เล่ม 1 ตอนที่ 207-2 โทสะของนายท่านจี

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 207-2 โทสะของนายท่านจี

เมื่อฟ้าสว่าง พวกเขาตื่นขึ้นมา คนเรือกลับหายไปแล้ว

เพียงแต่ว่า ผู้ใดจะสนใจคนเรือคนหนึ่งเล่า

หากจีหว่านไม่ถามขึ้นมา ชั่วชีวิตนี้คังหมิ่นก็คงไม่นึกถึงคนเรือผู้นั้น

จีหว่านฟันธง “ต้องเป็นคนเรือคนนั้น! คนเรือติดโรคฝีดาษ ฉวยโอกาสที่พวกเจ้าหลับ ส่งต่อโรคฝีดาษให้พวกเจ้า!”

เฉียวเวยลูบปลายคาง มิน่าแม่เลี้ยงที่ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับคุณชายซุนเช่นเดียวกันกลับไม่ติดโรคฝีดาษ ก็เพราะว่าลงมือหลังจากนางไปแล้วนี่เอง หากเป็นเช่นนี้ ทุกสิ่งก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้ว

จีหว่านหันไปมองสวินหลันด้วยแววตาเย็นชา “คราวนี้เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ”

สวินหลันตอบว่า “ข้าฟังไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน”

จีหว่านโต้ “พยานหลักฐานพร้อมสรรพ เจ้าปากแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์”

สวินหลันตอบอย่างเรียบเฉย “พยานที่เจ้าพูดถึงก็คือการหาคนที่ข้าไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าคนหนึ่งมา แล้วใช้เรื่องที่ข้าไม่เคยทำมากล่าวหาข้าหรือ”

จีหว่านหัวเราะเยาะหยัน พูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่เคยทำจริงๆ เหตุใดข้าต้องมากล่าวหาเจ้าเล่า เจ้าเคยล่วงเกินข้าหรือ เจ้าแย่งมรดกของตระกูลข้าหรือ มรดกที่ข้ากับเจ้าสมควรได้รับก็ได้รับถึงมือหมดแล้ว ของที่ไม่สมควรแบ่งมาถึงมือ ต่อให้เจ้าตาย ข้าก็ไม่ได้รับแม้แต่อีแปะเดียว สมองข้าน้ำเข้าหรืออย่างไรจึงจะเสี่ยงมาล่วงเกินท่านพ่อของข้าเพื่อเปิดโปงความผิดของเจ้า”

จีหว่านกล่าวไม่ผิด ระหว่างสวินซื่อกับนางไม่มีผลประโยชน์ประการใดขัดแย้งกัน สวินซื่อดีต่อจีหว่านไม่น้อยมาตลอด จีหว่านไม่มีความจำเป็นต้องวิ่งไปใส่ความสวินหลันจริงๆ ทำเช่นนี้ มีประโยชน์อะไรต่อจีหว่านเล่า

หากกล่าวว่าจีหว่านริษยาสวินหลันที่แย่งตำแหน่งขององค์หญิงเจาหมิงไป ถ้าเช่นนั้นก็ไม่สมควรสร้างความลำบากให้สวินหลันในยามที่ตำแหน่งในตระกูลจีของสวินหลันมั่นคงแล้ว

ต้องทราบว่าหลายปีที่ผ่านมา จีหว่านมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่จะขัดแข้งขัดขาสวินหลัน แต่นางไม่เคยทำ

หากไม่ใช่เพราะสวินหลันเคยทำความผิดมาจริงๆ จีหว่านไยต้องทำถึงขั้นนี้

สวินหลันกำนิ้วมือแน่น

จีหว่านหัวเราะ ยกมือลูบจอนผม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าหลอกลวงความรู้สึกของบิดาข้าก่อน แล้วยังเจตนาวางแผนสังหารคุณชายซุนกับสหายผู้ไร้ความผิดของเขาเหล่านั้น คนเช่นเจ้ามิคู่ควรเป็นภรรยาของบิดาข้าจริงๆ! แต่บิดาข้ารักเจ้าลึกซึ้งเกินไป เรื่องเดียวเกรงว่าจะมิอาจทำให้เขาหมดเยื่อใยได้ โชคดีเจ้าช่างให้ความร่วมมือดียิ่งนัก ไม่ได้เคยทำมาเพียงเรื่องเดียว”

พูดพลาง จีหว่านก็มองไปด้านนอกประตู “เย่ว์จิ่น ผู้เฒ่าหู พวกเจ้าเข้ามาได้แล้ว”

ตระกูลจีใช่ว่าจะปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาก็ได้ แม้แต่จีหว่านก็ไม่อาจพาคนแปลกหน้าสามคนห้าคนเดินเข้ามาในจวนได้ตามใจ แต่มีเหล่าฮูหยินเป็นผู้ออกหน้า จึงพาคนเข้ามาได้อย่างราบรื่น

เย่ว์จิ่นกับผู้เฒ่าหูต่างเล่าเรื่องที่ตนเองรู้มา เหมือนที่บอกกับจีเหล่าฮูหยินก่อนหน้านี้ไม่แตกต่างกันสักสิ่ง

