ภาค-5 ตอนที่ 65 การศึกเสมือนเกมหมาก (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เซวียนซงฟังจบก็พยักหน้าหลายหน แล้วว่า “ด้วยเหตุนี้หลงถิงเฟยจึงเคลื่อนกองทัพไต้โจว เพราะมิแน่ว่าทหารม้าหนึ่งแสนในมือเขาจะคว้าชัยเหนือกองทัพเราได้”

ข้ากล่าวต่อว่า “มิเพียงเท่านั้น เส้นทางการเคลื่อนทัพของแม่ทัพจิง หลงถิงเฟยจะมิทราบได้เช่นไร เขาจงใจไม่เหลือกำลังทหารสำรองไว้ ยกไพร่พลทั้งหมดโจมตีฉีอ๋อง เพื่อล่อให้แม่ทัพจิงมิสนใจความเหนื่อยล้าของไพร่พลหลังเดินทัพทางไกล แต่เข้าร่วมสนามรบทันที”

เซวียนซงถามว่า “หากแม่ทัพจิงเดาได้ว่าหลงถิงเฟยล่อให้เขาโจมตีเล่า”

ข้าส่ายศีรษะ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจิงฉือจะมองเจตนาของหลงถิงเฟยเออกหรือไม่ หากแม่ทัพจิงไม่บุก ฉีอ๋องย่อมพ่ายแพ้ย่อยยับแน่ ถึงเวลานั้นต่อให้สองทัพรวมพลกันก็มิอาจคว้าชัยชนะได้แล้ว ดังนั้นแม่ทัพจิงต้องโจมตีแน่นอน

อีกประการหนึ่ง กองทัพที่จิ้นหยางมิอาจเคลื่อนทัพมาง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็ฝั่งนั้นก็มีพลเดินเท้าเป็นส่วนมาก แม่ทัพจิงย่อมคิดไม่ถึงว่าจะมีทหารม้าที่แข็งแกร่งกองหนึ่งมาเป็นกำลังเสริมของกองทัพเป่ยฮั่น ดังนั้นกับดักครั้งนี้แม่ทัพจิงต้องกระโดดเข้าไปแน่นอน”

ดวงตาของเซวียนซงฉายแววสับสน กล่าวต่อว่า “ผู้น้อยไม่เข้าใจ ในเมื่อใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ เหตุใดมิเปลี่ยนวิถีทาง ทำศึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป”

ข้าคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้ต้องอธิบายถึงเป้าหมายในการทำศึกของกองทัพเรา กองทัพเรากำลังทหารแข็งแกร่ง หากฝืนโจมตีเป่ยฮั่น แม้ต้องสูญทหารเสียแม่ทัพ แต่สุดท้ายเป่ยฮั่นก็คงสู้กองทัพเรามิได้ แม้กองทัพไต้โจวกล้าหาญ แต่ประการแรกมิอาจผละจากไต้โจวได้นาน ประการที่สองมิว่าอย่างไรก็มีเพียงหนึ่งหมื่นกว่าคน ดังนั้นหากกองทัพเราทำศึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต่อให้มิชนะขาดลอยก็คงชนะอย่างรากเลือดได้

ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมิสำคัญ เป่ยฮั่นแตกต่างจากแคว้นสู่และหนานฉู่ ชาวแคว้นสู่รักสงบ เมื่อแคว้นล่มสลายก็ปลอบประโลมง่ายยิ่งนัก แม้มีคนบางกลุ่มมิประมาณตนต้องการฟื้นฟูแว่นแคว้น แต่หากมิได้รับการสนับสนุนจากขุมกำลังที่แข็งแกร่ง พวกเขาก็ก่อคลื่นลมอันใดมิได้ ชาวหนานฉู่ขี้ขลาด เมื่อแคว้นล่มสลาย ขอเพียงมิทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์ พวกเขามากกว่าครึ่งก็มิกล้าต่อต้าน

มีเพียงเป่ยฮั่นเท่านั้นที่เจ้าแคว้นเรียกได้ว่าปรีชาสามารถอยู่บ้าง ทหารและประชาชนบนล่างล้วนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว หากกองทัพเราละโมบต้องการชัยชนะโดยเร็ว คำนึงแต่จะยึดเมืองรื้อค่าย ต่อให้กองทัพเราบุกตีนครจิ้นหยาง ควบคุมราชวงศ์เป่ยฮั่นได้แล้วก็มิอาจปราบกองทัพประชาชนที่ลุกฮือจากทุกถิ่นที่ได้

