หลงถิงเฟยหัวเราะ “น้องปี้อย่าเศร้าหมองไป ขอเพียงครั้งนี้พวกเราสังหารหลี่เสี่ยนได้ ต้ายงย่อมสูญเสียสาหัส หลายปีนับจากนี้อย่าได้หวังยกพลบุกชิ่นโจว ถึงยามนั้นพวกเราค่อยใช้กลยุทธ์ล้อมตี ร่วมมือกับหนานฉู่ ตงชวน ถึงเวลาต้ายงย่อมมิเรืองอำนาจเท่าวันนี้แล้ว”
หลินปี้ยิ้มน้อยๆ นางทราบว่าหลงถิงเฟยเพียงปลอบนางเท่านั้น ต้ายงไหนเลยจะล่มสลายง่ายดายเช่นนั้น ในใจนางมีเรื่องที่กังวลยิ่งกว่านั้น ครานี้ยกทัพออกจากไต้โจวนางรับปากบิดากับพี่ชายไว้ว่าต้องเร่งเดินทางกลับไต้โจวก่อนเดือนสี่ วันที่ยี่สิบ พวกคนเถื่อนกระเหี้ยนกระหือรือ ไต้โจวมีทหารม้าเพียงหนึ่งหมื่น แม้ทหารและประชาชนไต้โจวจะเตรียมพร้อมรบทุกค่ำคืน พี่ใหญ่ พี่รองต่างก็เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญ แต่พวกเขาหาใช่ยอดแม่ทัพไม่ บิดาก็เจ็บป่วยลุกจากเตียงมิได้ ตนเองไฉนจะวางใจลง
ณ ปากทางเข้าหุบเขา สองกองทัพกำลังทำศึกอย่างดุเดือด รองแม่ทัพหนุ่มใต้บัญชาของจิงฉือคนหนึ่งห้าวหาญเป็นที่สุด เขาพุ่งเข้าไปในกระบวนทัพของเป่ยฮั่นหลายครั้งหลายหนอย่างมิรักตัวกลัวตาย ยามพาร่างกลับมายังกองทัพต้ายงได้ ล้วนมีเสียงตะโกนให้กำลังใจเขาดังลั่น หลงถิงเฟยขมวดคิ้ว กำลังจะสั่งให้คนสังหารรองแม่ทัพของกองทัพศัตรูผู้นี้เสีย เซียวถงก็ผลุนผลันวิ่งมารายงานเสียงเบา “ท่านแม่ทัพ ให้พี่น้องสกุลลู่ยกทัพออกไป รองแม่ทัพผู้นั้นเป็นคนของพวกเรา เขาจักต้องมีข่าวด่วนต้องการแจ้งแน่”
หลงถิงเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ตะโกนสั่งเสียงดัง “ปั๋วเหยียน จ้งเทียน ซูหัน พวกเจ้านำทัพออกไป จักต้องสังหารรองแม่ทัพผู้นี้ให้จงได้” สามพี่น้องสกุลลู่กระเหี้ยนกระหือรืออยู่ก่อนแล้ว พวกเขารีบขานรับพร้อมกัน เซียวถงถอยไปด้านข้างสั่งการอยู่ข้างลู่ซูหันสองสามประโยค ดวงตาของลู่ซูหันทอประกายเย็นยะเยือก ตามหลังพี่ชายสองคนเข้าสู่สนามรบ
ไม่นานทั้งสามคนก็ฝ่ามาถึงด้านหน้า ลู่ปั๋วเหยียนกับลู่จ้งเทียนนำทหารบุกตะลุยไปสังหารจิงฉือด้วยตนเอง ส่วนลู่ซูหันนำทัพไปขวางรองแม่ทัพผู้นั้นอย่างเจตนาแต่มิคล้ายเจตนา ทั้งกองทัพฝ่ายตนและกองทัพฝ่ายศัตรูล้วนคิดว่ากองทัพเป่ยฮั่นต้องการจะสำแดงศักดาจึงมิรู้สึกว่าแปลกแต่อย่างใด