บรรยากาศรอบตัวจีซั่งชิงค่อยๆ เข้าสู่จุดเยือกแข็ง

เฉียวเวยสัมผัสได้ถึงความตกตะลึงและความโกรธเกรี้ยวของเขา แล้วก็ลอบถอนหายใจ เหล่าฮูหยินกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของบุตรชายจึงเล่าความจริงออกมาเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่นางก็นึกยินดีที่แม้จีหว่านจะใจอ่อนแต่เมื่อถึงเวลาสำคัญก็ยังพึ่งได้

เมื่อเย่ว์จิ่นกับผู้เฒ่าหูเล่าเรื่องทุกอย่างจนหมด พู่กันที่จีซั่งชิงกำอยู่ในมือก็หักเป็นสองท่อนตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

“ความจริงก็คือแบบนี้ โรคฝีดาษของคุณายซุนก็ดี การที่คุณชายหยวนหนีตามไปกับหมู่ตานแห่งหอคณิกาก็ดี หรือเรื่องที่คุณชายโจวตายกะทันหันในคืนวันแต่งงานก็ดี ทั้งหมดล้วนมิใช่เรื่องบังเอิญ ก่อนคุณชายซุนเกิดเรื่องเคยพบสวินซื่อ ตอนคุณชายโจวตายอย่างกะทันหัน สวินซื่อก็อยู่ในเหตุการณ์ คุณชายหยวนไม่เคยพบหน้านาง แต่หมู่ตานเคยพบคนผู้หนึ่ง ต่อให้คนผู้นั้นไม่ใช่สวินซื่อ แต่ก็คงมีความเกี่ยวพันกับสวินซื่อตัดกันไม่ขาดอย่างแน่นอน” จีหว่านพูดพลางหันไปมองจีซั่งชิง “ท่านพ่อ ข้าต้องการพูดเท่านี้ เชื่อหรือไม่เชื่อแล้วแต่ท่าน ทำเช่นไรก็แล้วแต่ท่าน ถึงอย่างไรข้าก็แต่งออกไปแล้ว เรื่องของตระกูลจี จะว่าไปแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้าสักเท่าใด อย่างมากข้าก็ทำเป็นมองไม่เห็นไม่เก็บมาคิด หลังจากนี้ไม่กลับมาอีกก็เท่านั้น!”

จีซั่งชิงสีหน้าซับซ้อน

จีหว่านมองพวกคังหมิ่นแล้วหันไปมองสวินหลันอีกหน แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิด “พยานพวกนี้ระหว่างทางมาถูกสะกดรอยลอบสังหาร ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่ามีคนรู้ว่าข้ากำลังสืบเบื้องลึกเบื้องหลังของนางอยู่ หากว่าบังเอิญก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นหนที่สอง”

สวินหลันหลุบตาลง ทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมืออย่างเงียบๆ

จีหว่านหันไปมองจีซั่งชิงอีกหน “ท่านพ่อ ท่านยังมีสิ่งใดต้องการถามพวกเขาอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้ว ข้าจะพาคนออกไปก่อน”

จีซั่งชิงดูราวกับเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดภายในชั่วพริบตา เขายกมือขึ้น ตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ออกไปเถิด”

จีหว่านพาพวกคังหมิ่นหมุนตัวเดินออกไป

ตอนที่เกือบจะก้าวข้ามธรณีประตูอยู่แล้ว จีซั่งชิงก็เรียกจีหว่านไว้ “เหตุใดจู่ๆ เจ้าจึงสืบเรื่องเหล่านี้”

“เพราะเหตุใดก็ไม่สำคัญกระมัง” จีหว่านชะงักเท้า ยกมือขึ้นลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบ “ข้าตั้งครรภ์แล้ว หนนี้ข้าไม่อยากจะแท้งซ้ำอีก”

จีซั่งชิงมองไปทางจีหว่านอย่างตกตะลึง จีหว่านกลับไม่พูดอันใดอีก ก้าวเท้าเดินออกจากเรือนถงไป

สาวใช้ในเรือนถงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จู่ๆ นายท่านก็เรียกฮูหยินเข้าไปในห้องหนังสือ จากนั้นกูหน่ายนายก็พาชาวบ้านยากจนสองสามคนบุกเข้าไปในห้องหนังสือ สาวใช้ทั้งหลายมองหน้ากัน แล้วมองพวกจีหว่านที่เดินจากไปอย่างหวาดกลัว พวกนางลอบรวมตัวกันอยู่ในลานบ้านอย่างเงียบๆ ใจอยากจะแอบส่องดูในห้องหนังสือ อยากรู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

“ซั่งชิง” สวินหลันกุมมือของจีซั่งชิงเบาๆ

จีซั่งชิงสะบัดมือของนางออกด้วยอารมณ์อันซับซ้อน “ประโยคสุดท้ายของหวานหว่านนั่น หมายความว่าอย่างไร”

สวินหลันส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบ”

จีซั่งชิงถามอย่างอดกลั้น “เจ้าไม่ทราบหรือเจ้าไม่อยากพูด”

