เซวียนซงตอบรับอย่างขึงขัง “ผู้น้อยรับบัญชา ใต้เท้าร่างกายมิค่อยแข็งแรง รีบพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
ข้าเงยหน้ามอง เห็นแววตากังวลฉายอยู่ในดวงตาของพวกเสี่ยวซุ่นจื่อ ชื่อจี้และฮูเหยียนโซ่ว ข้าจึงคลี่ยิ้มถามว่า “เป็นอะไรกัน ทำท่าตกอกตกใจกับเรื่องเล็กน้อยกันหมด”
ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็ถอนหายใจแผ่วเบา ยัดยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งเข้ามาในปากของข้า ทันใดนั้นข้าพลันรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจค่อยๆ ผ่อนคลาย ห้วงฝันหวานเข้าจู่โจม ไม่นานข้าก็หลับใหลอย่างรวดเร็ว
เซวียนซงเอ่ยอย่างตกใจ “เหตุใดสีหน้าของใต้เท้าจึงซีดเผือดเพียงนี้ โรคเก่ากำเริบหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างเย็นชา “เพื่อศึกนี้ คุณชายทุ่มเทความคิดอยู่เกือบครึ่งปี ยามนี้ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปตามแผนการแล้ว คุณชายคลายใจจึงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม่ทัพเซวียน ท่านเกี่ยวพันต่อการแพ้ชนะของศึกนี้อย่างใหญ่หลวง หากแผนการของคุณชายล่มก้าวสุดท้ายเพราะท่าน ข้าจะไม่ละเว้นท่านแน่นอน” พูดพลางก็อุ้มเจียงเจ๋อเข้าไปในตัวรถ ชื่อจี้มองตัวรถอย่างกังวลใจหนหนึ่ง แล้วนั่งตรงประจำตำแหน่งสารถี จากนั้นก็เหวี่ยงแส้ม้า
เซวียนซงมองรถม้าแล่นไกลออกไป ในใจรู้สึกละอาย เมื่อครู่เขายังว่าร้ายเจียงเจ๋อว่าหนียามข้าศึกประชิดอยู่เลย ทว่าไม่คิดแม้สักนิดว่าการจะทำให้กองทัพฝ่ายศัตรูกับฝ่ายเราเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้ เจียงเจ๋อต้องสิ้นเปลืองความคิดเท่าใด เขาเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ออกเดินทางทันที พวกเราจะไปรับฉีอ๋อง” องครักษ์คนสนิทนำชุดเกราะกับอาชามาให้ เซวียนซงเปลี่ยนอาภรณ์สวมชุดเกราะ ชักม้าหวดแส้ วิ่งทะยานไปทางชิ่นหยวน
บนสนามรบอันห่างไกล หลี่เสี่ยนคุมท้ายกระบวนทัพพลางลอบก่นด่าเสียงเบา เหตุไฉนตนเองจึงโง่เขลาเช่นนี้ ตอนแรกขบคิดหนแล้วหนเล่ากลับคิดไม่ถึงกองทัพไต้โจว เขาเคยคิดมาก่อนว่าหลินปี้อาจยกทัพมาช่วย แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ากองทัพไต้โจวจะยกพลมามากกว่าครึ่งหนึ่ง กองทัพไต้โจวไม่ออกจากเขตแดนจนในใจผู้คนทั้งหลายเห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนล้วนทราบว่าคนเถื่อนทางเหนือกระเหี้ยนกระหือรือจะบุกอยู่ ผู้ใดจะคิดว่าหลินปี้จะใจกล้าเพียงนี้ พากำลังทหารมากกว่าครึ่งลงใต้มา
แต่ผู้ที่เขาก่นด่ามากที่สุดก็ยังเป็นเจียงเจ๋อ หลี่เสี่ยนไม่ทราบแผนการทั้งหมดจริงๆ ดังนั้นในใจเขาจึงไม่มั่นใจอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่าสิ่งที่เตรียมไว้ต่อจากนี้จะเข้าท่าหรือไม่ อดนึกเสียใจมิได้ที่ตอนนั้นถูกคำพูดสองสามคำของเจียงเจ๋อยั่วยุจนคิดแต่จะสู้เอาเป็นเอาตายกับกองทัพเป่ยฮั่น ไม่ยอมจี้ถามให้ละเอียด
