ภาค-5 ตอนที่ 67 เผาชิ่นสุ่ย (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

กองทัพต้ายงพ่ายศึกถอยร่น ใช้โซ่เหล็กขวางลำน้ำ สกัดกองเรือเป่ยฮั่น ชัยภูมิขุนเขาสูงชันยากรุกยากรับ สองกองทัพแย่งชิงปากหุบเขาอยู่สองวัน มิอาจตัดสินแพ้ชนะ

เดือนสี่ วันที่หนึ่ง หลงถิงเฟยสั่งแม่ทัพต้วนผู้อยู่ใต้บัญชาให้เทน้ำมันดำลงแม่น้ำ จุดไฟเผา กองทัพต้ายงพ่ายแพ้ถอยหนี ทหารบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน สามสิบปีนับจากนั้นในภูเขาไม่มีต้นหญ้าแม้สักต้น จวบจนปีถัดมาแม่น้ำชิ่นสุ่ยจึงใสอีกหน

…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม

เดือนสาม วันที่สามสิบ ยามเช้าตรู่ หลี่เสี่ยนเดินออกมาจากกระโจมทหาร แม้เข้าสู่วสันต์ฤดูแล้ว แต่อุณหภูมิยามเช้าตรู่ก็ยังต่ำยิ่ง สายลมจากแม่น้ำเย็นเฉียบ สายหมอกขมุกขมัว แม่น้ำชิ่นสุ่ยหนาวเย็นและนิ่งสงบ หลี่เสี่ยนรวบรวมสมาธิขบคิด หุบเขาตรงจุดนี้ซ่อนทหารได้เกือบหนึ่งหมื่น เป็นค่ายทหารที่อยู่ห่างจากปากหุบเขาชิ่นสุ่ยที่กองทัพเป่ยฮั่นรวมกำลังพลอยู่ใกล้ที่สุด

คืนวานกองทัพต้ายงตั้งค่ายเช่นนี้สิบกว่าค่ายตามริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ยภายในหุบเขา นับจากวันนี้จะเริ่มถอยทัพด้วยความช่วยเหลือของพลหารเดินเท้า หุบเขาแถบนี้มิใช่ชัยภูมิที่ดีในการตั้งรับศัตรู แม้จะเหมาะอย่างยิ่งกับการใช้พลทหารเดินเท้าป้องกันทหารม้าของเป่ยอั่น แต่หลี่เสี่ยนมิเคยชอบการเสียสละที่มิอาจกุมชัยชนะ ดังนั้นการถอนทัพเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใดจะรู้ว่ากองทัพเป่ยฮั่นจะคิดหาวิธีการใดมาโจมตีอีก ถึงอย่างไรหุบเขาแห่งนี้ก็ทำให้ทหารม้าของต้ายงเคลื่อนไหวลำบากเช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหากต้องการชัยชนะย่อมมิอาจตั้งรับอยู่ที่นี่ เพียงแต่ว่าจังหวะการถอยทัพต้องดูให้ดี จะปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นมองออกว่าตนมิมีแผนการจะยึดหุบเขาเป็นที่มั่นสักนิดมิได้ แน่นอนว่าความสูญเสียยิ่งน้อยก็ยิ่งดี

หลี่เสี่ยนครุ่นคิดว่าจะจัดการสถานการณ์ศึกตรงหน้าอย่างไรพลางยกมือไพล่หลังเดินไปยังกระโจมที่อยู่ไม่ไกล นั่นคือกระโจมทหารของเซวียนซง หลี่เสี่ยนคิดอย่างโมโหโทโส เมื่อวานวุ่นวายเกินไป ได้ฟังแต่ว่าเจียงเจ๋อหนีไปก่อนแล้ว ต้องถามเซวียนวงให้ชัดเจนว่าเจ้าหมอนั่นเผ่นหนียามข้าศึกประชิดได้เช่นไร