ดังนั้นฝ่าบาทจึงมิกังวลว่าพวกเราจะพ่ายแพ้ หากพ่ายแพ้ลุกขึ้นสู้ใหม่ก็พอ แต่หากมิอาจเอาชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จย่อมลำบากแล้ว หากกำลังหลักของกองทัพศัตรูยังอยู่ ย่อมต้องคอยคุ้มกันเมืองแต่ละแห่งๆ เป็นเช่นนี้ย่อมต้องตามจัดการกันมิจบสิ้น

มีบางเรื่องที่เจ้ามิทราบ พวกเรามิได้มีเวลามากมายเช่นนั้น ต่อให้กำลังหลักของเป่ยฮั่นแตกกระจาย แต่ขอเพียงยังเหลือรอดหนึ่งหรือสองส่วน วันหน้าสิ่งที่พวกเราต้องเผชิญก็คือการต่อต้านของชาวเป่ยฮั่นทั้งหมด ทหารเป่ยฮั่นที่แตกกระเจิงไปเหล่านั้นจะเป็นเชื้อไฟ

ยิ่งไปกว่านั้นหากคนเช่นหลงถิงเฟยหนีรอดไปได้ มิต้องพูดถึงสามปีห้าปี ต่อให้แปดปีสิบปี พวกเราก็ยากจะกำราบเป่ยฮั่นลงได้ ดังนั้นหากกองทัพเราต้องการชนะ จำต้องรวบกำจัดกองทัพเป่ยฮั่นทั้งหมด แล้วก็ต้องจับตัวบุคคลระดับหัวหน้าของกองทัพเป่ยฮั่นทั้งหมดไว้ด้วย

คิดจะทำให้ได้ถึงจุดนี้จำเป็นต้องล่อศัตรูให้มาอยู่บนสนามรบของพวกเรา แต่หลงถิงเฟย หลินปี้กับแม่ทัพทั้งหลายของเป่ยฮั่นมิใช่คนเขลา หากต้องการให้พวกเขาตกลงมาในกับดักก็จำต้องเสียสละมากพอ ดังนั้นฉีอ๋องจำเป็นต้องพ่ายศึกที่ชิ่นหยวน หลังจากนั้นจึงใช้การถอยทัพหลังพ่ายศึกล่อศัตรู ส่วนกองทัพเป่ยฮั่นเพื่อให้ได้ผลการศึกที่พอใจ พวกเขาต้องไล่ตามมามิเลิกราเป็นแน่ มีแต่ทำเช่นนี้ เป้าหมายของกองทัพเราจึงบรรลุมิใช่หรือ”

เซวียนซงฟังอย่างอึ้งทึ่ง ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ องค์ชายทราบเรื่องสำคัญเหล่านี้อยู่แล้วสินะ น่าสงสารก็แต่ทหารกล้าที่ตายอย่างน่าเวทนาของกองทัพเรา”

ข้าถอนหายใจกล่าวว่า “ฉีอ๋องทราบอยู่บ้าง แต่มิทราบทั้งหมด แผนการรบทั้งหมดมีเพียงฝ่าบาทกับข้าที่รู้รายละเอียดในแผนการ ข้าบอกเป็นเชิงว่าองค์ชายจะพ่ายแพ้เป็นการยั่วยุ ยามองค์ชายออกรบย่อมต่อสู้อย่างห้าวหาญ ทำเช่นนี้หลงถิงเฟยจึงจะติดกับ เมื่อถึงยามพ่ายแพ้ องค์ชายทำศึกมานาน ทั้งยังเป็นผู้ที่ชนะมิหยิ่งยโส พ่ายแพ้มิหดหู่ทดท้อ เขาจักต้องพยายามรักษากำลังพลทั้งหมดถอยทัพมาแน่