ตอนนี้จิงฉือย้อนกลับมาจากทัพหน้าแล้ว ด้านหน้ามีแม่ทัพผู้กรำศึกของกองทัพต้ยงอยู่ เขาจึงวิ่งมาช่วยฉีอ๋องคุมท้ายที่ด้านหลัง จิงฉือชักม้าทะยานมาข้างกายฉีอ๋องแล้วเอ่ยอย่างหดหู่เล็กน้อย “องค์ชาย พวกเราอวดอ้างตนว่าเป็นวีรบุรุษ แต่กลับถูกสตรีนางหนึ่งตีจนพ่ายแพ้ยับเยิน คราวนี้จะทำเช่นไรดีเล่า หลังจากกลับไปจะมองหน้าผู้คนเช่นไร”
หลี่เสี่ยนคร้านจะอธิบายกับเขา ถึงอย่างไรพอถึงเวลานั้นจิงฉือย่อมรู้เอง บุ้ยปากเอ่ยว่า “เลิกเหม่อได้แล้ว กองทัพได้โจวมาอีกแล้ว”
มองเห็นฝุ่นฟุ้งตลบเกาะกลุ่มมิจางมาแต่ไกล กองทัพไต้โจวบีบเข้ามาใกล้ท้ายกระบวนทัพของกองทัพต้ายง แต่มิได้พุ่งทะลวงเข้ามา เพียงตระเวนไปมา ใช้ศรสังหารทหารม้าต้ายงที่รั้งท้ายเป็นระยะ บางครั้งก็มีทหารขวัญกล้าพุ่งเข้ามาในกระบวนทัพของต้ายง เข่นฆ่าได้ครู่หนึ่งก็ถอยไปอีกหน ก่อกวนให้กองทัพต้ายงมิได้สงบสุข
ดวงตาของหลี่เสี่ยนทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง ถือแหลนอาชาไปยังท้ายกระบวนทัพด้วยตนเอง มีเขาคุมท้ายอยู่ กองทัพต้ายงจึงมีขวัญกำลังใจ เริ่มโต้กลับอย่างดุดันบ้าง สองกองทัพโรมรันกันมิเลิกราเช่นนี้ แต่หาลดความเร็วลงไม่ เมื่อดวงตะวันเริ่มจมลงทางทิศตะวันตก ทัพหน้าของกองทัพต้ายงก็เข้ามาในแนวป้องกันชั้นแรกที่เซวียนซงวางเอาไว้แล้ว
ปากหุบเขาที่ภูเขาสองลูกประจันหน้ากันอยู่คือทางผ่านของแม่น้ำชิ่นสุ่ย สองฝั่งของแม่น้ำคือทางภูเขาขรุขระที่พอให้อาชาร่างกำยำวิ่งผ่านได้ เสียงสายธารเย็นเฉียบครวญคร่ำ สองฟากมีก้อนหินหน้าตาประหลาดตั้งเรียงราย หมู่เขาบริเวณนี้ล้วนแต่เป็นภูเขาหิน บนเขามีต้นไม้อยู่น้อยนิด ก้อนหินแข็งยากจะขุดเจาะ มิอาจสร้างค่ายมั่นคงได้
สองฝั่งเป็นหน้าผาชัน ห่างจากแม่น้ำชิ่นสุ่ยเบื้องล่างเพียงไม่กี่สิบจั้ง แม้จะชิดริมน้ำแต่นำน้ำขึ้นมายากลำบาก โจมตียากแต่ก็รักษายากเช่นกัน ดังนั้นตอนแรกกองทัพเป่ยฮั่นจึงมิได้คอยป้องกันที่แห่งนี้ แทนที่จะสิ้นเปลืองกำลังพลกับสถานที่คับแคบเช่นนี้ มิสู้อยู่บนที่ราบซึ่งทหารม้าสำแดงฤทธิ์เดชได้ดีกว่า
แต่ยามนี้ฝ่ายที่ป้องกันคือกองทัพต้ายง ต้ายงใช้พลทหารเดินเท้ามาสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันชั่วคราวได้ดีอย่างยิ่ง แม้เพราะข้อจำกัดนานาประการจึงมิอาจคอยป้องกันระยะยาวได้ แต่ขอเพียงป้องกันแต่ละแห่งได้หนึ่งวันครึ่งวันก็ถ่วงเวลาการบุกของกองทัพเป่ยฮั่นได้แล้ว จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่หลงถิงเฟยกังวล เขาไม่ต้องการลำบากลำบนโจมตีแนวป้องกันของกองทัพต้ายงเสร็จแล้วพบกองหนุนจำนวนมากของต้ายงคอยอยู่ทีหลัง