หลี่เสี่ยนเดินเข้ามาในกระโจมของเซวียนซง ภายในกระโจมว่างเปล่าไม่มีผู้ใด เขาคงออกไปจัดการแนวป้องกัน หลี่เสี่ยนไม่ถือสา เดินตรงเข้าไปด้านใน เซวียนซงมีฐานะเป็นแม่ทัพคนสำคัญ กระโจมย่อมค่อนข้างสะดวกสบาย ด้านในกับด้านนอกกั้นกลางด้วยผืนม่าน ด้านในเป็นเตียงที่ใช้ยามเดินทัพ ด้านนอกมีโต๊ะเก้าอี้ บนพื้นปูผืนพรมหนา หลี่เสี่ยนนั่งบนเก้าอี้ ในใจคิดว่าจะถอยทัพอย่างไรให้เรียบร้อยว่องไว

เวลานี้เองเขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก เสียงหนึ่งดังเป็นจังหวะอย่างไม่รีบร้อน เสียงหนึ่งดุจมังกรพยัคฆ์ย่างเท้า ทรงพลังหนักแน่น หลี่เสี่ยนฟังออกว่าสองคนนี้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน ลองคิดดูก็ทราบว่าคงเป็นเซวียนซงกับจิงฉือเดินมาด้วยกันเป็นแน่ ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ สองคนนี้ล้วนเป็นคนสนิทของจักรพรรดิ ทั้งยังเป็นสหายร่วมรบกันมานานปี คงมีบทสนทนาระหว่างสหายรู้ใจไม่น้อยที่ต้องการคุยกัน ไฉนตนเองมิลองแอบฟังสักหน่อยว่ายามอยู่กันส่วนตัวพวกเขาคุยสิ่งใดกัน

หลี่เสี่ยนตัดสินใจเลิกผ้าม่านเดินเข้าไปด้านในกระโจม ร่างกายเพิ่งเข้าไปซ่อนหลังม่าน ประตูกระโจมก็ถูกจิงฉือเปิดออก เขาก้าวพรวดเดินเข้ามา ตรงไปนั่งข้างโต๊ะ จากนั้นเทกาน้ำชาบนโต๊ะรินชาใสถ้วยใหญ่มาดื่มคำหนึ่งจนหมด เซวียนซงตามเข้ามาทีหลัง เห็นภาพนี้ก็ส่ายศีรษะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพยังชอบกระดกรวดเดียวเช่นนี้อยู่เช่นเดิม น่าเสียดายชาบรรณการชั้นเลิศนี่จริงๆ นี่เป็นถึงชาชั้นดีที่ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพแพ้ดวลหมากให้ข้าเมื่อหลายวันก่อนเชียวนะ”

เมื่อจิงฉือได้ยินคำว่า ‘ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพ’ น้ำชาในปากก็พ่นออกมาทันที เขาหัวเราะดังลั่น “ที่แท้ก็ได้มาจากดวลหมากชนะ เรื่องนั้นง่ายนักละ สมัยก่อนทั้งจวนแม่ทัพเทียนเช่อมีผู้ใดมิทราบบ้างว่าแม้ท่านเจียงเก่งกาจเป็นเลิศในใต้หล้า แต่ดันมีฝีมือเดินหมากดาษดื่น มีครั้งหนึ่งพ่ายแพ้ยับเยิน ถึงกับแต่งบทกวีเจ็ดคำปฏิเสธการดวลหมากอย่างสิ้นเชิง แม้ข้าจะความจำมิเอาไหนแต่ก็ยังพอจำได้ บทกวีบทนั้นว่าไว้เช่นนี้ ‘ชีวิตมีสิ่งให้ครวญคิด มิอาจติดพันเฝ้าดวลหมาก หาใช่หวั่นเกรงยากลำบาก หากแต่ชังหมากแบ่งดำขาว’”

หลี่เสี่ยนที่อยู่หลังม่านเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เรื่องนี้เขาเองก็ทราบอยู่ เขาถึงขนาดทราบด้วยว่าสาเหตุที่จิงฉือจดจำได้ชัดเจนเช่นนี้ ความจริงเป็นเพราะวันนั้นจิงฉือคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง แล้วกลั้นมิไหวล้อเลียนเจียงเจ๋อออกมาสองสามประโยค เจียงเจ๋อจึงลงโทษเขาให้คัดบทกวีบทนี้หนึ่งร้อยจบ ในอดีตแม้จวนยงอ๋องคุ้มกันแน่นหนา แต่สำนักเฟิงอี้ก็ยังมีสายสืบอยู่ในจวนยงอ๋องจำนวนหนึ่ง หลี่เสี่ยนจึงได้ฟังเรื่องเหล่านี้มาจากฉินเจิง แต่ต่อมาจวนยงอ๋องฝั่งนั้นควบคุมเข้มงวดขึ้นทุกที ท้ายที่สุดจึงยากจะได้ข่าวสารมีประโยชน์อันใดมาอีก