แม่ทัพเซวียน หมากกระดานหนึ่งหากมิใช่ยอดฝีมือแห่งสองแคว้นดวลหมากกันยากจะดวลได้น่าประทับใจ หมากกระดานนี้กับเป่ยฮั่น เพราะศัตรูฝีมือสูงส่งจึงตกอยู่ในแผนการของข้า หากหลงถิงเฟยมิรู้ดีว่าต้องสังหารฉีอ๋องจึงจะเผด็จศึกได้อย่างงดงาม เขาจะถูกล่อเข้ามาในสนามรบที่พวกเราเตรียมไว้พร้อมได้เช่นไร หมากลวงตานี้ ต่อให้เป่ยฮั่นมีคนฉลาดอีกเท่าใดก็มองมิออก ผู้ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์จะมีสักกี่คนมองเรื่องราวได้กระจ่างชัดเหมือนยืนอยู่วงนอก”

เซวียนซงนับถือจากใจจริง กล่าวขึ้นว่า “ขอใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพโปรดสั่งการ ผู้น้อยสมควรทำเช่นไร”

ข้าชี้จุดหนึ่งบนแผนที่แล้วเอ่ยว่า “กองทัพศัตรูที่ไล่โจมตีคงรุกไล่ดุร้ายยิ่งนัก ระหว่างที่กองทัพเราพ่ายแพ้ถอยร่นต้องทำอย่างรอบคอบ แม่ทัพเซวียนเพียงต้องใช้ฝีมือ รับกองทัพของฉีอ๋องกับแม่ทัพจิงที่ถอยมาถึงตรงจุดนี้ก็นับว่าสร้างความชอบครั้งใหญ่แล้ว

แต่ท่านแม่ทัพต้องจดจำไว้ว่า แม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูมิใช่คนธรรมดา ยามท่านแม่ทัพพ่ายแพ้ถอยร่นยิ่งทุ่มสุดความสามารถเท่าใด กองทัพศัตรูก็ยิ่งคิดไม่ถึงว่ากองทัพเรามีลูกไม้ซ่อนไว้ด้านหลังเท่านั้น”

เมื่อเห็นจุดที่ข้าชี้ ดวงตาของเซวียนซงพลันทอประกายร้อนแรง กล่าวว่า “ที่แท้เก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่า มิน่าเล่า”

ข้ายิ้มละไม กล่าวต่อว่า “หลังจากกองทัพเป่ยฮั่นใช้น้ำจมอานเจ๋อ หนทางก็ถูกทำลาย ข้าให้คนซ่อมเส้นทางติดกันหลายวันก็เพื่อรับกองทัพของพวกเรา ประการแรกเพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย ประการที่สองยิ่งพวกเราเตรียมพร้อมมาก กองทัพเป่ยฮั่นก็จะยิ่งคิดว่าพวกเรากระหายชัยชนะอย่างแรงกกล้า พวกเขาจะยิ่งไม่มีทางคิดว่ากองทัพเราพ่ายแพ้ถอยร่นมาเพราะมีแผนการอื่นใดอยู่”

เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็ส่งเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้ข้า ข้ารับมาคลุมตัวแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อแม่ทัพเซวียนทราบสถานการณ์แล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ผู้แซ่เจียงไร้ความสามารถ ทนความลำบากของศึกสงครามมิไหว คงต้องถอยไปอยู่ด้านหลังรอคอยทุกท่านล่วงหน้า

ข้างกายฉีอ๋องมีฝ่าเจิ้งต้าซือกับฝ่าเหริ่นต้าซือนำยอดฝีมือจากแต่ละสำนักคุ้มกันอยู่ แม่ทัพเซวียนมิต้องกังวลใจ ต่อให้มีอันตรายอยู่บ้าง พวกเขาก็จะปกป้ององค์ชายให้ปลอดภัย”

ใบหน้าของเซวียนซงเผยสีหน้าประหลาดออกมา คิดมิถึงใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพจะพูดเรื่องหลบหนียามข้าศึกประชิดได้เต็มปากเต็มคำเช่นนี้ แต่เมื่อทราบว่าฉีอ๋องน่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต เซวียนซงก็โล่งอกแล้ว ยามนี้ที่ตรงนี้ตำแหน่งของเจียงเจ๋อสูงที่สุด เขาจะจากไปก่อนก็มิมีผู้ใดขัดขวางได้ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เจียงเจ๋อบังคับให้ตนอยู่ เพราะว่าหลังจากเขาผละจากไปแล้ว ตนจึงจะนำกองทัพไปรับฉีอ๋องได้กระมัง