รองแม่ทัพผู้นั้นชูแหลนอาชาพุ่งเข้ามา คนอาศัยแรงส่งจากอาชา เรี่ยวแรงจึงมากมายมิอาจขวาง แต่ลู่ซูหันเป็นถึงแม่ทัพผู้กล้าที่มิด้อยกว่าแม่ทัพเซียนเฟิงซูติ้งหลวนในวันวาน เขายิ้มเย็นชา แหลนอาชางัดขึ้น รองแม่ทัพผู้นั้นร้องตกใจ อาวุธหลุดจากมือ ลู่ซูหันตวาดดุดันคำหนึ่ง แหลนอาชาพลันกวาดขวาง โจมตีถูกบั้นเอวของรองแม่ทัพผู้นั้นพอดีจนกวาดเขาลงจากหลังม้า แต่รองแม่ทัพผู้นั้นมิยอมแพ้ คนร่วงจากหลังอาชาแล้วก็ยังกระโจนเข้าใส่ ลู่ซูหันเงื้อแหลนอาชาแทงลงเบื้องล่าง ขณะที่กำลังจะแทงทะลุคอหอยของรองแม่ทัพผู้นั้น รองแม่ทัพผู้นั้นพลันพลิกกายกลางอากาศ แหลนอาชาเฉียดผ่านแก้มของเขาปักลงบนดินโคลน
รองแม่ทัพผู้นั้นลุกยืนมิไหว เซทรุดนั่งบนพื้น แต่เขากลับยกมือขึ้น มีดบินคมวาววับเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่หน้าของลู่ซุหันดุจดาวตก ลู่ซูหันหลบมิทันจึงอ้าปากกัดสกัดมีดบินเล่มนั้นไว้ พริบตานี้เองรองแม่ทัพผู้นั้นก็ถูกกทหารต้ายงที่บุกทะลวงเข้ามาช่วยจากไป
สองทัพรบกันชุลมุน ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่การเข่นฆ่า แต่การประมืออันเด็ดขาดฉับไวครั้งนี้ของทั้งสองคนก็ยังตกอยู่ในสายตาของผู้คน ทั้งสองกองทัพล้วนมีแต่บุรุษแกร่งกล้า พวกเขาเคารพนับถือผู้กล้ามากที่สุด ลู่ซูหันจู่โจมดุดัน รองแม่ทัพผู้นั้นก็ปราดเปรียวประหนึ่งปีศาจจิ้งจอก แม้แพ้พ่ายก็มิเสียหน้าเท่าใดนัก ดังนั้นมิว่ากองทัพต้ายงหรือกองทัพเป่ยฮั่นล้วนโห่ร้องชื่นชมเป็นเสียงเดียว ครั้งนี้กองทัพเป่ยฮั่นกอบกู้หน้าตากลับมาได้ สองทัพโรมรันกันเป็นเวลานาน เมื่อเห็นดวงตะวันลอยอยู่กลางฟ้า ทั้งสองฝ่ายก็ต่างเคาะสัญญาณ ทยอยถอยกลับไป
ลู่ซูหันกลับมาถึงค่ายของกองทัพเป่ยฮั่นก็ปลีกตัวจากแม่ทัพทั้งหลาย นำมีดบินเล่มนั้นมาส่งให้แก่เซียวถง เซียวถงบิดด้ามมีดเบาๆ ด้านมีดเล่มนั้นข้างในกลับกลวงเปล่า ด้านในยัดกระดาษไว้ม้วนหนึ่ง บนนั้นเขียนอักษรตัวเล็กเท่าหัวแมลงวันไว้เต็มแน่น
‘ในกองทัพลือกันว่าฉู่เซียงโหวโรคเก่ากำเริบเดินทางกลับเจ๋อโจวแล้ว ฉีอ๋องตัดสินใจถอยทัพเร็วขึ้น เริ่มบ่ายวันนี้’
เมื่ออ่านสารบนนั้นจบ หลงถิงเฟยก็มีสีหน้ากังวลระคนยินดี เขาส่งกระดาษให้หลินปี้เงียบๆ นิ้วมือเคาะโต๊ะแผ่วเบาคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด
ผ่านไปพักใหญ่หลินปี้จึงเงยหน้าเอ่ยขึ้นว่า “หากฉู่เซียงโหวล้มป่วยจริง ถ้าเช่นนั้นนี่ก็เป็นโอกาสดีที่สุด ระหว่างจักรพรรดิแห่งต้ายงกับฉีอ๋องล้วนต้องอาศัยคนผู้นี้เป็นกันชนช่วยให้ปรองดอง ฉู่เซียงโหวล้มป่วย เวลานี้ฉีอ๋องจักต้องวิตกอยู่ในใจ ดังนั้นจึงเร่งความเร็วการถอยทัพ เมื่อเป็นเช่นนี้กองทัพต้ายงคงเสียขวัญกำลังใจและเดินทัพรีบร้อนอย่างเลี่ยงมิได้ หากกองทัพเราต้องการคว้าชัยชนะย่อมง่ายดายขึ้นมาก”
หลงถิงเฟยขมวดคิ้วแย้ง “แต่เรื่องนี้ยากจะตัดสินว่าจริงหรือลวง ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพต้ายงเร่งความเร็วการถอยทัพ แผนการใช้ไฟโจมตีของพวกเราย่อมได้ผลน้อยลงมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เซียวถง เจ้าคิดว่าข่าวนี้เป็นความจริงหรือไม่”
เซียวถงตอบอย่างนอบน้อม “คนผู้นี้เป็นศิษย์สายรองของพรรคมารเรา เขาเป็นคนเป่ยฮั่น บิดามารดาและครอบครัวล้วนอยู่ในจิ้นหยาง สองปีก่อนกองทัพเราบุกปล้นเจ๋อโจว ฆ่าล้างบางหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้น้อยจึงส่งเขาไปสวมรอยเป็นชาวบ้านคนหนึ่งในนั้นที่ถูกสังหาร สองปีที่ผ่านมามิเคยใช้งานสายลับผู้นี้ ดังนั้นผู้น้อยจึงเชื่อว่าตัวตนของคนผู้นี้มิเคยถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นข่าวสารที่เขาเสี่ยงอันตรายส่งมาก็สำคัญยิ่งยวด แต่กลับสั้นกระชับมิละเอียด สอดคล้องกับตำแหน่งของเขา เมื่อวานจิงฉือเพิ่งรวมพลกับกองทัพต้ายง สายลับผู้นี้ย่อมไม่มีทางทราบเรื่องพวกนี้อย่างละเอียดนัก คนผู้นี้ฉลาดเฉลียวตัดสินใจเก่ง หากมิมั่นใจว่าจริงหรือลวงคงมิเสี่ยงอันตรายทำเช่นนี้แน่”
หลงถิงเฟยกับหลินปี้ต่างพยักหน้าเงียบๆ ทั้งสองคนสบตากัน ในใจต่างตัดสินใจแล้ว หลงถิงเฟยลุกขึ้นกล่าวว่า “ถ่ายทอดคำสั่งให้อู๋ตี๋ แม้ยังเทน้ำมันดำลงไปมิหมดก็ช่าง คืนนี้เริ่มใช้ไฟโจมตี หลังจากนั้นยามพวกเราไล่จู่โจมกองทัพต้ายง จงแพร่ข่าวลือออกไปว่าฉู่เซียงโหวจงใจวางแผนร้ายให้ฉีอ๋องพ่ายแพ้ เวลานี้เมื่อข้าศึกประชิดจึงหนีเอาตัวรอดไปแล้ว ถึงยามนั้นจิตใจของทหารต้ายงย่อมสับสน มิแน่ว่าหลี่เสี่ยนก็อาจคิดเช่นนี้ด้วย”