สวินหลันตอบเสียงเบา “ข้าไม่ทราบจริงๆ”

จีซั่งชิงมองดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นที่เคยทำให้เขาลุ่มหลงอย่างหักห้ามใจตนเองไม่ได้ ในยามนี้มันกลับทำให้คนขนลุกชัน “เจ้าคนเดียวทำเรื่องพวกนี้ไม่ได้ คนผู้นั้นเป็นผู้ใด”

สวินหลันย่อตัวลงไปนั่ง มือข้างหนึ่งวางบนขาของเขา แหงนหน้ามองเขาด้วยแววตาจริงใจ “ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ข้าไม่รู้”

จีซั่งชิงหลบดวงตาอันอ่อนโยนคู่นั้น ผินหน้าหนีไปมองมุมอันมืดสลัว แล้วเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ “เรื่องที่พบกลุ่มโจรระหว่างทางกลับเมืองหลวงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญด้วยใช่หรือไม่!”

“ซั่งชิง” สวินหลันมองเขาอย่างเสียใจ “ท่านไม่เชื่อใจข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”

จีซั่งชิงเอ่ยอย่างขมขื่น “ก็เพราะว่าข้าเชื่อเจ้าจึงแต่งเจ้าเข้าบ้านมา ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเทียบเท่ากับเจาหมิง แต่สุดท้าย…กลับพบว่าเจ้าหลอกลวงข้ามาตลอด! เจ้าปิดบังข้ามากมายเท่าใดกันแน่!”

“ซั่งชิง…”

จีซั่งชิงปัดมือของนางที่อยู่บนขาของเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน “เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน”

สวินหลันจับแขนของเขาไว้ “ซั่งชิง…”

จีซั่งชิงชักแขนออก มองนางอย่างเย็นชา “ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง บอกชื่อคนผู้นั้นมา หรือไม่ก็ออกไปจากตระกูลจีเสีย”

สวินหลันหน้าถอดสี ดวงตาฉายแววลนลานเล็กน้อย “ซั่งชิง”

แม่เลี้ยงสาวในที่สุดก็หน้าถอดสีแล้ว ดูท่านางก็มิใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนนะ นางทุ่มเทวางแผนเพื่อแต่งเข้ามาในตระกูลจี ลำบากนักกว่าจะมีตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ หากออกจากตระกูลจีไป นางก็ไม่เหลือสิ่งใดทั้งสิ้น

แต่นางก็ขายคนผู้นั้นง่ายๆ ไม่ได้ นางกัดฟันบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ หากนางขายพรรคพวกคนนั้นออกมา ไยมิเท่ากับยอมรับว่าตนเองเคยทำความผิดจริงๆ ดังนั้นนางไม่อาจบอก แต่หากไม่บอก จีซั่งชิงก็จะขับไล่นางออกจากตระกูลจี

สิ่งใดเรียกว่ายากรุกยากถอย ก็คงเป็นเช่นนี้เอง

แม่เลี้ยงหนอแม่เลี้ยง ตอนวางยาห้าทิวาสราญใส่ข้า คงไม่คิดว่าตนเองจะมีวันนี้ล่ะสิ

“เจ้ามีเวลาหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าข้าต้องการคำตอบ”

จีซั่งชิงพูดจบก็วางม้วนภาพวาดไว้บนตู้ แล้วเดินออกจากห้องหนังสือไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

สวินหลันนิ่งเงียบอยู่ในห้องเนิ่นนาน หลังจากนั้นจึงดับตะเกียงเดินออกจากห้องไปบ้าง

เฉียวเวยรีบเปิดประตูตู้แล้วเหยียดขาออก นวดแรงๆ รอจนกระทั่งสองขาที่เป็นเหน็บชามีความรู้สึกลับมาอีกหน นางจึงเขย่งปลายเท้าเปิดประตูตู้ที่อยู่ด้านบน

ภายในตู้มีภาพวาดไม่น้อย แต่มีเพียงม้วนเดียวที่ยังมีไออุ่นจากร่างกายของจีซั่งชิงหลงเหลืออยู่

เฉียวเวยคลี่ม้วนภาพวาด

มันเป็นภาพของดรุณีผู้สง่างามและอ่อนโยน ยิ้มอย่างเอียงอายอยู่ท่ามกลางหมู่มวลบุปผา

อายุสิบสี่สิบห้าปีเป็นวัยแรกแย้ม ในความอ่อนเยาว์แฝงความงามเย้ายวนอย่างไม่เจตนา

แต่สิ่งที่ทำให้คนเห็นแล้วมิมีทางลืมได้กลับเป็นดวงตาอันอ่อนโยนคู่นั้น อ่อนโยนจนแทบจะเรียกได้ว่าดีงาม

เฉียวเวยไม่เคยเห็นมารดาของตนมาก่อน แต่นางจินตนาการว่าหากมารดาของนางเป็นสตรีผู้อ่อนโยนที่สุดในใต้หล้า ก็คงจะ…มีดวงตาเช่นนี้กระมัง