ข้าย่อมทราบความคิดของเซวียนซง ทว่าเพื่อจะได้มิต้องสัมผัสประสบการณ์ทุกข์ทรมานของการเผ่นหนีอีก ข้ายอมหนียามข้าศึกประชิดเสียดีกว่า ข้าพาเสี่ยวซุ่นจื่อ ชื่อจี้และราชองครักษ์หู่จีผู้ทำหน้ามิใคร่ยินดีเพราะคนมากกว่าครึ่งต้องการก้าวเข้าสนามรบสังหารศัตรูเดินไปยังรถม้าที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนขึ้นรถม้า ข้าอดใจมิไหวแหงนหน้ามองท้องนภา อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามตะวันก็น่าจะตกแล้ว ยามหนึ่งฉีอ๋องคงถอยมาถึงแนวป้องกันแรก เส้นทางหลายร้อยลี้ที่ถอยร่นมานี้คงมิง่ายดายนัก ทว่าจุดนี้ข้ามิมีกำลังทำสิ่งใดได้แล้ว

การรบทัพจับศึก ผู้ที่ตระเตรียมคาดคำนวณก่อนเกิดศึกมามากกว่า ย่อมมีโอกาสชนะมากกว่า ยามนี้สถานการณ์ต่างๆ ล้วนเป็นดั่งที่ข้าคาด หากกองทัพเรายังพ่ายแพ้อีก ถ้าเช่นนั้นก็ได้แต่กล่าวว่าฟ้าเจตนาให้เป็นเช่นนั้น กำลังมนุษย์มิอาจขัดขืน แต่ข้ากลับมิกังวลใจ กำลังทหารของแคว้นเป่ยฮั่นล้วนอยู่ตรงนั้นแล้ว อย่างมากที่สุดฝั่งเราก็ชนะยากลำบากสักหน่อย เหลือปัญหายุ่งยากภายหลังมากหน่อยเท่านั้น จะปล่อยให้พวกเขาพลิกฟ้าได้หรือไร

ข้าอดนึกถึงหลงถิงเฟยมิได้ ดูจากการนำทัพและวางกระบวนทัพของเขา เขาก็ถือเป็นยอดคนอันดับหนึ่งของอันดับหนึ่ง น่าเสียดายที่เป็นคู่ต่อกรของข้า ข้าอดใจมิไหวพึมพำ “ตัดปีกของเขา ลิดกิ่งใบของเขา มัดมือเท้าของเขา ทลายจิตใจของเขา นี่เรียกว่าตาข่ายดักสี่ทิศ แม้นมีความสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ไฉนจะหลุดรอดฝ่ามือข้าไปได้”

มิรู้เป็นอันใด จู่ๆ ความเหนื่อยล้าอันยากจะบรรยายก็ผุดพรายขึ้นมา หลายวันนี้ข้าใช้เรี่ยวแรงและความคิดทั้งหมดวางแผนการต่างๆ นานาอย่างถี่ถ้วน กลัวว่าจะมีบางสิ่งเปลี่ยนสถานการณ์โดยรวม จนวันนี้นับว่าสถานการณ์แน่นอนแล้ว เรื่องต่อจากนี้มิอยู่ในการควบคุมของข้าอีกต่อไป ข้าขึ้นรถม้าอย่างมิค่อยมีสติ

ก่อนก้าวขึ้นรถม้า ข้าพลันหันกลับไปเอ่ยกับเซวียนซง “สั่งการซูชิง ต้องทุ่มกำลังทั้งหมดดักสังหารสายลับของกองทัพเป่ยฮั่นให้จงได้ จะปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นค้นพบแผนการที่กองทัพเราวางไว้มิได้เป็นอันขาด ต้วนหลิงเซียวที่อยู่ในกองทัพเป่ยฮั่นมิอาจลงมือเองได้แล้ว ชิวอวี้เฟยก็ถูกรั้งไว้ที่ตงไห่ คนที่เหลือซูชิงน่าจะรับมือได้ ต่อให้มีพวกที่รับมือมิไหวอยู่เล็กน้อย ยอดฝีมือข้างกายฉีอ๋องก็ช่วยเหลือได้ จำไว้ ห้ามให้พวกเขามองออกเด็ดขาด”