาจะเป็นบัณฑิตเจ้าคะ”
ฮูหยินกวาดตามองการแต่งตัวของกู้เฉิงเฟิง พลางเอ่ย “เจ้าเคยเห็นบัณฑิตของเทียนฉงแต่งตัวเช่นนี้รึ”
“ก็จริงเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
และด้วยสัญชาติญาณของคนอาบน้ำร้อนมาก่อน ฮูหยินตัดสินใจใช้เท้าเขี่ยขากางเกงของกู้เฉิงเฟิงขึ้น เมื่อเห็นรอยประทับที่ขาของเขาก็โพล่งหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ที่แท้ก็เป็นทาสนี่เอง เอาตัวกลับไป”
ร่างของกู้เฉิงเฟิงถูกสาวใช้และสารถีแบกขึ้นรถม้าและถูกโยนลงบนพื้นกระดานที่เย็นเฉียบ
สาวใช้เปิดม่าน มองดูรถม้าที่กำลังสวนมา แล้วเอ่ยอย่างสงสัย “ฮูหยินเจ้าคะ ดูสิ รถม้าคันนั้นไม่มีสารถีเลยเจ้าค่ะ!”
“ก็ม้าเขาเชื่อฟัง ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” ฮูหยินเอ่ยขณะที่กำลังใช้ผ้าซับเนื้อตัว
เจ้าม้าดีดขาไปมาอย่างสนุกสนานราวกับเด็กน้อย