เซวียนซงย่อมมิทราบความลับในเรื่องนี้ เขาถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “ฉู่เซียงโหวเป็นผู้ถ่อมตัว วางเฉยต่อลาภยศชื่อเสียง แต่กลับจงรักภักดี ทุ่มเทสิ้นเรี่ยวแรง ในอดีตเคยได้ยินว่าใต้เท้าเจียงตรากตรำเหน็ดเหนื่อยจนล้มเจ็บหนักแทบลุกมิขึ้น เซวียนซงแต่เดิมเพียงฟังผ่านหู คิดไม่ถึงมื่อวานจะได้เห็นกับตา

เมื่อวานตอนใต้เท้าเจียงออกเดินทาง เกือบจะขึ้นรถม้าเองมิได้ เขาคงเหนื๋อยล้าจนถึงขีดสุดแล้ว พวกเราทำได้เพียงทุ่มแรงกายแรงใจทำให้แผนการที่ใต้เท้าเจียงวางไว้บรรลุผล มิเช่นนั้นเบื้องบนผิดต่อพระคุณของฝ่าบาท เบื้องล่างก็ผิดต่อความทุ่มเทของใต้เท้าเจียง”

หลี่เสี่ยนฟังแล้วร่างกายสั่นเทา แน่นอนว่าเขาเห็นเหตุการณ์ที่พระราชวังเลี่ยกงมาเองกับตา ในตำหนักเสี่ยวซวง เจียงเจ๋อซูบตอบ ผ่ายผอมจนเห็นกระดูก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง จอนผมสองข้างขาวเป็นดวง เกือบจะเรียกได้ว่าหายใจรวยริน ส่วนยามเขาพบเจียงเจ๋ออีกหนที่ตงไห่ แม้เจียงเจ๋อจะกลับมาแข็งแรงแล้ว แต่เส้นผมสีเทาทั้งศีรษะกับจอนผมสีขาวประปรายนั่นก็ยังคงทำให้หัวใจของหลี่เสี่ยนหม่นหมอง

หลายวันที่ผ่านมา แม้เจียงเจ๋อจะมีท่าทางผ่อนคลาย แต่หลี่เสี่ยนก็ทราบว่าเจียงเจ๋อมักจะอ่านข่าวสารต่างๆ จนกระทั่งค่ำมืดเสมอ แล้วเขายังตระเตรียมสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีเหตุไม่มีผลมากมายด้วยตนเองอีก หลี่เสี่ยนทราบความสามารถในการวางแผนการของเจียงเจ๋อดี เขาย่อมมิคิดว่าเจียงเจ๋อแอบเกียจคร้าน

เมื่อวานยามได้ยินว่าเจียงเจ๋อจะหนีไปก่อน หลี่เสี่ยนก็เพียงขุ่นเคืองเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ทราบว่าร่างกายของเจียงเจ๋อน่าจะทนการเดินทัพยามพ่ายศึกมิไหว ดังนั้นจึงมิโกรธเคืองจริงจัง แต่เมื่อได้ยินว่าก่อนจากไปเจียงเจ๋ออ่อนแรงถึงเพียงนี้ หัวใจก็วิตกกังวลอย่างห้ามมิได้ หากโรคเก่าของเจียงเจ๋อกำเริบขึ้นมาอีกหนจะทำเช่นไรดีเล่า นอกจากตนเองคงไม่สบายใจ อีกประการหนึ่งจะอธิบายกับฝ่าบาทและองค์หญิงฉางเล่อเช่นไร