คาดการณ์จากวิธีการปกติ นับจากข่าวการพ่ายแพ้ส่งไปถึงเจ๋อโจว กว่าเจ๋อโจวจะรวบรวมกำลังพลแล้วส่งกองหนุนมาได้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน นี่หมายถึงในสถานการณ์ที่มีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่นั่นก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ ด้วยเหตุนี้หลงถิงเฟยจึงพากำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นรีบเร่งเดินทางมารวมตัวกับหลินปี้ หากจัดการหลี่เสี่ยนที่นี่มิได้ก็จำเป็นต้องจู่โจมให้เร็วขึ้น ต้องบีบให้กองทัพต้ายงไปถึงอานเจ๋อภายในสิบวัน ทำเช่นนี้จึงจะบรรลุเป้าหมาย สังหารกองทัพต้ายงให้ย่อยยับได้อย่างสมบูรณ์
แม่ทัพอาภรณ์เขียวท่าทางสุขุมคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาฝั่งหนึ่ง ด้านนอกหุบเขามีทหารต้ายงใช้หน้าไม้ตั้งท่าเตรียมพร้อม รอรับทหารม้าของกองทัพต้ายงเข้ามาในหุบเขาอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีความสับสนวุ่นวายแม้แต่น้อย เวลานี้กองทัพเป่ยฮั่นสัมผัสได้ว่าต้องเร่งรีบ การโจมตีของพวกเขาจึงรุนแรงกว่าเดิม หากมิใช่ว่าหลี่เสี่ยนกับจิงฉือคุมท้ายขัดขวางด้วยตนเอง น่ากลัวว่าท้ายทัพของต้ายงคงถูกตีแตกนานแล้ว
อาทิตย์อัสดงสีดุจโลหิตรั้งรออยู่ตรงขอบฟ้า แสงสายัณฑ์อาบย้อมหมู่เมฆละม้ายคล้ายบุปผาโลหิตสีสดสวยดูงดงามแต่เศร้าสร้อย สองกองทัพตรากตรำต่อสู้สุดกำลังที่มี สละทุกสิ่งอย่างมิเสียดาย ชีวิตของทหารกล้านับไม่ถ้วนเสกสรรภาพเปลวเพลิงแห่งสงครามอันแสนอลังการ
กำลังพลหนึ่งในสามส่วนของกองทัพต้ายงเข้าไปในหุบเขาแล้ว ตอนนี้เอง บนสายธารของแม่น้ำชิ่นสุ่ยพลันปรากฏเรือเหมิงชงกับเรือโต้วเจี้ยนของกองเรือเป่ยฮั่นล่องลงมาตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว ทหารเรือบนเรือล้วนถือโล่และหน้าไม้ เห็นชัดว่าเตรียมจะใช้แม่น้ำชิ่นสุ่ยทะลวงเข้าไปในหุบเขา จากนั้นใช้หน้าไม้ตัดทางถอยของกองทัพต้ายง
กองทัพเป่ยฮั่นเห็นธงของกองเรือแต่ไกลก็ฮึกเหิมเป็นกำลัง การโจมตียิ่งเป็นดั่งใจยิ่งกว่าเดิม แม้กองทัพต้ายงวิตกอยู่บ้าง แต่มิว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นสิงห์หนุ่มที่ผ่านศึกมานับร้อย เริ่มแรกอาจยังวิตกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็สงบใจได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก เพียงเพิ่มความเร็วการถอยทัพให้เร็วขึ้นอีกมาก ทว่าการต่อสู้ขัดขวางกองทัพเป่ยฮั่นก็หย่อนหยานลงเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้
ตอนที่เรือรบสามลำแรกเข้าใกล้หุบเขา แม่ทัพอาภรณ์สีเขียวที่บัญชาการอยู่บนยอดเขาก็ขยับธงบัญชาทัพ หัวเรือของเรือรบสามลำนั้นคล้ายชนเข้ากับอุปสรรคบางอย่าง เรือที่กำลังเคลื่อนไปด้านหน้ากลับไร้แรงส่ง ลำเรือถูกกระแสน้ำซัดจนเอนเอียงอย่างไร้ทางช่วย เพียงชั่วครู่เรือรบสามลำนั้นก็กลับขวางลำน้ำไว้ครึ่งหนึ่ง ทหารเรือเป่ยฮั่นที่อยู่บนเรือรบมิใช่ชาวแคว้นฉู่ผู้กรำศึกทางน้ำ ดังนั้นจึงสับสนวุ่นวายอย่างช่วยไม่ได้