ตกดึกคนสงัด เหนือแม่น้ำชิ่นสุ่ย ทหารเป่ยฮั่นพันกว่านายสวมชุดอำพรางตัวสีเข้ม ย่องเงียบกริบมาเทน้ำมันดำถังแล้วถังเล่าลงในแม่น้ำชิ่นสุ่ย รัตติกาลมืดมิด จันทราดาราอับแสง เหนือแม่น้ำชิ่นสุ่ยอันดำมืดมีน้ำมันสีดำชั้นหนาลอยอยู่ น้ำมันสีดำไหลลงไปยังปลายน้ำ กองทัพต้ายงภายในหุบเขามิมีผู้ใดสังเกตแม้แต่น้อย หลงถิงเฟยกับหลินปี้ยืนอยู่ริมฝั่ง ทั้งสองคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด จากที่พวกเขาคาดการณ์ ภายในเวลาหนึ่งวัน อย่างน้อยกองทัพต้ยงก็อพยพไปได้หนึ่งในสามส่วนแล้ว หากโชคร้ายถูกกองทัพต้ายงที่ลาดตระเวนยามค่ำคืนค้นพบน้ำมันดำในแม่น้ำอีก ถ้าเช่นนั้นโอกาสชนะก็ยิ่งน้อยลงกว่าเดิม
ต้วนอู๋ตี๋เดินมาข้างคนทั้งสองแล้วกระซิบรายงาน “จากความเร็วของกระแสน้ำ ราวยามสี่ก็น่าจะกระจายไปทั่วลำน้ำสามสิบลี้แล้ว องค์หญิง ท่านแม่ทัพ พวกเราจำต้องจุดไฟยามนั้น”
หลินปี้พยักหน้าเบาๆ แล้วถอนหายใจเล็กน้อย แม้ยามอยู่ไต้โจวนางเองก็เป็นคนเหี้ยมหาญเช่นกัน แต่ส่วนมากล้วนใช้คมอาวุธประหัตประหาร กลอุบายวางเพลิงเผา ปล่อยวารีโจมตีเช่นนี้แทบมิเคยใช้มาก่อน หัวใจรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยอย่างเลี่ยงมิได้ เพราะมิว่าเช่นไรผู้กล้าแห่งไต้โจวก็ชอบฟาดฟันบนสนามรบอย่างสง่าผ่าเผยมากที่สุด หลงถิงเฟยกลับมีสีหน้านิ่งสงบ กล่าวว่า “ดี หวังว่าพระเพลิงกองนี้จะแผดเผาความกล้าหาญกับความเชื่อมั่นของกองทัพต้ายงให้มอดไหม้”
ด้านในหุบเขา กระโจมแม่ทัพของกองทัพต้ายงยังจุดโคมสว่างไสว วันนี้เพราะหลี่เสี่ยนยืนกรานจึงเคลื่อนพลเดินเท้าสองหมื่นนายกับทหารม้าหนึ่งหมื่นกว่านายถอยไปแล้ว หลี่เสี่ยน จิงฉือกับเซวียนซงสามคนกำลังหารือข้ามคืนว่าจะถอนทหารเช่นไร จนกระทั่งดึกดื่นก็ยังมิได้พักผ่อน พวกเขามิทราบอย่างสิ้นเชิงว่าแม่น้ำชิ่นสุ่ยซุกซ่อนแผนสังหาร กระแสน้ำไหลเร็วไว คืนนี้สายลมพัดลงไปยังปลายน้ำ อีกทั้งน้ำมันดำเหล่านั้นถูกจัดการมาแล้วจึงมิส่งกลิ่นฉุนแสบจมูก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดค้นพบอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่
ยามสาม ค่ายทหารของต้ายงแทบมิมีสุ้มเสียงใดแล้ว นอกจากทหารเวรยามที่เฝ้าปากหุบเขา คอยระวังกองทัพเป่ยฮั่นฉวยโอกาสค่ำคืนลอบจู่โจม ทุกคนล้วนกำลังหลับใหล เวลานี้เอง คนสองคนก็เดินออกมาจากกระโจมหลังน้อยหลังหนึ่ง สองคนนี้สวมชุดเกราะสีเขียว แสงคบไฟข้างกระโจมส่องกระทบจึงเห็นว่าเรือนร่างของทั้งสองคนอ้อนแอ้นบอบบาง ที่แท้เป็นสตรีสองนาง สองคนนี้ก็คือซูชิงกับหรูเย่ว์หญิงรับใช้คนสนิทของนาง