เมื่อความคิดเขาสับสน ลมหายใจก็หนักอึ้งขึ้นในทันใด จิงฉือที่อยู่ด้านนอกได้ยินว่าเจียงเจ๋อสภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก เดิมทีก็กำลังคิ้วขมวดเป็นปมอยู่เช่นกัน ทว่าพอได้ยินเสียงลมหายใจด้านใน หัวใจพลันตื่นตระหนก ยื่นมือไปกุมด้ามดาบเอ่ยขึ้นว่า “ผู้ใดอยู่ด้านใน เหตุใดลอบแอบฟังอยู่ตรงนี้”

เซวียนซงเป็นแม่ทัพสายกลยุทธ์ วรยุทธ์ธรรมดา เมื่อได้ยินเสียงตวาดของจิงฉือก็ลุกขึ้นขยับไปทางประตูกระโจมทันควัน หากมีมือสังหารหรือสายลับอยู่จริง ถ้าเช่นนั้นเขาย่อมมิต้องการเป็นตัวถ่วงยามจิงฉือลงมือ ทันใดนั้นก็เห็นม่านกั้นกระโจมด้านในเลิกเปิด ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนก้าวออกมา สีหน้าเย็นยะเยือก สั่งอย่างเฉยชา “แม่ทัพเซวียน สั่งให้กองทัพเราเตรียมเก็บสัมภาระทันที เริ่มถอยทัพตามแผนการ ข้ามิมีอารมณ์เปลืองเวลากับคนเป่ยฮั่นแล้ว”

เซวียนซงกับจิงฉือล้วนตกตะลึง แต่เห็นสีหน้าฉีอ๋องไม่สบอารมณ์ อีกทั้งระหว่างพวกเขามียศสูงต่ำกางกั้นมิอาจตำหนิท่านอ๋องผู้นี้ว่าลอบฟังผู้อื่นคุยกันได้ จึงรีบขานรับ ออกไปจัดการงานทันที แผนการเดิมคือต้องตั้งมั่นอยู่ที่นี่สองถึงสามวัน แล้วค่อยเคลื่อนทัพถอยครั้งใหญ่ แต่ในเมื่อฉีอ๋องต้องการเปลี่ยนแผนการ อีกทั้งเซวียนซงก็รู้สึกว่ามิส่งผลกระทบมากนักจึงมิโต้แย้ง

เวลานี้ดวงตะวันลอยอยู่สูงเหนือศีรษะ กองทัพเป่ยฮั่นเริ่มท้าท้ายอยู่หน้าหุบเขาเพื่อมิให้กองทัพต้ายงสงสัย กองทัพเป่ยฮั่นตะโกนท้าสู้ไม่หยุด นอกจากนั้นยังสร้างอาวุธโจมตีอยู่ด้านนอก ไม่เผยพิรุธแม้สักนิด หากเป็นยามปกติ หลี่เสี่ยนอาจนำทัพออกไปประจันหน้ากับกองทัพศัตรูด้วยตนเองแล้ว แต่หลังจากเขาได้ฟังเรื่องที่เจียงเจ๋อล้มป่วย จิตใจก็อึมครึม คร้านจะยกทัพออกรบ จึงให้จิงฉือพากองทัพออกไปต่อกรกับศัตรู

กลางกระบวนทัพของเป่ยฮั่น หลงถิงเฟยกับหลินปี้ขี่อาชาเคียงกันอยู่ พวกเขามองสองกองทัพที่ประจันหน้ากันอยู่ที่ปากหุบเขา สีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานหลงถิงเฟยจึงเอ่ยอย่างหม่นหมอง “เมื่อวานกองทัพต้ายงเพิ่งพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ แต่เพิ่งผ่านไปคืนเดียวก็มองมิเห็นบรรยากาศหดหู่แล้ว ขวัญกำลังใจของกองทัพต้ายงช่างมั่นคง กองทัพเราสู้มิได้”

ในใจหลินปี้มีความรู้สึกเดียวกัน จึงกล่าวขึ้นว่า “ยามนี้ต้ายงเบื้องบนมีจักรพรรดิผู้ปรีชา เบื้องล่างมีแม่ทัพมากความสามารถ พลหทารเชื่อฟังบัญชา ล้วนยินดีสละชีพ น่าเสียดายเป่ยฮั่นของพวกเราอัตคัด แม้เบื้องบนเบื้องล่างน้ำหนึ่งใจเดียว แต่ไร้กำลังทำดั่งใจหวัง”