เวลานี้เอง กองทัพต้ายงที่หุบเขาก็เข็นเครื่องยิงหน้าไม้กับรถยิงหินหลายสิบคันออกมาจากกระบวนทัพ ลูกศรและก้อนหินขนาดใหญ่เข้าจู่โจมดุจสายฝน กองเรือเป่ยฮั่นที่อยู่ตรงกลางส่งสัญญาณ ทหารเรือเหล่านั้นโต้กลับอย่างกล้าหาญ ทว่าเรือมิอาจขยับ ลำเรือโคลงเคลงทำให้ทหารเป่ยฮั่นไร้กำลังตอบโต้ เพียงครู่เดียวกองเรือก็ส่งสัญญาณให้ถอยทัพ ทหารเรือบนเรือรบสามลำนั้นพากันกระโดดลงน้ำ บ้างก็นั่งเรือเล็กถอยหนีไป
คิ้วกระบี่ของหลงถิงเฟยขมวดเป็นปม ไม่นานก็มีทหารสอดแนมกลับมารายงาน “ท่านแม่ทัพ กองทัพต้ายงวางแนวโซ่เหล็กขวางลำน้ำอยู่บนผิวน้ำ เมื่อครู่ยามกองเรือจะบุกเข้าไป กองทัพต้ายงก็ขึงโซ่เหล็กขวางเรือรบของกองทัพเราไว้”
กองทัพต้ายงเคลื่อนเข้าไปในหุบเขาอย่างช้าๆ หลงถิงเฟยมองธงผืนใหญ่ของกองทัพต้ายงหายลับไปจากสายตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “กองทัพต้ายงช่างลูกเล่นมากนัก ถึงขั้นทุ่มเทความคิดกับเส้นทางถอยทัพมากมายเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงไม่กี่วันก็สร้างแม้แต่โซ่เหล็กขวางแม่น้ำขึ้นมาได้ น่าเสียดาย หากกองทัพเรือเราดักปากหุบเขาไว้ได้ กองทัพต้ายงอย่าคิดว่าจะหนีสำเร็จ”
ต้วนอู๋ตี๋ปลอบจากด้านข้าง “ท่านแม่ทัพอย่าได้กังวลใจ แม้จะไม่เป็นดั่งที่พวกเราคาดการณ์ไว้ แต่หากกล่าวในอีกแง่หนึ่ง กองทัพต้ายงก็คงไม่มีกำลังเสริมอยู่ด้านหลังแล้ว มิเช่นนั้นพวกเขาไยมิปล่อยพวกเราข้ามเขาไป จากนั้นรอทำลายกกองทัพเราที่อานเจ๋อ ตอนนี้พวกเขาป้องกันแน่นหนาย่อมหมายความว่าพวกเขามีกำลังไม่พอ คิดจะใช้ชัยภูมิผลาญกำลังของกองทัพเรา
ทว่าภูมิประเทศแถบนี้ พวกเราคุ้นเคยยิ่งกว่าพวกเขา ขอเพียงตีแนวป้องกันของพวกเขาให้แตกเร็วที่สุด จากนั้นใช้จุดเด่นของกองทัพเราที่ถนัดการบุกทะลวงไล่ล่า จักต้องกำจัดกองทัพต้ายงได้แน่ หลี่เสี่ยนมีนิสัยดันทุรัง เขาย่อมมิยอมทอดทิ้งกองทัพหลบหนี พวกเรายังมีโอกาสทำให้เขาทิ้งร่างไว้ที่นี่ได้”
ดวงตาของหลงถิงเฟยฉายแววเด็ดขาด “หากสังหารหลี่เสี่ยนมิได้ แม้นพวกเราชนะก็เสมือนแพ้ ถ่ายทอดคำสั่งข้า ยิงธนูไฟทำลายเรือรบที่ขวางทางอยู่เสีย โซ่เหล็กก็ใช้ไฟเผาให้ละลาย ให้กองเรือไปจัดการ ต่อให้ต้องเผาแม่น้ำสามสิบลี้ให้กลายเป็นทะเลเพลิง ข้าก็จะทำให้กองทัพต้ายงมิมีที่หลบซ่อน ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้เจ้าเตรียมน้ำมันดำกับดินประสิวไว้ ขอเพียงเทน้ำมันดำลงบนแม่น้ำชิ่นสุ่ย คบไฟแท่งเดียวก็บีบกองทัพต้ายงในหุบเขาให้ออกมาได้ ข้าให้เวลาเจ้าสองวัน เจ้าทำได้หรือไม่”
ต้วนอู๋ตี๋หวาดผวาอยู่ในใจ น้ำมันดำนี้เป็นของประหลาด มิจมน้ำ ติดไฟง่าย เปลวเพลิงลุกไหม้แล้วมิดับเป็นเวลานาน ขอเพียงติดไฟแล้วควันสีดำจะลอยโขมง ผืนดินที่ถูกน้ำมันดำซึมเกาะ หญ้าสักต้นก็ไม่ขึ้น แม้นแผนการนี้ของหลงถิงเฟยจะร้ายกาจนัก แต่ภูเขารกร้างสามสิบลี้แห่งนี้กับปลายน้ำชิ่นสุ่ยคงเสียหายสาหัสเป็นแน่ ทว่ายามนี้มิอาจพะวงถึงสิ่งอื่น เขาค้อมกายตอบ “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ผู้น้อยจะมิทำให้ผิดหวัง”